ราชอาณาจักรที่รักและหวงแหน
วันจันทร์ ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗
กลับไปงานพระราชทานเพลิงศพคุณยายที่จันทบุรี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีเพื่อนชาวจีนที่พูดอ่านเขียนไทยได้และเพื่อนชาวดัตช์ร่วมเดินทางไปด้วย
เพื่อนคนจีนก็มักจะอวดด้วยการอ่านโน่นแปลนี่ให้เพื่อนชาวดัตช์ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่านและแปลวลีหรือสติกเกอร์ข้อความที่ติดอยู่ตามด้านหลังรถยนต์
ที่จอดอยู่ในลานวัดเป็นรถยนต์สีขาวคันหนึ่ง มีข้อความเขียนไว้ว่า “รถคันนี้สีน้ำเงิน” เพื่อนชาวจีนอ่านแล้วก็แปลให้เพื่อนชาวดัตช์ฟัง หลังจากงงกันอยู่พักใหญ่ เพื่อนทั้งสองก็พากันไปถามญาติผู้ใหญ่ของผม ว่าที่เห็นบนลานวัดนั้น มันเป็นรถสีขาวแท้ๆ ทำไมถึงเขียนว่า รถคันนี้สีน้ำเงิน ญาติผู้ใหญ่อธิบายขยายความว่า เขาเขียนไว้หลอกเทพเจ้า หลอกเทวดาฟ้าดิน อาจจะเป็นเพราะดวงของเจ้าของรถไม่ถูกกับสีขาว แต่ถูกโฉลกกับสีน้ำเงิน ก็เลยเขียนว่ารถคันนี้สีน้ำเงิน เทพเจ้าจะได้อำนวยความสุขสวัสดีให้แก่เจ้าของรถยนต์
เก็บกระดูกยายแล้ว ผมกับเพื่อนคนจีนและดัตช์อาศัยรถยนต์ของคนที่รู้จัก เดินทางจากจันทบุรีไปสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างทางก็แวะทานอาหารกันบ้าง แวะทานกาแฟกันบ้าง เพื่อนชาวจีนพบว่า ถ้ามีรถยนต์ติดสติกเกอร์ธงชาติจอดอยู่หน้าร้านไหน คนขับรถคันที่เราอาศัยมาด้วยจะไม่จอด และจะเลยไปจอดเพื่อใช้บริการที่ร้านอื่นแทน
เมื่อถามคุณพี่ที่ขับรถ ก็ได้คำตอบว่า ผมไม่อยากมีปัญหากับพวกธงชาติ เมื่อแปลให้เพื่อนชาวดัตช์ฟัง ชาวดัตช์ก็ถามว่า ธงชาติไทยก็คือธงชาติของประเทศไทยของคุณเองไม่ใช่หรือ พวกคุณก็คือคนไทย คุณพี่ที่ขับรถจึงอธิบายว่า เดี๋ยวนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเอาธงชาติไทยไปเป็นสัญลักษณ์แบ่งฝ่าย มีการกระจายขยายข่าวกันใหญ่โตโอฬารว่า พวกที่เอาธงชาติมาทำเป็นเครื่องประดับติดไว้ตามร่างกาย รถยนต์ และอาคารสถานที่เท่านั้น เป็นพวกรักชาติ พวกที่ไม่เอาธงชาติมาแปลงเป็นเครื่องใช้ไม้สอย ไม่ใช่พวกรักชาติ ไม่ใช่พวกคนดี
เพื่อนดัตช์และเพื่อนจีนฟังแล้ว ก็คิ้วงวดขมวดเข้าหากันด้วยงุนงงสงสัย เพื่อนดัตช์หยิบสมุดโน้ตออกมาจดความคิดที่พรูออกจากสมองของตนอย่างยืดยาว
เช้านี้ ผมนั่งรถจากเมืองอูเทร็กไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัมกับเพื่อนดัตช์คนที่ไปงานศพยายผมที่เมืองจันท์ เพื่อนเอ่ยกับผมด้วยเสียงราบเรียบว่า ประเทศของยูอยู่ในสถานะอันตรายมาก พลเมืองของยูส่วนหนึ่งลวงโลก หลอกตัวเองได้แม้กระทั่งสีของรถ
อีกอย่างหนึ่งซึ่งไอกังวลใจแทนยูก็คือ ไทยเป็นประเทศที่ธงชาติไม่ใช่เครื่องร้อยดวงใจของคนไทยให้อยู่ในสร้อยเส้นเดียวกันอีกต่อไป ทำไมผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของยูจึงไม่เตือนสังคมไทยว่า ธงชาติคือเครื่องหมายแสดงความเป็นคนชาติเดียวกัน แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำไมจึงยอมให้มีการเอาธงชาติมาแบ่งแยกคนในชาติ ไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีธงชาติเป็นเครื่องหมายแสดงความแตกแยก
