"พอเพียง" หลักคิดลงทุน"วราพรรณ วงศ์สารคาม"

คุณนุชเป็นนักลงทุนอีกคนหนึ่งที่มีแนวคิดดีมากๆ ลองอ่านดูครับ
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ครับ
.......................................
"พอเพียง" หลักคิดลงทุน"วราพรรณ วงศ์สารคาม"
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/investment/20140128/558419/¾Íà¾Õ§-ËÅѡ¤Դŧ·عÇÃҾÃó-ǧÈìÊÒäÒÁ.html

“วราพรรณ วงศ์สารคาม” แม่บ้านนักลงทุนวีไอวัย 43 ปี ผู้นำหลักธรรมะมาปรับใช้ในชีวิตการลงทุน เธอไม่หวังผลตอบแทน “มหาศาล” ขอแค่สม่ำเสมอทุกปี

หากทุกคนสามารถนำหลักธรรมประจำใจอย่าง “พรหมวิหาร 4” ประกอบด้วย “เมตตา-กรุณา-มุทิตา-อุเบกขา” มาปรับใช้ในการดำรงชีวิตประจำวันได้ “ใจคงเป็นสุข” เราไม่จำเป็นต้องนำหลักธรรมทั้ง 4 ข้อมาปฎิบัติ ขอเพียงนำหลัก “มุทิตา” (ความยินดี ในเมื่อผู้อื่นอยู่ดีมีสุข) มาใช้เพียงข้อเดียวเท่านี้ชีวิตเราก็ประสบความสำเร็จแล้ว “นุช-วราพรรณ วงศ์สารคาม” นักลงทุนแนววีไอ กล่าวทักทาย“กรุงเทพธุรกจ Biz Week” ด้วยการถ่ายทอดคติธรรมสอนใจประจำตัว

ได้ยินแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า เราเข้าวัดนั่งสมาธิทุกวันนะ แต่ซึมซับหลักธรรมะมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ ทุกครั้งที่เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันมีชีวิตลำบากทำให้เรารู้สึกว่า ชีวิตคนเราไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าความสุข แม้ตลอดชีวิตจะอยู่อย่างสุขสบาย แต่ยังคงใช้เงินอย่างรู้คุณค่า เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ไม่เคยซื้อแพงๆ ซื้อแค่พอใส่ได้ หลักธรรมะง่ายๆเหล่านี้นำมาใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้นได้นะ

ความคิดเรื่องการใช้เงินของ “นุช” คล้ายๆกับ “โจ-อนุรักษ์ บุญแสวง” นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของนามแฝง "โจ ลูกอีสาน" ในเว็บไซต์ Thaivi.com เธอบอกว่า ครั้งหนึ่งเคยเข้าไปอ่านบทความของคุณโจ “เรื่องการประหยัด” แกเห็นคุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ คุณโจจะไม่นำเงินไปทำอะไรหรือลงทุนอะไรเสี่ยงๆ ฉะนั้นก่อนทำอะไรต้องศึกษาข้อมูลให้ดี

เธอบอกว่า ส่วนตัวเป็นคนเก็บเงินเก่งมาก ไม่ได้งกนะ (หัวเราะ) นิสัยรักการออมมีมาตั้งแต่วัยเยาว์ เราเห็นพ่อ-แม่ ใช้เงินประหยัดมากๆ (ยิ้ม) ขณะที่ “อาม่า” ที่เดินทางมาจากเมืองจีน โดยมีเพียงเสื่อผืนหมอนใบ ทำให้เรารู้จักเก็บเงินเข้าธนาคารออมสินมาตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ โรงเรียนอยู่ใกล้บ้านไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ

“บิสวีค” ได้รับการแนะนำให้รู้จัก “นุช-วราพรรณ” จาก “โจ ลูกอีสาน” ผู้หญิงคนนี้แม้จะลงทุนไม่นานแค่ 4 ปี แต่เขาถือเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ลองคุยด้วยนะ” ประโยคเชื้อเชิญของ “โจ-อนุรักษ์”

“หญิงวัย 43 ปี” เจ้าของนามแฝง Theenut ในเว็บไซต์ Thaivi.com ย้อนประวัติชีวิตให้ฟังว่า พื้นเพเป็นคนจังหวัดอ่างทอง เราเป็นลูกสาวคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้อง 3 คน คุณพ่อคุณแม่ยึดอาชีพครูชั้นประถมหาเลี้ยงลูกๆ

หลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาตอนปลายครอบครัวส่งเรามาอาศัยกับญาติ เพื่อให้เรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ โรงเรียนเบญจมราชาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เรียนถึงแค่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ย้ายกลับไปเรียนต่อที่จังหวัดอ่างทอง ด้วยการสอบชิงทุน ก่อนจะมาศึกษาต่อในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีศรีธัญญา จังหวัดนนทบุรี

เริ่มทำงานแห่งแรกในสถานีอนามัย อำเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง จากนั้นย้ายไปทำงานใช้ทุนการศึกษาประมาณ 4 ปี ณ สาธารณสุขชุมชน (หมออนามัย) ตอนนั้นได้เงินแค่เดือน 2,800 บาท ระหว่างทำงานใช้ทุนพยาบาล มีโอกาสได้เรียนต่อคณะศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาสุขศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง 2 ปี

เมื่อเรียนจบก็สอบเปลี่ยนตำแหน่งเป็นนักวิชาการสาธารณสุข และเข้ามาทำงานที่กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพ ตั้งแต่ปี 2537-2545 จากนั้นไปเรียนต่อปริญญาโท สาขาจิตวิทยา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (มศว.) เรียนรุ่นเดียวกับ “อ้อม-สุนิสา สุขบุญสังข์” นักจัดรายการวิทยุ และพิธีกร เรานั่งเรียนข้างกัน เธอ บอก

ด้วยความที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่เด็กๆ ตอนทำงานเป็นนักวิชาการสาธารณสุข เคยอยากย้ายตัวเองไปทำงานเกี่ยวกับสังคมสงเคราะห์บนดอย แต่ “พ่อ” บอกว่า ไม่จำเป็น หากเรามีจิตใจอยากช่วยเหลือคนอยู่ที่ไหนก็ช่วยได้

จากนั้นตัดสินใจไปทำงานที่เทศบาลรังสิต จังหวัดปทุมธานี ประมาณ 5 ปี ก่อนจะย้ายไปทำตำแหน่งนักวิเคราะห์นโยบายและแผน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทำอยู่ 4 ปี ย้ายงานอีกครั้ง คราวนี้มาทำงานในโรงพยาบาล ศูนย์มหาวชิราลงกรณ์ ธัญบุรี ตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งเป็นที่ทำงานอยู่ในปัจจุบัน

ถามถึง “จุดเริ่มต้น” ของการลงทุนในตลาดหุ้น เธอบอกว่า จริงๆลงทุนครั้งแรกด้วยการซื้อคอนโดมิเนียม แถวมหาวิทยาลับบูรพา ถือเป็นการลงทุนแบบไม่ตั้งใจ บังเอิญมีคนจะขายคอนโดมิเนียม เพราะเขาร้อนเงิน เราจึงตัดสินใจซื้อ เพื่อปล่อยให้นักศึกษาเช่าเดือนละ 3,000 กว่าบาท ซื้อมาในราคา 385,000 บาท พื้นที่ประมาณ 28 ตารางเมตร

ด้วยความที่เป็นคนชอบทำความสะอาดและดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง ขณะที่คอนโดมิเนียมอยู่ไกลมากไปทุกวันคงไม่ไหวจึงตัดใจขายทิ้งในราคา 450,000 บาท ได้กำไรมานิดหน่อย

จากนั้นเรานำเงินที่ได้จากการขายคอนโดมิเนียมมาลงทุนในตลาดหุ้นต่อ ด้วยการเปิดพอร์ตลงทุนกับบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) “เวลาจะทำอะไรสักอย่างไม่ชอบถามใคร ชอบอ่าน และหาข้อมูลเอง ถามว่า หาความรู้จากไหนตามเว็บไซต์ทั่วไป หรืออ่านหนังสือ”

ก่อนเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นปี 2553 มีโอกาสได้ศึกษาหาข้อมูลต่างๆด้วยการอ่านหนังสือ “ตีแตก” ของ “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” หนังสือ “ออมเงินให้ได้เป็นล้าน” และอ่านบทความต่างๆตามเว็บไซต์ “ไทยวีไอ” และ เว็บไซต์พันทิป

