http://www.visalo.org/article/ExpWhyStillMonk.htm
บวชมาตั้งแต่ใครต่อใครสำคัญผิดคิดว่าเป็นเณร จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อแล้ว
กระนั้นก็ยังมีบางคราวที่เวลาเผลอลูบหัวตัวเองแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าเราเป็นพระหรือนี่ ?
เวลา ๑๒ ปี หากมองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่านานยิ่งนัก ครั้นเหลียวไปข้างหลัง กลับรู้สึกว่าเวลาช่าง
ผ่านไปเร็วแท้ เร็วจนบางทีคิดว่าข้าพเจ้าเพิ่งสละเพศฆราวาสไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
มาถึงบัดนี้ แม้สมณสัญญาจะฝังลึกในกลมสันดานยิ่งกว่าแต่ก่อน ที่จะเผลอวิ่ง หรือเผลอรับของ
จากสีกาด้วยมือตน เห็นจะไม่มีอีกแล้ว แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเป็นคน ๒ โลก ไม่ต่างจากคน ๒
สัญชาติ คือแม้จะสำนึกในความเป็นพระ แต่ก็ไม่รู้สึกแปลกแยกกับโลกของฆราวาส มีบ้างที่เวลา
ฝัน ก็เห็นตนเป็นฆราวาส แต่เมื่อใดที่อยู่กับความเป็นจริง โดยเฉพาะยามเดินบนท้องถนนในกรุง
เทพฯ หรือคอยรถเมล์ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน สำนึกในความเป็นพระจะชัดเจนแจ่มแจ้งทีเดียว
เพราะคงไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้ข้าพเจ้าประจักษ์แก่ใจว่า ตนนั้นเป็นส่วนเกินของโลกฆราวาส
ได้เท่ากับตอนที่ถูกเบียด จนต้องอาศัยไหล่ถนนเป็นทางเดิน หรือต้องคอยเฝ้ามองใครต่อใครกรู
ขึ้นรถเมล์คันแล้วคันเล่า โดยตนไม่มีสิทธิ์ขึ้น
การครองเพศบรรพชิตมานานกว่าทศวรรษ เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่เคยนึกฝันมาก่อน มิตรสหายก็
คงไม่คิดเช่นกัน ข่าวลือว่าข้าพเจ้าสึกแล้ว หรือกำลังจะสึก จึงเข้าหูข้าพเจ้ามาตั้งแต่พรรษาแรกๆ
เลยทีเดียว จะว่าไป เพื่อนๆ พูดถึงการสึกของข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะบวชเสียอีก เรื่องนี้ที่จริงก็
เข้าใจได้ เพราะข้าพเจ้าเองแต่เดิมก็ตั้งใจว่าจะบวชเพียงแค่ ๓ เดือนเท่านั้น ขืนบวชนานกว่านั้น
ดูจะเป็นการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานเกินไป แต่ครั้นครบกำหนดบวช ข้าพเจ้ากลับรู้สึกอาลัยเพศ
บรรพชิตยิ่งนัก เป็นความอาลัยไม่แพ้กับตอนอำลาเพศฆราวาสด้วยอาหารเย็นรสอร่อยในคืนสุด
ท้ายก่อนบวช ในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องไปเจรจาขออนุญาตเพื่อนร่วมงาน บวชต่ออีกสักระยะหนึ่ง ต่อ
มาก็ขอยืดไปจนออกพรรษ แล้วก็เจรจาต่อจนบวชครบปี จากนั้นก็ไม่มีการเจรจาอีกแล้ว เพื่อนๆ
คงทำใจได้ หรืออาจคิดว่าอีกไม่นานข้าพเจ้าก็คงจะกลับมา
มีหลายเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่รีบสึก ขอสารภาพว่า อาจารย์ยันตระเป็นผู้หนึ่ง ที่มีส่วนทำ
ให้ข้าพเจ้าบวชต่อหลังจากครบกำหนด ๓ เดือนแล้ว ท่านว่าอย่าเพ่อสึก เพราะข้าพเจ้ามีราศีนักบวช
ความศรัทธาในตัวท่านทำให้ข้าพเจ้าถือว่านี้เป็นพรและกำลังใจอันประเสริฐ แม้บัดนี้ศรัทธาดังกล่าว
