ลูกเราเรียนโรงเรียนที่เป็นศูนย์พัฒนาเด็กเล็กค่ะ คือเราเป็นอิสลามโรงเรียนในฝัน(โรงเรียนที่มีวิถีแบบมุสลิม)ก็น้อยอยู่แล้ว โรงเรียนแห่งนี้มีผู้ใหญ่ใจดีกลุ่มหนึ่งให้บ้านให้ที่ทำโรงเรียนเด็กเล็กดูแลคนในชุมชน ที่เราเลือกที่นี่
1. ข้อแรกคือ เป็นโรงเรียนมุสลิมที่มีรูปแบบชีวิตในแบบที่อยากให้ลูกเราอยู่ มีเพื่อนที่จะมีวิถีชีวิตในรูปแบบเดียวกันในอนาคต(เลือกสังคม) การเลือกโรงเรียนที่มีการสอนศาสนาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ลูกได้ข้อมูลเรื่องคุณธรรม ความดีความชั่วลงไปในหัวใจของเค้าตั้งแต่เล็ก พ่อแม่มุสลิมจะถูกสอนว่า "เลี้ยงลูกต้องเลี้ยงให้เค้าไม่เป็นศัตรูกับเรา" การที่เด็กโตมาเป็นเก่งแต่กลายคนไม่ดี มันก็มีแต่ความเดือดร้อนมาสู่พ่อแม่ ตัวเค้าเอง ลูกหลาน และเพื่อนร่วมโลกไปด้วย
2. เป็นโรงเรียนที่สอนแนวบูรณาการค่ะ ไม่เร่งเด็กเรียน สอนตามพัฒนาการ และใช้ชุมชน พื้นที่ในชุมชน และคนในชุมชนเป็นตัวส่งเสริมสร้างสรรค์เด็ก เช่นพาไปเยี่ยมนาข้าว พาไปเยี่ยมสวน พาไปเยี่ยมฟาร์มเลี้ยงแพะ พาไปเยี่ยมผู้ใหญ่ในชุมชน เป็นต้น
3. โรงเรียนเค้าประสานงานกับเขตตลอดเวลา(อยู่ในกรุงเทพ) เรื่องสุขภาพและปัญหาพัฒนาการเด็ก ก็มีเขตมาดูแลให้ เวลาภาครัฐ หรือกรุงเทพมีโครงการอะไรเกี่ยวกับเด็กๆ ที่นี่ก็จะได้ไปกับเค้าได้วย
4. มีองค์กรจากต่างประเทศเข้ามาดูงาน มาทำกิจกรรมมากมาย เช่น ญี่ป่น เกาหลี สิงคโปร์
5. ใกล้บ้าน(ข้อนี้ชอบมาก) 5 นาทีถึงโรงเรียนลูกตื่นเจ็ดโมงเช้าทุกวัน สบายๆ ค่ะ และการเรียนใกล้บ้านจะมีข้อดีคือ เด็กๆ จะมีเพื่อนในชุมชนเดียวกัน (สมัยเด็กๆ แม่เรียนไกลบ้านอยู่สมุทรปราการต้องไปเรียนโรงเรียนแถวห้าแยกลาดพร้าว สุดท้ายไม่มีเพื่อนละแวกบ้านเลย เหงาคะ)
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ค่าเทอมเดือนละ 350 บาทค่ะ
ปล1 . เราเลี้ยงลูกแบบไม่เร่งค่ะ ในส่วนวิชาการ เราสอนเองบ้าง ตอนนี้ลูกสี่ขวบ ก็เริ่มให้หัดอ่านบ้าง (ตามพัฒนาการปกติ เด็กจะอ่านได้ตอน 5 ขวบ) หาหนังสือมาทำกิจกรรมสนุกๆ กับลูก ส่วนเรื่องกิจกรรมอื่นๆ เราก็ส่งเสริมไปค่ะ พาไปว่ายน้ำ ไปเที่ยว(ให้เห็นโลกจริง) กิจกรรมต่างๆที่ใครๆ จัด ก็พาลูกไปดูไปทำค่ะ
ปล2. โรงเรียนนี้ผู้สร้างตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่(เค้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนๆ เค้า) ในชุมชนค่ะ จับลูกจับหลานมาเป็นครูกัน เหมือนเอาผู้ใหญ่ในชุมชนมาสอนเด็กๆ ความรักความเอาใจใส่สูงมาก เค้าดูแลเหมือนลูกเหมือนหลานตัวเองน่ะค่ะ
