นับตั้งแต่มาเรียนที่เกาหลีเมื่อสามปีที่แล้ว จนกระทั่งได้ย้ายหลักแหล่งมาทำงาน จนตอนนี้กำลังจะแต่งงานกับคุณแฟน แล้วก็จะกลายร่างเป็นคนที่จะพำนักที่เกาหลีไปชั่วชีวิต ต้องบอกเลยค่ะว่าสองปีที่อยู่ที่เกาหลีเนี่ยเป็นอะไรที่ไม่ได้เที่ยวจริงๆ เพราะอะไรน่ะเหรอคะ เหตุผลน่ะก็ไม่ต่างกับตอนอยู่ไทยหรอก ไม่มีเวลา ไม่มีเงิน ตอนเรียนก็ไม่มีเงิน ตอนทำงานมีเงิน แต่ไม่มีเวลา เพราะออฟฟิศเกาหลีเนี่ย อย่าให้เซดเลยมันช่าง...
หลังจากมาเริ่มทำงานตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งจะเริ่มมีโอกาสได้ออกเที่ยวต่างจังหวัดอย่างจริงจังก็ไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งหนึ่งที่บอกได้เลยค่ะว่าประทับใจ และเป็นทริปที่เราทั้งสองคนยังพูดจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นทริปที่เราประทับใจมากๆ (มากกทริปเกาะเชจูอีก)
ทริปนี้ เราใช้เวลา 2 วัน 1 คืนค่ะ เริ่มออกเดินทางในคืนวันศุกร์ และกลับเข้ามาโซลในวันเสาร์ค่ะ การเดินทางทั้งหมดนี้ด้วยรถไฟค่ะ
เริ่มจากสถานีรถไฟชองนยังนีค่ะ โดยรถไฟเที่ยว 5ทุ่ม 25 นาที และถึงชองดงจินราว ตี4ครึ่งค่ะ แนะนำว่า เข้าเว็บ Korail ไปจองตั๋วล่วงหน้าก็ดีค่ะ เพราะไม่งั้น ถ้าไปซื้อตั๋วเอาหน้างานเนี่ย คุณอาจจะต้องยืนบนรถไฟไปตลอด 5 ชั่วโมงนะคะ มันไม่สนุกเอาซะเลยจริงๆ ค่ะ
ซึ่งเมื่อเราไปถึง ณ วันนั้นพระอาทิตย์จะขึ้นตอนกี่โมงก็จะมีป้ายบอกไว้ด้วยค่ะ อย่างวันที่ไปเนี่ย พระอาทิตย์จะขึ้นตอน 05.41 น. ค่ะ ถ่ายรูปมาแต่เบลอมากๆ เลยขอลงเป็นรูปตอนสายๆ ที่ถ่ายซ้ำไว้อีกทีแทนนะคะ
จากนั้นก็ไปเลือกจับจองที่นั่งริมชายหาดได้เลยค่ะ รอแค่เวลาให้พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบทะเลขึ้นมาทักทายเท่านั้นค่ะ
ณ จุดนี้ มีเทคนิคอะไรนิดหน่อยที่จะบอกค่ะ สำหรับคนที่อยากจะไปนะคะ ควรจะเตรียมสิ่งเหล่านี้ไปด้วยค่ะ
1. ผ้าปูพื้น เอาไว้ปูนั่งเล่นที่ริมชายหาดนะคะ เพราะมันคือหาดทราย มันอาจจะเลอะทรายได้ค่ะ
2. ขาตั้งกล้อง เพื่อการถ่ายภาพที่สวยงามนะคะ
3. เสื้อกันหนาวซักตัว เพราะว่าอากาศมันจะเย็นนะคะ อย่างที่รู้ หน้าร้อนเนี่ย เช้ามืดยังไงอากาศก็เย็น แถมเป็นริมทะเลซะด้วยค่ะ
ดิฉันกับแฟนก็จับจองที่นั่ง แล้วก็ลองแสงกล้องเล่นกันไปพลางๆ ค่ะ รอพระอาทิตย์

(งานนี้เรียกเปิดหน้ารีวิวกันเลยทีเดียว)
จากนั้นไม่นานเกินรอ พระอาทิตย์ก็เริ่มมาแล้วค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าหน้าร้อนอากาศก็เย็นนะคะ ตอนนั้นนั่งๆ ไปก็หนาวเหมือนกันค่ะ