จะสิ้นไปแต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกขอบคุณที่มีส่วนช่วยรั้งไม่ให้ข้าพเจ้าทำตามที่ตั้งใจไว้ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้า
หมายมั่นปั้นมือแล้วว่า จะไปดูหนังเรื่อง “คานธี” และ “อีที” ทันทีที่สึกออกไป ส่วน “ The Postman
Always Rings Twice” นั้นน่าเสียดายที่ออกไปตั้งแต่เดือนแรกที่บวช ข้าพเจ้าเป็นแฟนแจ๊ค นิโคลสัน เสียด้วย
คงไม่ใช่เพราะ “ราศีนักบวช” ดอกที่ทำให้ข้าพเจ้าบวชได้นานกว่าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน มานึกดูก็เห็นจะ
เป็นเพราะความเข็ดขยาดในชีวิตฆราวาสนั่นเองเป็นประการสำคัญ ที่ว่าเข็ดขยาดนั้นไม่ใช่เพราะข้าพเจ้า
อกหัก ผิดหวังกับชีวิต หรือสิ้นหวังกับสังคม ชีวิตไม่มีอะไรให้ผิดหวัง (ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ค่อยหวังอะไร
กับชีวิตอยู่แล้ว) ส่วนสังคมนั้นก็ยังมีอะไรต่ออะไรที่เราสมควรทำอีกมาก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งข้าพเจ้าก็พบว่า
ตนเองเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เป็นความเหนื่อยล้าชนิดที่ไม่ยอมคิดหาความสงบนิ่ง แถมยังสงบยิ่งไม่ได้ด้วย
เพราะใจร้อนรนไม่อยู่สุข ต้องวิ่งวุ่นกระเซอะกระเซิง นับวันคุณภาพชีวิตยิ่งตกต่ำ หงุดหงิดง่าย จนพาลมี
เรื่องมีราวกับคนไปทั่ว แถมยังนอนไม่หลับ กินไม่อร่อยเพราะความเครียดรุมเร้า
สภาพชีวิตดั่งคนหนีเงาเช่นนี้แหละ ที่ผลักไสให้ข้าพเจ้าเข้าหาร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ แต่กว่าจะบวชก็
ต้องทำใจอยู่นาน เพราะรู้ดีว่าจะต้องไปเจอกับความทุกข์แน่ แต่ก็เชื่อว่าเป็นทุกข์ที่จะนำไปสู่ความสงบและ
ความสุข เมื่อบวชได้ไม่นาน ชีวิตก็ฟื้นคืนสภาพ การได้อยู่สงบและมีโอกาสเพ่งพินิจจิตใจของตนเอง ทำให้
แลเห็นได้ว่า ชีวิตฆราวาสนั้นเป็นชีวิตที่เสียสมดุลได้ง่ายเพราะวุ่นจนยากที่จะว่าง จิตแล่นออกนอกจนยาก
จะสงบนิ่งอยู่ภายใน ยิ่งนักกิจกรรมด้วยแล้ว การจะประคองชีวิตจิตใจให้ลงตัวมิใช่เรื่องง่ายเลย เพราะชีวิต
แทบจะกลายเป็นของสาธารณะไปเสียแล้ว จึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเองเท่าใดนัก ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่จัดสม
ดุลให้แก่ตนเองได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นกายกับใจ ภายนอกกับภายใน ส่วนตัวกับส่วนรวม ในความเห็นของข้าพ
เจ้า ชีวิตบรรพชิตเป็นชีวิตที่เอื้อต่อดุลยภาพดังกล่าว จัดเป็นชีวิตที่ลงตัว อย่างน้อยก็กินนอนและตื่นเป็นเวลา
แค่ประการหลังเพียงประการเดียว ชีวิตฆราวาสสมัยใหม่ก็ทำได้ยากเสียแล้ว
แต่ถ้าชีวิตพระราบรื่นเป็นสุขไปเสียหมด ผู้คนก็คงจะบวชกันไม่สึก และถ้าชีวิตพระไม่มีปัญหาเสียเลย บางค่ำ
บางคืนข้าพเจ้าก็คงไม่ฝันดอกว่า ได้จับพลัดจับผลูเข้าไปในโรงหนังด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงว่าเมื่อหนังฉาย
