ขอเล่าที่มาที่ไปก่อนนะค่ะ
เมื่อปี 52-53ครอบครัวเราได้เช่าทาวน์เฮ้าส์ระดับกลางแห่งหนึ่งแถวสุวรรณภูมิค่ะ ตอนนั้นลูกของเราก็ประมาณสาม-สี่ขวบ ไปอยู่แรกๆเราก็พยายามทำความรู้จักบ้านใกล้เรือนเคียงสี่ห้าหลัง ยึ้มก่อนบ้างทักทายก่อนบ้างทุกคนก็อัธยาศัยดีหมด
จนได้รู้จักครอบครัวหนึ่งที่รู้จักกันเพราะมีลูกชายอายุเท่ากันแต่อยู่คนล่ะโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก เพราะกิจวัตรประจำไม่ตรงกัน คือว่า จ-ศ ก็ต่างทำงานกัน ส-อา ต่างก็ทำเรื่องส่วนตัวกัน เด็กๆไม่ค่อยได้เล่นกัน นานๆจะเล่นด้วยกัน
ส่วนใหญ่จะเล่นกันที่สนามของทาวเฮ้าส์ ลูกเราไปเล่นบ้านเขาบ้าง(อันที่จริงเราก็ไม่อยากให้ลูกไปบ้านเขาบ่อยเพราะเราเกรงใจกลัวเด็กๆจะเล่นกันเสียงดัง) แต่ลูกเขาไม่เคยมาเล่นที่บ้านเรา เหมือนเขาไม่ให้มาด้วย เพราะเราเคยชวนเด็กมาเล่นที่บ้านแต่เด็กไม่มาเพราะพ่อแม่สั่งห้ามไม่ให้มาเล่นกับลูกเราที่บ้านเราและเด็กบอกว่าของเล่นที่บ้านเราไม่มีอันไหนที่ดีๆเลยและไม่ค่อยมียี่ห้อเหมือนของเล่นปลอมๆ ตอนนั้นเล่นเอาเราอึ้งไปเลยค่ะกับคำพูดของเด็กสี่ขวบ ระดับอนุบาล แต่เราก็ไม่ได้บอกพ่อแม่เด็กแต่อย่างใดเพราะคิดว่าแล้วกันไปไม่คิดมาก
และเท่าที่เราสังเกตุเหมือนครอบครัวนี้ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ที่เรารู้จักกันเพราะเด็กๆเล่นด้วยกัน แต่เรากับเขาก็ไม่สนิทกันนะค่ะรู้แค่ว่าภรรยาทำงานบริษัท ส่วนสามีมีกิจการส่วนตัว (ส่วนเราทำงานบริษัทค่ะ)
หลังจากนั้นปี54 เราก็ได้กู้ซื้อบ้านใหม่เป็นบ้านเดี่ยวของLแถวบางนาตราด ก่อนย้ายเราก็บอกรอบครัวนี้นะค่ะว่าจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ฝ่ายภรรยาก้อสอบถามเราว่าชื่อโครงการอะไร อยู่ที่ไหน ราคาเท่าไหร กู้อย่างไร ผ่อนอย่างไร ซึ่งเราก็บอกเขาหมดไม่ปิดปัง ตลอดเวลาที่เราย้ายมาบ้านใหม่ที่บางนาตราด ฝ่ายภรรยาของครอบนั้นมักจะโทรมาหาเราตลอด ถามว่าบ้านใหม่อยู่แล้วเป็นอย่างไรดีมั้ย มีเฟสใหม่ขึ้นบ้างใหม่ เพราะคิดจะซื้อบ้านเดี่ยวเหมือนกัน เราก็ให้ข้อมูลไปอะไรดีก็บอกว่าดี อะไรไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี เมื่อมีเฟสใหม่ขึ้นเขาก็ขอให้เราพาเขาไปดูและเราก็พาเขาไปจนกระทั้งต้นปี56 เขาก็ตัดสินใจซื้อบ้านโครงการเดียวกับเราและใช้สิทธิของเป็นส่วนลดราคาในการแนะนำลูกค้าใหม่ และก็ย้ายมาอยู่กลางปี56