เอาจริงๆ ที่ชองดงจินเนี่ย พอพระอาทิตย์ขึ้น ทุกอย่างก็จบค่ะ มันไม่มีอะไรนอกจากนี้แล้วจริงๆ แต่การที่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเนี่ย มันเป็นอะไรที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ ค่ะ เริ่มต้นดี ทริปดีๆ ก็จะจบลงอย่างสวยงามค่ะ
จากนั้น เราก็ออกเดินเล่นกันไปตามหาดค่ะ และได้ลองจุ่มเท้าลงน้ำทะเลดู น้ำทะเลเป็นน้ำเย็น แบบเย็นเฉียบจริงๆ ค่ะ ไม่เหมือนน้ำทะเลไทยที่อุ่นจริงๆ
เดินเลียบหาดไปตามทางก็จะพอมีอะไรให้ได้ดูบ้างค่ะ อ้อ มีร้านขายอาหารราคาโอเคด้วยนะคะ สามารถไปนั่งทานได้ค่ะ ราคาไม่โหดค่ะ
จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาที่ตัวสถานีอีกครั้ง และซื้อตั๋วรถไฟต่อไปเทเบกซานค่ะ
นั่งรถไฟต่อมาอีกไม่นาน เราก็มาถึงเทเบกซาน เมืองนี้สงบ เงียบ แบบต่างจังหวัดโดยแท้ค่ะ
ดูจากลักษณะป้ายน่าจะพอบอกได้ว่า ไม่ได้ดูมีความทันสมัยแบบตัวเมืองเอาซะเลย 555+
เป้าหมายแรกในเทเบกของเราคือถ้ำค่ะ แต่เป็นถ้ำที่อยู่สู๊ง~~~~ ขึ้นบนเขา เราจึงต้องนั่งรถขึ้นไปกันค่ะ และรถชัทเทิ่ลบัสหน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ
ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่เค้าการันตีว่าอยู่สูงที่สุดในประเทศ เป็นถ้ำที่อยู่สูงจากรถดับน้ำทะเลถึง 920 เมตรค่ะ ถ้ำนี้มีชื่อว่า "ถ้ำยงยอน" ค่ะ
อย่างที่เห็นทางด้านปากทางเข้าถ้ำนะคะ เนื่องจากเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย จะมีการแจกหมวกนิรภัยให้ใช้กันค่ะ เพื่อความปลอดภัย และบอกได้เลยว่า หัวกระแทกไปหลายทีมากๆ อย่างแรงๆ ด้วยจนรู้สึกเลยว่า ถ้าไม่มีหมวกนั้น สงสัยน่าจะเป็นผีเฝ้าถ้ำไปแล้วค่ะ
ส่วนภายในถ้ำน่ะเหรอค่ะ อย่างที่บอกว่าเป็นถ้ำ 1 เลยคือ เย็นมากๆ ค่ะ เย็นเข้าขั้นหนาวเลยล่ะค่ะ อุณหภูมิภายในถ้ำเป็นเลขตัวเดียวนะคะ แล้วก็ค่อนข้างชื้นค่ะ แต่ความสวยเนี่ย สุดๆ ค่ะ
ในถ้ำค่อนข้างมืดและไม่มีแสงค่ะ ดังนั้น ขาตั้งกล้องช่วยเราได้ในกรณีนี้ค่ะ
จากถ้ำยงยอน เราก็ไปกันที่ไร่กะหล่ำด้วยค่ะ ที่นั่นมีชื่อเก๋ๆว่า พาราเม ออนดอก แต่พอขึ้นไปจริงๆ ไม่เก๋ ไม่สวย และ.. สุดๆ ค่ะ เรียกว่าผิดหวังเลยล่ะค่ะ ดังนั้น ขอลืมๆ มันไปด้วยการผ่านนนนน มันไปเลยนะคะ
แล้วทริปนี้ก็จบลงที่ถ้ำยงยอนค่ะ นานๆ ที เราจะได้ไปเที่ยวกัน เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ดี ใครมาเที่ยวเกาหลีช่วงหน้าร้อนแล้วเบื่อว่าที่ไหนก็ร้อนไปหมด แนะนำทริปเส้นทางนี้ดูค่ะ ยิ่งที่เทเบกเนี่ย บอกได้เลยค่ะ กลางวันแสกๆ แดดเปรี้ยง แต่ว่าอากาศเนี่ยเย็นสบายเหมือนฤดูหนาวบ้านเราเลยค่ะ ตอนร้อนๆ เนี่ย ร้อนสุดๆ ก็ 20 องศา หรือร้อนกว่านั้นนิดหน่อยค่ะ เรียกว่าหนาวจนขนลุกเลยล่ะค่ะ ยิ่งเข้าไปในถ้ำเนี่ย ลืมไปเลยว่าตอนนั้นข้างนอกร้อนแค่ไหน ถือเป็นเส้นทางที่ดีเส้นทางนึงในฤดูร้อน ที่ร้อนจริงๆ ของเกาหลีค่ะ... แล้วที่บอกกันว่า ฤดูร้อนที่เกาหลีไม่มีอะไรให้เที่ยวก็ไม่จริงอีกต่อไปนะคะ