ปล3. เราเองไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไรสามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนที่แพงกว่านี้ได้(แต่เราเลือกที่นี่ด้วยเหตุผลด้านบน) สิ่งที่เราทำเพิ่มเติม เราก็บริจาคเวลาเค้ามีกิจกรรม ช่วยซื้อหนังสือเติมให้ห้องสมุด (หลายๆ ครอบครัวที่ส่งลูกมากเรียนก็ช่วยๆ กันแนวนี้ค่ะ)
ปล4. เราเองมีความเชื่อว่า เราอยู่กับลูกมากกว่าโรงเรียน รู้ใจกันมากกว่า เราเลือกจะสอนและส่งเสริมลูกทั้งในเรื่องวิชาการที่เป็น way ของลูกเอง รวมถึงวิถีชีวิตที่ถูกที่ควร(ศิลธรรม และหลักในการอยู่ร่วมกับคนอื่น)ให้ลูกด้วยตัวเองค่ะ โรงเรียนเป็นแค่ที่ส่งเสริม เป็นสนามชีวิตเล็กๆ ของเค้า แต่ไม่ใช่ที่หลักที่เราพึ่งพาเพื่อให้ลูกไปถึงฝั่ง เราจึงไม่ฝากความหวังไว้กับโรงเรียนค่ะ
ปล5. ส่วนตัว...เราไม่พึงใจกับการเรียนในรูปแบบของเด็กไทยสมัยนี้ เรียนในโรงเรียนดัง แข่งกันเรียน ต้องไปเรียนพิเศษเพื่อให้ไปสอบเข้าใดในโรงเรียนดังถัดไป เราเสียดายชีวิตวัยเด็กของลูกเราค่ะ เราถือว่า 0-7 ปี เป็นช่วงวัยค้นหาสิ่งที่ชอบ ไม่ใช่วัยยัดเยียด ช่วงนี้เราให้ลูกลองทุกอย่างค่ะ หลัง 7 ขวบคงค่อยๆ คุยกันอีกที ว่าจะเอาแนววิชาการ แนวกีฬา หรือแนวบันเทิงดี
ปล6. ความตั้งใจในการเลี้ยงลูกของเรา เราต้องการให้เค้าดำรงชีวิตอยู่ได้แบบไม่ยึดติดกับสังคม อยากให้เค้าเป็นและทำในสิ่งที่เค้าต้องการเค้าชอบจริงๆ ไม่ใช่ต้องชอบโรงเรียนแบบนี้ การเรียนแบบนี้ เสื้อผ้าแบบนี้ กระเป๋าแบบนี้ รองเท้าแบบนี้ ในแบบที่สังคมเค้าชอบกัน แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ลูกชอบหรือเปล่า
สุดท้าย(อยากบอก)
1. อย่าได้กังวลหรือใส่ใจค่ะ ว่าโรงเรียนลูกจะดังเท่าใครมั๊ย จะแพงมั๊ย อยากให้สนใจว่าลูกคุณเรียน รร นี้ ลูกมีความสุขมั๊ย เหมาะกับลูกมั๊ย เหมาะกับครอบครัวมั๊ยมากกว่าค่ะ
2. โรงเรียนเล็กๆ หรือโรงเรียนของภาครัฐ ไม่ใช่โรงเรียนตามรูปแบบในนวนิยายน้ำเน่า ที่ดูลำบากลำบนทุกโรงเรียนไปค่ะ ยิ่งอยู่ในสังกัด กทม เนี่ย มีงบและโครงการต่างๆ เต็มไปหมด(สังเกตุจากโรงเรียนแถวๆ บ้านค่ะ)
3. ไม่ได้มีประเด็นใดๆ กับคนที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนแพงที่สุด ดีที่สุดนะคะ แต่ละคนมีบริบทชีวิตไม่เหมือนกัน ทางเลือกต่างกัน และเชื่อมั่นว่าทุกคนเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้วค่ะ