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเมื่อมาอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เด็กๆลูกของเราและของเขาก็มาเล่นบ้านเราบ้างไปเล่นบ้านเขาบ้าง ตอนนี้เด็กๆอยู่ป.2ค่ะ แต่ก็ยังคนละโรงเรียน ซึ่งตลอดเวลาที่ลูกเขามาเล่นบ้านเราลูกเขาก็จะติเรื่องบ้านของเราให้ลูกเราฟังว่า ที่บ้านใช้เครื่องไฟฟ้าอะไรไม่มียี่ห้อเลย ของเล่นก็ไม่มีลิขสิทธิ์ ทีวีจอแค่32นิ้วดูไปได้งัยเล็กนิดเดียว ที่บ้านนายไม่มีเครื่องเสียงเหรอ ทำไมmicrovaveไม่อันใหญ่เหมือนบ้านเขา และที่สำคัญทำไมไม่มีของกินดีๆเหมือนบ้านของเขา ทำไมไม่ไปซื้อกับข้าวใน Top superฯเหมือนบ้านเขา ทำไมต้องไปแค่ BigC กับ Lotus ทำไมไม่ซื้อไข่CP ไข่ที่ตลาดนัดเขากินไม่ได้
คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดของเด็กคนนี้ที่มาเล่นกับลูกเราบ่อยๆ และเมื่อไม่นานมานี้ตอนต้นปีลูกพูดกับเราสองต่อสองว่าเพื่อนคนนี้พยายามจะทำตัวมีอำนาจกับลูกเรามากเกินไป เพราะเด็กคนนี้เคยสั่งให้ลูกเราถูบ้านของเขาเมื่อเด็กคนนี้ทำน้ำหก มีอยู่วันหนึ่งวันเสาร์ที่แล้วเองค่ะ เราทำไข่เจียวให้ลูกกินและเด็กคนนั้นก็มาเล่นที่บ้านเราพอดี เราก็เลยชวนกินข้าวด้วยกัน เด็กคนนั้นตอบกลับเรามาว่า “ผมไม่กินกับข้าวบ้านนี้ครับเพราะของกินที่บ้านผมมีของกินดีๆกว่าบ้านเยอะแยะครับ” เราอึ้งไปเลยค่ะและคิดว่าจะไม่ให้ลูกไปเล่นกับเด็กคนนี้อีกแล้ว แต่เราก็ไม่คิดที่จะไปบอกพ่อแม่เด็กนะค่ะว่าลูกเขาเป็นแบบนี้เพราะเรากลัวเขาไม่พอใจ หากเขาเชื่อก็ไม่เป็นไรแต่หากเขาไม่เชื่อก็จะโกรธกันไปเปล่า
เราคิดว่าต่อไปจะแค่ทักทายก็พอตามประสาเพื่อนบ้าน แต่คงจะไม่ให้ลูกเราเล่นกับลูกเขาอีกแล้ว แต่ถ้าเล่นกันก็คงนานๆๆที นี่เราคิดมากไปไหมค่ะ
เราคิดเรื่องเพื่อนของลูกมากเกินไปไหมคะ (เนื้อหายาวไปหน่อยนะคะ)
เมื่อปี 52-53ครอบครัวเราได้เช่าทาวน์เฮ้าส์ระดับกลางแห่งหนึ่งแถวสุวรรณภูมิค่ะ ตอนนั้นลูกของเราก็ประมาณสาม-สี่ขวบ ไปอยู่แรกๆเราก็พยายามทำความรู้จักบ้านใกล้เรือนเคียงสี่ห้าหลัง ยึ้มก่อนบ้างทักทายก่อนบ้างทุกคนก็อัธยาศัยดีหมด
จนได้รู้จักครอบครัวหนึ่งที่รู้จักกันเพราะมีลูกชายอายุเท่ากันแต่อยู่คนล่ะโรงเรียน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก เพราะกิจวัตรประจำไม่ตรงกัน คือว่า จ-ศ ก็ต่างทำงานกัน ส-อา ต่างก็ทำเรื่องส่วนตัวกัน เด็กๆไม่ค่อยได้เล่นกัน นานๆจะเล่นด้วยกัน
ส่วนใหญ่จะเล่นกันที่สนามของทาวเฮ้าส์ ลูกเราไปเล่นบ้านเขาบ้าง(อันที่จริงเราก็ไม่อยากให้ลูกไปบ้านเขาบ่อยเพราะเราเกรงใจกลัวเด็กๆจะเล่นกันเสียงดัง) แต่ลูกเขาไม่เคยมาเล่นที่บ้านเรา เหมือนเขาไม่ให้มาด้วย เพราะเราเคยชวนเด็กมาเล่นที่บ้านแต่เด็กไม่มาเพราะพ่อแม่สั่งห้ามไม่ให้มาเล่นกับลูกเราที่บ้านเราและเด็กบอกว่าของเล่นที่บ้านเราไม่มีอันไหนที่ดีๆเลยและไม่ค่อยมียี่ห้อเหมือนของเล่นปลอมๆ ตอนนั้นเล่นเอาเราอึ้งไปเลยค่ะกับคำพูดของเด็กสี่ขวบ ระดับอนุบาล แต่เราก็ไม่ได้บอกพ่อแม่เด็กแต่อย่างใดเพราะคิดว่าแล้วกันไปไม่คิดมาก