ฟังเพื่อนแล้ว ผมก็เงียบ ไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไง ในสมองของผมทำงานหนักเพื่อค้นคว้าหาว่า ในห้วงช่วงวิกฤติความขัดแย้ง มีผู้มีวุฒิภาวะสูงและเป็นที่เคารพนับถือของสังคมไทยท่านใดบ้าง ที่โผล่หน้าออกมาเตือนสังคมไทยให้ตระหนักถึงสิ่งที่คนไทยกลุ่มหนึ่งเอาธงชาติไปเป็นเครื่องหมายบอกฝ่าย นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ผมจินตนาการภาพของนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านที่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ บางภาพสร้างความตระหนกตกใจให้เสียด้วยซ้ำไป เพราะท่านเหล่านั้นเป็นตัวหลักในการแบ่งฝ่าย ทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างไม่เปิดเผย
ตั้งแต่ พ.ศ.1762 ซึ่งเป็นปีที่พ่อขุนศรีอินทรบดินทราทิตย์เสด็จขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย จนมาถึงกาลแห่งปัจจุบันทุกวันนี้ เป็นเวลา 795 ปีแล้ว
2557 เป็นพุทธศักราชที่ประชาชนคนไทยมีความแตกแยกที่สุดตั้งแต่เราตั้งราชอาณาจักรมา
ทำอย่างไร เราจะบรรเทาเบาความแตกแยก และหันมาสมัครสมานสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกันสร้างประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักของเราให้มีความสงบสุขดั่งเดิม
เป็นหน้าที่ของเราคนไทยทุกคน ที่จะต้องรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราให้ยาวยืนไปจวบจนนิรันดร์พันปี.
http://www.nitipoom.com/Article1Item.aspx?ID=4514
ทำไมผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจึงไม่เตือนสังคมไทยว่า ธงชาติคือเครื่องหมายแสดงความเป็นคนชาติเดียวกัน
วันจันทร์ ที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗
กลับไปงานพระราชทานเพลิงศพคุณยายที่จันทบุรี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมีเพื่อนชาวจีนที่พูดอ่านเขียนไทยได้และเพื่อนชาวดัตช์ร่วมเดินทางไปด้วย
เพื่อนคนจีนก็มักจะอวดด้วยการอ่านโน่นแปลนี่ให้เพื่อนชาวดัตช์ฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อ่านและแปลวลีหรือสติกเกอร์ข้อความที่ติดอยู่ตามด้านหลังรถยนต์
ที่จอดอยู่ในลานวัดเป็นรถยนต์สีขาวคันหนึ่ง มีข้อความเขียนไว้ว่า “รถคันนี้สีน้ำเงิน” เพื่อนชาวจีนอ่านแล้วก็แปลให้เพื่อนชาวดัตช์ฟัง หลังจากงงกันอยู่พักใหญ่ เพื่อนทั้งสองก็พากันไปถามญาติผู้ใหญ่ของผม ว่าที่เห็นบนลานวัดนั้น มันเป็นรถสีขาวแท้ๆ ทำไมถึงเขียนว่า รถคันนี้สีน้ำเงิน ญาติผู้ใหญ่อธิบายขยายความว่า เขาเขียนไว้หลอกเทพเจ้า หลอกเทวดาฟ้าดิน อาจจะเป็นเพราะดวงของเจ้าของรถไม่ถูกกับสีขาว แต่ถูกโฉลกกับสีน้ำเงิน ก็เลยเขียนว่ารถคันนี้สีน้ำเงิน เทพเจ้าจะได้อำนวยความสุขสวัสดีให้แก่เจ้าของรถยนต์
เก็บกระดูกยายแล้ว ผมกับเพื่อนคนจีนและดัตช์อาศัยรถยนต์ของคนที่รู้จัก เดินทางจากจันทบุรีไปสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างทางก็แวะทานอาหารกันบ้าง แวะทานกาแฟกันบ้าง เพื่อนชาวจีนพบว่า ถ้ามีรถยนต์ติดสติกเกอร์ธงชาติจอดอยู่หน้าร้านไหน คนขับรถคันที่เราอาศัยมาด้วยจะไม่จอด และจะเลยไปจอดเพื่อใช้บริการที่ร้านอื่นแทน