จากคนที่ไม่ได้เป็นหมอเด็ก ไม่ได้เรียนด้านเด็ก แค่เคยเป็นเด็ก และแม่ของเด็ก
อยากเล่าค่ะ...การเลือกโรงเรียนให้ลูก(ของเรา)
1. ข้อแรกคือ เป็นโรงเรียนมุสลิมที่มีรูปแบบชีวิตในแบบที่อยากให้ลูกเราอยู่ มีเพื่อนที่จะมีวิถีชีวิตในรูปแบบเดียวกันในอนาคต(เลือกสังคม) การเลือกโรงเรียนที่มีการสอนศาสนาควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ลูกได้ข้อมูลเรื่องคุณธรรม ความดีความชั่วลงไปในหัวใจของเค้าตั้งแต่เล็ก พ่อแม่มุสลิมจะถูกสอนว่า "เลี้ยงลูกต้องเลี้ยงให้เค้าไม่เป็นศัตรูกับเรา" การที่เด็กโตมาเป็นเก่งแต่กลายคนไม่ดี มันก็มีแต่ความเดือดร้อนมาสู่พ่อแม่ ตัวเค้าเอง ลูกหลาน และเพื่อนร่วมโลกไปด้วย
2. เป็นโรงเรียนที่สอนแนวบูรณาการค่ะ ไม่เร่งเด็กเรียน สอนตามพัฒนาการ และใช้ชุมชน พื้นที่ในชุมชน และคนในชุมชนเป็นตัวส่งเสริมสร้างสรรค์เด็ก เช่นพาไปเยี่ยมนาข้าว พาไปเยี่ยมสวน พาไปเยี่ยมฟาร์มเลี้ยงแพะ พาไปเยี่ยมผู้ใหญ่ในชุมชน เป็นต้น
3. โรงเรียนเค้าประสานงานกับเขตตลอดเวลา(อยู่ในกรุงเทพ) เรื่องสุขภาพและปัญหาพัฒนาการเด็ก ก็มีเขตมาดูแลให้ เวลาภาครัฐ หรือกรุงเทพมีโครงการอะไรเกี่ยวกับเด็กๆ ที่นี่ก็จะได้ไปกับเค้าได้วย
4. มีองค์กรจากต่างประเทศเข้ามาดูงาน มาทำกิจกรรมมากมาย เช่น ญี่ป่น เกาหลี สิงคโปร์
5. ใกล้บ้าน(ข้อนี้ชอบมาก) 5 นาทีถึงโรงเรียนลูกตื่นเจ็ดโมงเช้าทุกวัน สบายๆ ค่ะ และการเรียนใกล้บ้านจะมีข้อดีคือ เด็กๆ จะมีเพื่อนในชุมชนเดียวกัน (สมัยเด็กๆ แม่เรียนไกลบ้านอยู่สมุทรปราการต้องไปเรียนโรงเรียนแถวห้าแยกลาดพร้าว สุดท้ายไม่มีเพื่อนละแวกบ้านเลย เหงาคะ)
ทั้งหมดที่เล่ามานี้ ค่าเทอมเดือนละ 350 บาทค่ะ
ปล1 . เราเลี้ยงลูกแบบไม่เร่งค่ะ ในส่วนวิชาการ เราสอนเองบ้าง ตอนนี้ลูกสี่ขวบ ก็เริ่มให้หัดอ่านบ้าง (ตามพัฒนาการปกติ เด็กจะอ่านได้ตอน 5 ขวบ) หาหนังสือมาทำกิจกรรมสนุกๆ กับลูก ส่วนเรื่องกิจกรรมอื่นๆ เราก็ส่งเสริมไปค่ะ พาไปว่ายน้ำ ไปเที่ยว(ให้เห็นโลกจริง) กิจกรรมต่างๆที่ใครๆ จัด ก็พาลูกไปดูไปทำค่ะ
ปล2. โรงเรียนนี้ผู้สร้างตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่(เค้าก็ถือว่าเป็นเพื่อนๆ เค้า) ในชุมชนค่ะ จับลูกจับหลานมาเป็นครูกัน เหมือนเอาผู้ใหญ่ในชุมชนมาสอนเด็กๆ ความรักความเอาใจใส่สูงมาก เค้าดูแลเหมือนลูกเหมือนหลานตัวเองน่ะค่ะ