[CR] รีวิวดูพระอาทิตย์ขึ้นที่หาดชองดงจินและปีนถ้ำที่เขาแทเบก
หลังจากมาเริ่มทำงานตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาก็เพิ่งจะเริ่มมีโอกาสได้ออกเที่ยวต่างจังหวัดอย่างจริงจังก็ไม่กี่ครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งหนึ่งที่บอกได้เลยค่ะว่าประทับใจ และเป็นทริปที่เราทั้งสองคนยังพูดจนถึงทุกวันนี้ว่าเป็นทริปที่เราประทับใจมากๆ (มากกทริปเกาะเชจูอีก)
ทริปนี้ เราใช้เวลา 2 วัน 1 คืนค่ะ เริ่มออกเดินทางในคืนวันศุกร์ และกลับเข้ามาโซลในวันเสาร์ค่ะ การเดินทางทั้งหมดนี้ด้วยรถไฟค่ะ
เริ่มจากสถานีรถไฟชองนยังนีค่ะ โดยรถไฟเที่ยว 5ทุ่ม 25 นาที และถึงชองดงจินราว ตี4ครึ่งค่ะ แนะนำว่า เข้าเว็บ Korail ไปจองตั๋วล่วงหน้าก็ดีค่ะ เพราะไม่งั้น ถ้าไปซื้อตั๋วเอาหน้างานเนี่ย คุณอาจจะต้องยืนบนรถไฟไปตลอด 5 ชั่วโมงนะคะ มันไม่สนุกเอาซะเลยจริงๆ ค่ะ
ซึ่งเมื่อเราไปถึง ณ วันนั้นพระอาทิตย์จะขึ้นตอนกี่โมงก็จะมีป้ายบอกไว้ด้วยค่ะ อย่างวันที่ไปเนี่ย พระอาทิตย์จะขึ้นตอน 05.41 น. ค่ะ ถ่ายรูปมาแต่เบลอมากๆ เลยขอลงเป็นรูปตอนสายๆ ที่ถ่ายซ้ำไว้อีกทีแทนนะคะ
จากนั้นก็ไปเลือกจับจองที่นั่งริมชายหาดได้เลยค่ะ รอแค่เวลาให้พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบทะเลขึ้นมาทักทายเท่านั้นค่ะ
ณ จุดนี้ มีเทคนิคอะไรนิดหน่อยที่จะบอกค่ะ สำหรับคนที่อยากจะไปนะคะ ควรจะเตรียมสิ่งเหล่านี้ไปด้วยค่ะ
1. ผ้าปูพื้น เอาไว้ปูนั่งเล่นที่ริมชายหาดนะคะ เพราะมันคือหาดทราย มันอาจจะเลอะทรายได้ค่ะ
2. ขาตั้งกล้อง เพื่อการถ่ายภาพที่สวยงามนะคะ
3. เสื้อกันหนาวซักตัว เพราะว่าอากาศมันจะเย็นนะคะ อย่างที่รู้ หน้าร้อนเนี่ย เช้ามืดยังไงอากาศก็เย็น แถมเป็นริมทะเลซะด้วยค่ะ
ดิฉันกับแฟนก็จับจองที่นั่ง แล้วก็ลองแสงกล้องเล่นกันไปพลางๆ ค่ะ รอพระอาทิตย์
(งานนี้เรียกเปิดหน้ารีวิวกันเลยทีเดียว)
จากนั้นไม่นานเกินรอ พระอาทิตย์ก็เริ่มมาแล้วค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าหน้าร้อนอากาศก็เย็นนะคะ ตอนนั้นนั่งๆ ไปก็หนาวเหมือนกันค่ะ
เอาจริงๆ ที่ชองดงจินเนี่ย พอพระอาทิตย์ขึ้น ทุกอย่างก็จบค่ะ มันไม่มีอะไรนอกจากนี้แล้วจริงๆ แต่การที่ได้ดูพระอาทิตย์ขึ้นเนี่ย มันเป็นอะไรที่ทำให้เรามีความสุขจริงๆ ค่ะ เริ่มต้นดี ทริปดีๆ ก็จะจบลงอย่างสวยงามค่ะ