เมื่อถามคุณพี่ที่ขับรถ ก็ได้คำตอบว่า ผมไม่อยากมีปัญหากับพวกธงชาติ เมื่อแปลให้เพื่อนชาวดัตช์ฟัง ชาวดัตช์ก็ถามว่า ธงชาติไทยก็คือธงชาติของประเทศไทยของคุณเองไม่ใช่หรือ พวกคุณก็คือคนไทย คุณพี่ที่ขับรถจึงอธิบายว่า เดี๋ยวนี้มีคนกลุ่มหนึ่งเอาธงชาติไทยไปเป็นสัญลักษณ์แบ่งฝ่าย มีการกระจายขยายข่าวกันใหญ่โตโอฬารว่า พวกที่เอาธงชาติมาทำเป็นเครื่องประดับติดไว้ตามร่างกาย รถยนต์ และอาคารสถานที่เท่านั้น เป็นพวกรักชาติ พวกที่ไม่เอาธงชาติมาแปลงเป็นเครื่องใช้ไม้สอย ไม่ใช่พวกรักชาติ ไม่ใช่พวกคนดี
เพื่อนดัตช์และเพื่อนจีนฟังแล้ว ก็คิ้วงวดขมวดเข้าหากันด้วยงุนงงสงสัย เพื่อนดัตช์หยิบสมุดโน้ตออกมาจดความคิดที่พรูออกจากสมองของตนอย่างยืดยาว
เช้านี้ ผมนั่งรถจากเมืองอูเทร็กไปยังกรุงอัมสเตอร์ดัมกับเพื่อนดัตช์คนที่ไปงานศพยายผมที่เมืองจันท์ เพื่อนเอ่ยกับผมด้วยเสียงราบเรียบว่า ประเทศของยูอยู่ในสถานะอันตรายมาก พลเมืองของยูส่วนหนึ่งลวงโลก หลอกตัวเองได้แม้กระทั่งสีของรถ
อีกอย่างหนึ่งซึ่งไอกังวลใจแทนยูก็คือ ไทยเป็นประเทศที่ธงชาติไม่ใช่เครื่องร้อยดวงใจของคนไทยให้อยู่ในสร้อยเส้นเดียวกันอีกต่อไป ทำไมผู้ใหญ่ในบ้านเมืองของยูจึงไม่เตือนสังคมไทยว่า ธงชาติคือเครื่องหมายแสดงความเป็นคนชาติเดียวกัน แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทำไมจึงยอมให้มีการเอาธงชาติมาแบ่งแยกคนในชาติ ไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีธงชาติเป็นเครื่องหมายแสดงความแตกแยก
ฟังเพื่อนแล้ว ผมก็เงียบ ไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนยังไง ในสมองของผมทำงานหนักเพื่อค้นคว้าหาว่า ในห้วงช่วงวิกฤติความขัดแย้ง มีผู้มีวุฒิภาวะสูงและเป็นที่เคารพนับถือของสังคมไทยท่านใดบ้าง ที่โผล่หน้าออกมาเตือนสังคมไทยให้ตระหนักถึงสิ่งที่คนไทยกลุ่มหนึ่งเอาธงชาติไปเป็นเครื่องหมายบอกฝ่าย นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก ผมจินตนาการภาพของนายกรัฐมนตรีแต่ละท่านที่ปัจจุบันยังมีชีวิตอยู่ บางภาพสร้างความตระหนกตกใจให้เสียด้วยซ้ำไป เพราะท่านเหล่านั้นเป็นตัวหลักในการแบ่งฝ่าย ทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างไม่เปิดเผย
ตั้งแต่ พ.ศ.1762 ซึ่งเป็นปีที่พ่อขุนศรีอินทรบดินทราทิตย์เสด็จขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย จนมาถึงกาลแห่งปัจจุบันทุกวันนี้ เป็นเวลา 795 ปีแล้ว
2557 เป็นพุทธศักราชที่ประชาชนคนไทยมีความแตกแยกที่สุดตั้งแต่เราตั้งราชอาณาจักรมา
ทำอย่างไร เราจะบรรเทาเบาความแตกแยก และหันมาสมัครสมานสามัคคี ร่วมมือร่วมใจกันสร้างประเทศชาติบ้านเมืองอันเป็นที่รักของเราให้มีความสงบสุขดั่งเดิม
เป็นหน้าที่ของเราคนไทยทุกคน ที่จะต้องรักษาสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของเราให้ยาวยืนไปจวบจนนิรันดร์พันปี.
http://www.nitipoom.com/Article1Item.aspx?ID=4514