ปล3. เราเองไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไรสามารถส่งลูกเรียนโรงเรียนที่แพงกว่านี้ได้(แต่เราเลือกที่นี่ด้วยเหตุผลด้านบน) สิ่งที่เราทำเพิ่มเติม เราก็บริจาคเวลาเค้ามีกิจกรรม ช่วยซื้อหนังสือเติมให้ห้องสมุด (หลายๆ ครอบครัวที่ส่งลูกมากเรียนก็ช่วยๆ กันแนวนี้ค่ะ)
ปล4. เราเองมีความเชื่อว่า เราอยู่กับลูกมากกว่าโรงเรียน รู้ใจกันมากกว่า เราเลือกจะสอนและส่งเสริมลูกทั้งในเรื่องวิชาการที่เป็น way ของลูกเอง รวมถึงวิถีชีวิตที่ถูกที่ควร(ศิลธรรม และหลักในการอยู่ร่วมกับคนอื่น)ให้ลูกด้วยตัวเองค่ะ โรงเรียนเป็นแค่ที่ส่งเสริม เป็นสนามชีวิตเล็กๆ ของเค้า แต่ไม่ใช่ที่หลักที่เราพึ่งพาเพื่อให้ลูกไปถึงฝั่ง เราจึงไม่ฝากความหวังไว้กับโรงเรียนค่ะ
ปล5. ส่วนตัว...เราไม่พึงใจกับการเรียนในรูปแบบของเด็กไทยสมัยนี้ เรียนในโรงเรียนดัง แข่งกันเรียน ต้องไปเรียนพิเศษเพื่อให้ไปสอบเข้าใดในโรงเรียนดังถัดไป เราเสียดายชีวิตวัยเด็กของลูกเราค่ะ เราถือว่า 0-7 ปี เป็นช่วงวัยค้นหาสิ่งที่ชอบ ไม่ใช่วัยยัดเยียด ช่วงนี้เราให้ลูกลองทุกอย่างค่ะ หลัง 7 ขวบคงค่อยๆ คุยกันอีกที ว่าจะเอาแนววิชาการ แนวกีฬา หรือแนวบันเทิงดี
ปล6. ความตั้งใจในการเลี้ยงลูกของเรา เราต้องการให้เค้าดำรงชีวิตอยู่ได้แบบไม่ยึดติดกับสังคม อยากให้เค้าเป็นและทำในสิ่งที่เค้าต้องการเค้าชอบจริงๆ ไม่ใช่ต้องชอบโรงเรียนแบบนี้ การเรียนแบบนี้ เสื้อผ้าแบบนี้ กระเป๋าแบบนี้ รองเท้าแบบนี้ ในแบบที่สังคมเค้าชอบกัน แต่ตอบตัวเองไม่ได้ว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งที่ลูกชอบหรือเปล่า
สุดท้าย(อยากบอก)
1. อย่าได้กังวลหรือใส่ใจค่ะ ว่าโรงเรียนลูกจะดังเท่าใครมั๊ย จะแพงมั๊ย อยากให้สนใจว่าลูกคุณเรียน รร นี้ ลูกมีความสุขมั๊ย เหมาะกับลูกมั๊ย เหมาะกับครอบครัวมั๊ยมากกว่าค่ะ
2. โรงเรียนเล็กๆ หรือโรงเรียนของภาครัฐ ไม่ใช่โรงเรียนตามรูปแบบในนวนิยายน้ำเน่า ที่ดูลำบากลำบนทุกโรงเรียนไปค่ะ ยิ่งอยู่ในสังกัด กทม เนี่ย มีงบและโครงการต่างๆ เต็มไปหมด(สังเกตุจากโรงเรียนแถวๆ บ้านค่ะ)
3. ไม่ได้มีประเด็นใดๆ กับคนที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนแพงที่สุด ดีที่สุดนะคะ แต่ละคนมีบริบทชีวิตไม่เหมือนกัน ทางเลือกต่างกัน และเชื่อมั่นว่าทุกคนเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกอยู่แล้วค่ะ
จากคนที่ไม่ได้เป็นหมอเด็ก ไม่ได้เรียนด้านเด็ก แค่เคยเป็นเด็ก และแม่ของเด็ก