จากนั้น เราก็ออกเดินเล่นกันไปตามหาดค่ะ และได้ลองจุ่มเท้าลงน้ำทะเลดู น้ำทะเลเป็นน้ำเย็น แบบเย็นเฉียบจริงๆ ค่ะ ไม่เหมือนน้ำทะเลไทยที่อุ่นจริงๆ
เดินเลียบหาดไปตามทางก็จะพอมีอะไรให้ได้ดูบ้างค่ะ อ้อ มีร้านขายอาหารราคาโอเคด้วยนะคะ สามารถไปนั่งทานได้ค่ะ ราคาไม่โหดค่ะ
จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาที่ตัวสถานีอีกครั้ง และซื้อตั๋วรถไฟต่อไปเทเบกซานค่ะ
นั่งรถไฟต่อมาอีกไม่นาน เราก็มาถึงเทเบกซาน เมืองนี้สงบ เงียบ แบบต่างจังหวัดโดยแท้ค่ะ
ดูจากลักษณะป้ายน่าจะพอบอกได้ว่า ไม่ได้ดูมีความทันสมัยแบบตัวเมืองเอาซะเลย 555+
เป้าหมายแรกในเทเบกของเราคือถ้ำค่ะ แต่เป็นถ้ำที่อยู่สู๊ง~~~~ ขึ้นบนเขา เราจึงต้องนั่งรถขึ้นไปกันค่ะ และรถชัทเทิ่ลบัสหน้าตาเป็นอย่างนี้ค่ะ
ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่เค้าการันตีว่าอยู่สูงที่สุดในประเทศ เป็นถ้ำที่อยู่สูงจากรถดับน้ำทะเลถึง 920 เมตรค่ะ ถ้ำนี้มีชื่อว่า "ถ้ำยงยอน" ค่ะ
อย่างที่เห็นทางด้านปากทางเข้าถ้ำนะคะ เนื่องจากเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อย จะมีการแจกหมวกนิรภัยให้ใช้กันค่ะ เพื่อความปลอดภัย และบอกได้เลยว่า หัวกระแทกไปหลายทีมากๆ อย่างแรงๆ ด้วยจนรู้สึกเลยว่า ถ้าไม่มีหมวกนั้น สงสัยน่าจะเป็นผีเฝ้าถ้ำไปแล้วค่ะ
ส่วนภายในถ้ำน่ะเหรอค่ะ อย่างที่บอกว่าเป็นถ้ำ 1 เลยคือ เย็นมากๆ ค่ะ เย็นเข้าขั้นหนาวเลยล่ะค่ะ อุณหภูมิภายในถ้ำเป็นเลขตัวเดียวนะคะ แล้วก็ค่อนข้างชื้นค่ะ แต่ความสวยเนี่ย สุดๆ ค่ะ
ในถ้ำค่อนข้างมืดและไม่มีแสงค่ะ ดังนั้น ขาตั้งกล้องช่วยเราได้ในกรณีนี้ค่ะ
จากถ้ำยงยอน เราก็ไปกันที่ไร่กะหล่ำด้วยค่ะ ที่นั่นมีชื่อเก๋ๆว่า พาราเม ออนดอก แต่พอขึ้นไปจริงๆ ไม่เก๋ ไม่สวย และ.. สุดๆ ค่ะ เรียกว่าผิดหวังเลยล่ะค่ะ ดังนั้น ขอลืมๆ มันไปด้วยการผ่านนนนน มันไปเลยนะคะ
แล้วทริปนี้ก็จบลงที่ถ้ำยงยอนค่ะ นานๆ ที เราจะได้ไปเที่ยวกัน เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ดี ใครมาเที่ยวเกาหลีช่วงหน้าร้อนแล้วเบื่อว่าที่ไหนก็ร้อนไปหมด แนะนำทริปเส้นทางนี้ดูค่ะ ยิ่งที่เทเบกเนี่ย บอกได้เลยค่ะ กลางวันแสกๆ แดดเปรี้ยง แต่ว่าอากาศเนี่ยเย็นสบายเหมือนฤดูหนาวบ้านเราเลยค่ะ ตอนร้อนๆ เนี่ย ร้อนสุดๆ ก็ 20 องศา หรือร้อนกว่านั้นนิดหน่อยค่ะ เรียกว่าหนาวจนขนลุกเลยล่ะค่ะ ยิ่งเข้าไปในถ้ำเนี่ย ลืมไปเลยว่าตอนนั้นข้างนอกร้อนแค่ไหน ถือเป็นเส้นทางที่ดีเส้นทางนึงในฤดูร้อน ที่ร้อนจริงๆ ของเกาหลีค่ะ... แล้วที่บอกกันว่า ฤดูร้อนที่เกาหลีไม่มีอะไรให้เที่ยวก็ไม่จริงอีกต่อไปนะคะ