และเท่าที่เราสังเกตุเหมือนครอบครัวนี้ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ที่เรารู้จักกันเพราะเด็กๆเล่นด้วยกัน แต่เรากับเขาก็ไม่สนิทกันนะค่ะรู้แค่ว่าภรรยาทำงานบริษัท ส่วนสามีมีกิจการส่วนตัว (ส่วนเราทำงานบริษัทค่ะ)
หลังจากนั้นปี54 เราก็ได้กู้ซื้อบ้านใหม่เป็นบ้านเดี่ยวของLแถวบางนาตราด ก่อนย้ายเราก็บอกรอบครัวนี้นะค่ะว่าจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ฝ่ายภรรยาก้อสอบถามเราว่าชื่อโครงการอะไร อยู่ที่ไหน ราคาเท่าไหร กู้อย่างไร ผ่อนอย่างไร ซึ่งเราก็บอกเขาหมดไม่ปิดปัง ตลอดเวลาที่เราย้ายมาบ้านใหม่ที่บางนาตราด ฝ่ายภรรยาของครอบนั้นมักจะโทรมาหาเราตลอด ถามว่าบ้านใหม่อยู่แล้วเป็นอย่างไรดีมั้ย มีเฟสใหม่ขึ้นบ้างใหม่ เพราะคิดจะซื้อบ้านเดี่ยวเหมือนกัน เราก็ให้ข้อมูลไปอะไรดีก็บอกว่าดี อะไรไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี เมื่อมีเฟสใหม่ขึ้นเขาก็ขอให้เราพาเขาไปดูและเราก็พาเขาไปจนกระทั้งต้นปี56 เขาก็ตัดสินใจซื้อบ้านโครงการเดียวกับเราและใช้สิทธิของเป็นส่วนลดราคาในการแนะนำลูกค้าใหม่ และก็ย้ายมาอยู่กลางปี56
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาเมื่อมาอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เด็กๆลูกของเราและของเขาก็มาเล่นบ้านเราบ้างไปเล่นบ้านเขาบ้าง ตอนนี้เด็กๆอยู่ป.2ค่ะ แต่ก็ยังคนละโรงเรียน ซึ่งตลอดเวลาที่ลูกเขามาเล่นบ้านเราลูกเขาก็จะติเรื่องบ้านของเราให้ลูกเราฟังว่า ที่บ้านใช้เครื่องไฟฟ้าอะไรไม่มียี่ห้อเลย ของเล่นก็ไม่มีลิขสิทธิ์ ทีวีจอแค่32นิ้วดูไปได้งัยเล็กนิดเดียว ที่บ้านนายไม่มีเครื่องเสียงเหรอ ทำไมmicrovaveไม่อันใหญ่เหมือนบ้านเขา และที่สำคัญทำไมไม่มีของกินดีๆเหมือนบ้านของเขา ทำไมไม่ไปซื้อกับข้าวใน Top superฯเหมือนบ้านเขา ทำไมต้องไปแค่ BigC กับ Lotus ทำไมไม่ซื้อไข่CP ไข่ที่ตลาดนัดเขากินไม่ได้
คำพูดเหล่านี้เป็นคำพูดของเด็กคนนี้ที่มาเล่นกับลูกเราบ่อยๆ และเมื่อไม่นานมานี้ตอนต้นปีลูกพูดกับเราสองต่อสองว่าเพื่อนคนนี้พยายามจะทำตัวมีอำนาจกับลูกเรามากเกินไป เพราะเด็กคนนี้เคยสั่งให้ลูกเราถูบ้านของเขาเมื่อเด็กคนนี้ทำน้ำหก มีอยู่วันหนึ่งวันเสาร์ที่แล้วเองค่ะ เราทำไข่เจียวให้ลูกกินและเด็กคนนั้นก็มาเล่นที่บ้านเราพอดี เราก็เลยชวนกินข้าวด้วยกัน เด็กคนนั้นตอบกลับเรามาว่า “ผมไม่กินกับข้าวบ้านนี้ครับเพราะของกินที่บ้านผมมีของกินดีๆกว่าบ้านเยอะแยะครับ” เราอึ้งไปเลยค่ะและคิดว่าจะไม่ให้ลูกไปเล่นกับเด็กคนนี้อีกแล้ว แต่เราก็ไม่คิดที่จะไปบอกพ่อแม่เด็กนะค่ะว่าลูกเขาเป็นแบบนี้เพราะเรากลัวเขาไม่พอใจ หากเขาเชื่อก็ไม่เป็นไรแต่หากเขาไม่เชื่อก็จะโกรธกันไปเปล่า
เราคิดว่าต่อไปจะแค่ทักทายก็พอตามประสาเพื่อนบ้าน แต่คงจะไม่ให้ลูกเราเล่นกับลูกเขาอีกแล้ว แต่ถ้าเล่นกันก็คงนานๆๆที นี่เราคิดมากไปไหมค่ะ