“นุช” นิยามให้ตัวเองเป็น “นักลงทุนวีไอบ้านๆ” เธอบอกว่า ระหว่างที่อ่านหนังสือไปเรื่อยๆ บังเอิญไปเจอหนังสือ “พ่อรวยสอนลูก” ของ “โรเบิร์ต คิโยซากิ” เมื่ออ่านจบพร้อมพิจารณาตามทำให้พบว่า หากทำตามผู้เขียนแนะนำน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะครอบครัวของเราอยู่ในสายงานที่มีสามีทำงานเป็นพนักงานเอกชน ขณะที่เราเป็นข้าราชการ ฉะนั้นหากวันใดบริษัทเอกชนปิดกิจการ พนักงานถูกเลิกจ้าง ครอบครัวเราคงแย่ เพราะรายได้หลักมาจากงานของ “สามี”

เมื่อเป็นอย่างนั้นจึงเกิดความคิดว่า ต้องลงทุนอะไรสักอย่างที่ให้ “ผลตอบแทนกลับคืนมา” ครั้นจะไปทำธุรกิจส่วนตัวก็ไม่มีความรู้ไม่ถนัด ฉะนั้นจึงลองลงทุนในตลาดหุ้น จริงๆเข้ามาลงทุนไม่ได้หวังว่า จะมีผลตอบแทนงอกเงยมากมาย หวังแค่ “เงินปันผล” ที่ มากกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ช่วงนั้นดอกเบี้ยแบงก์อยู่ระดับ 4-5 เปอร์เซ็นต์ ก่อนจะปรับลดลงเหลือ 2-3 เปอร์เซ็นต์

“หุ้นตัวแรกที่ตัดสินใจซื้อ” คือ หุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี หรือ STA และ หุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) หรือ TRUBB ถามว่าทำไมถึงสนใจหุ้น 2 ตัวนี้? ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า “กรุณาอย่าทำตาม คุณอาจตายแบบฝั่งกลบได้” เธอเตือน

เหตุผลที่เลือกซื้อหุ้น ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี เพราะไปอ่านเจอในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่าหุ้นตัวนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) จากหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 1 บาท ในเว็บไซต์ยังบอกอีกว่า เจ้ามือกำลังจะไล่ราคา!!
ตอนนั้นช้อนที่ระดับ 60 บาทต่อหุ้น ซื้อไม่นานราคาหุ้นถูกไล่ราคาขึ้นไปถึง 100 กว่าบาท ใช้เวลาเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ตอนนั้นธุรกิจยางพาราดีมาก ยางมีราคาสูงเวอร์ ขณะที่บริษัทยังส่งออกไปขายในเมืองจีนด้วย ดูภาพรวมๆธุรกิจน่าจะเติบโตต่อเนื่อง

หลังจากนั้นไม่นานเราไปอ่านเจอในเว็บไซต์อีกว่า จะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งขายหุ้นออกมาหลังบริษัทแตกพาร์ ขณะที่มีอีกฝ่ายบอกว่า อย่าเพิ่งขายหุ้นหลังแตกพาร์ เพราะราคาหุ้นจะขึ้นไปอีก สุดท้ายตัดสินใจขายหุ้นในราคา 20 กว่าบาท ราคาพาร์ใหม่ แต่ถ้าเป็นราคาพาร์เดิมราคาน่าจะอยู่ระดับ 100 กว่าบาท ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาค่อนข้างเยอะ

ส่วนสาเหตุที่ช้อนหุ้น ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น พฤติกรรมจะคล้ายๆกัน นั่นคือ อ่านเจอข่าวในเว็บไซต์แห่งหนึ่งว่า บริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผลเป็นหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นในอัตรา 4 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หุ้นตัวนี้จำต้นทุนที่ซื้อมาไม่ได้ แต่ถือนานพอสมควร เราขายหุ้นแม่ออกไปก่อน เมื่อราคาหุ้นปันผลปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็ขายออกไปจนหมด ทำให้ได้รับผลตอบแทนกลับมาพอสมควร

เชื่อหรือไม่!!ช่วงแรกๆ ของการลงทุนชีวิตแทบไม่มีความสุขเลย นั่งไม่ติดเก้าอี้ต้องคอยเช็คข่าวตลอดเวลาว่า มีข่าวอะไรออกมาหรือไม่ หลายคนอาจสงสัยทำไมช่วงแรกของการลงทุนถึงไม่ขาดทุน นั่นเป็นเพราะเราเข้าไปซื้อตอนตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น หลังเพิ่งผ่านวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 มาใหม่ๆ ไม่เช่นนั้นพอร์ตลงทุนคงติดลบ
“ควรให้ความสำคัญกับ “จังหวะการเข้าซื้อหุ้น” และ “จิตวิทยามวลชน” ตลอด เราใช้มาตั้งแต่วันแรกของการลงทุนจนถึงปัจจุบัน”

เธอ บอกว่า ระหว่างการลงทุนยังคงศึกษาหาความรู้จากการอ่านหนังสือไปเรื่อยๆ ช่วงนั้นเกิดความรู้สึกไม่อยากเป็นนักลงทุนที่มีแต่ความกระวนกระวายใจ ต้องคอยนั่งตามข่าว คิดได้เช่นนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการลงทุน ด้วยการหันมาลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่ดี เพื่อถือลงทุนระยะยาว

ปัจจุบันมีหุ้น 3 ตัว แต่หลักๆจะมีแค่ 2 ตัว สัดส่วนเงินลงทุนประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะเก็บไว้เป็นเงินสดรอจังหวะช้อนหุ้นดีๆในช่วงราคาถูกๆ เธอเล่าถึงหุ้นตัวแรกให้ฟังว่า เป็น “กลุ่มค้าปลีก” เลือกหุ้นตัวนี้ เพราะดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปีก่อนเขาเติบโตตลอด แถมมีหนี้สินน้อยนิด

เขาเป็นผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจด้วยเงินสด มีจำนวนสาขาเพิ่มขึ้นทุกปี เรารู้สึกว่า หุ้นลักษณะนี้มี “ความปลอดภัย” ไม่ต้องคอยนั่งตามข่าว เธอย้ำ ที่สำคัญเวลาบริษัทแถลงแผนธุรกิจเขาสามารถทำได้จริง

ส่วนหุ้นตัวที่สองเป็น “กลุ่มสื่อสาร” เลือกลงทุนเพราะเขาจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงเฉลี่ย 7 เปอร์เซ็นต์ แถมสม่ำเสมอทุกปี ในอนาคตอาจจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงขึ้นไปอีก เนื่องจากบริษัทมีค่าสัมปทานลดลงบนคลื่นความถี่ใหม่ 3G และเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการเติบโตสูงตลอด เขาทำธุรกิจที่ผู้บริโภคจำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดีก็ตาม นั่นคือ ข้อได้เปรียบของเขา

ก่อนจะซื้อหุ้น 1 ตัว มักดูงบการเงินย้อนหลัง 3-5 ปี โดยต้องเติบโตต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทต้องมีการจ่ายเงินปันผลเกิน 5 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ส่วนตัวชอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการ “อุปโภค-บริโภค” ภายในประเทศ เพราะว่าไม่มี “ความเสี่ยง” เกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนจากค่าเงินบาท รวมทั้งไม่มีความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศ หุ้นประเภทนี้มักมีกำไรขั้นต้นดี และมีอำนาจต่อรองกับคู่ค้าสูง

“เราลงทุนในตลาดหุ้นหวังเพียงมีผลตอบแทนเพิ่มขึ้นจากเงินเดือนประจำ เพื่อรองรับชีวิตวัยเกษียณ จากนี้จะขอยึดหลักลงทุนแบบ “อนุรักษ์นิยม” ไม่จำเป็นต้องมีกำไรมากมาย ขอแค่ทำทุกวันให้ดี เมื่อเหตุดี ผลที่ดีจะตามมา ก่อนจะลงทุนในหุ้นพื้นฐานสักตัวควรศึกษาหาความรู้ให้ดีก่อน อย่าคิดแค่ว่า ทุกแห่งที่คุณเข้าไปแล้วจะสามารถหยิบอะไรกลับมาง่ายๆ” “นักลงทุนวีไอบ้านๆ” ทิ้งแง่คิดให้เม่าน้อยพิจารณาตาม

https://www.facebook.com/pages/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9C%E0%B8%A5/198068607020376
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่