จบและเปิดไฟ คนในโรงจะจับได้ว่ามีพระเข้ามาดูหนัง แน่ละปัญหาของพระมีมากกว่าความอยากดูหนัง ข้าพเจ้า
ออกจะโชคดีที่ตอนเป็นฆราวาสหาแฟนกับเขาไม่ได้ (ถึงแม้จะพยายามหา แต่ที่สุดก็ลงท้ายด้วยความรู้สึกดังฝุ่น
ธุลีบนท้องถนนที่หาค่าอะไรไม่ได้) ดังนั้นจึงสามารถบวชได้นานขณะที่เพื่อนพ้องหลายคนจำต้องสึกหาลาเพศไป
เพราะมีพันธะก่อนบวช
แต่ไม่ว่าจะมีแฟนหรือไม่ เมื่อบวชแล้วเรื่องผู้หญิงหรือที่พระเรียกว่ามาตุคาม ก็ย่อมต้องเข้ามาพัวพันอย่างน้อยก็
ในทางจิตใจ เพียงแค่การแสดงความเคารพด้วยวาจาและท่าทีอันสุภาพอ่อนน้อมของผู้หญิงก็อาจถูกแปรเป็นความ
ฝันฟุ้งปรุงแต่งในใจของพระได้ง่ายๆ เพราะบ่อยครั้ง ฉันทาคติก็ทำให้แยกไม่ออกระหว่างความเคารพนับถือกับความรัก
เรื่องราวของพระจำนวนไม่น้อยที่สึกหาลาเพศออกไปเพื่อจะแต่งงานแล้วกลับ “วืด” นั้น นับเป็นข้อเตือนใจที่ช่วย
ให้บวชได้นานขึ้น แต่เมื่อได้รับรู้ข่าวคราวของพระหลายรูปที่ต้องปฐมปาราชิก บางทีก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลับมาตั้ง
คำถามกับเส้นทางชีวิตในปัจจุบันของตน เพราะพระเหล่านั้น บางรูปเท่าที่รู้จักก็มิใช่พระเลว หากเป็นผู้ปรารถนา
ความเจริญงอกงามในชีวิตพรหมจรรย์ แต่แล้วก็กลับพลั้งพลาด ถ้าคิดว่าเราเป็นมนุษย์คนละประเภทกับพระเหล่านั้น
และไม่มีวันจะทำกรรมอันอุกฤษฏ์เช่นนั้นได้ นั่นก็แสดงว่าเราหลงตนเกินไปแล้ว (เว้นเสียแต่อริยผลบังเกิดแก่เราแล้วเท่านั้น)
คราใดที่นึกถึงเส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า และระลึกถึงเรื่องราวของผู้พลั้งพลาดเหล่านั้นก็อดประหวั่นไม่ได้ บาง
ครั้งก็ให้ท้อถอยว่า สักวันหนึ่งเราคงจะพ่ายแพ้ต่อกามราคะแน่ ยิ่งมาได้ยินคำของท่านอาจารย์พุทธทาสที่กล่าว
เตือนลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า สำหรับพระที่บวชแต่ยังหนุ่ม ช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวอย่างยิ่งก็คือช่วงอายุ ๔๐-๖๐ ปี
ข้าพเจ้าเลยพาลจะยกธงขาวเอาดื้อๆ เพราะนี่ก็ใกล้จะถึง “วัยอันตราย” แล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์และสหธรรมิก
รุ่นพี่ก็เคยเตือนหลายครั้งหลายหนว่า ถ้าไม่คิดจะบวชตลอดชีวิตก็ควรจะสึกเสียตอนนี้ บางท่านห่วงว่าข้าพเจ้า
จะทำมาหากินไม่ทันเขา บางท่านก็เกรงว่าศรัทธาของญาติโยมจะฝังรากลึกจนทำใจไม่ได้หากข้าพเจ้าจะสึกเสีย
แต่การประพฤติพรหมจรรย์มิใช่การทำศึกสงครามดังตรัสไว้ในพระบาลีดอกหรือ คนที่เพียงแต่เห็นยอดธงหรือ
ได้ยินเสียงกึกก้องของกองทัพข้าศึก ก็ยอมแพ้เสียแล้ว จะถือว่าเป็นนักรบประเภทใด เสนามารนั้นมีกองทัพอัน
ยิ่งใหญ่ แต่เราสมควรล่าถอยก็ต่อเมื่อได้ประดาบกันแล้วมิใช่หรือ คิดเช่นนี้แล้วก็เลยมีความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้
แม้ไม่แน่ว่าจะผ่านไปได้อีกกี่ศึกก็ตาม ยังดีที่ข้าพเจ้าพอรู้เท่ารู้ทันในเรื่องจิตใจอยู่บ้าง ทำให้รู้จักอุบายหลอก
ล่อหลบหลีกออกจากกามไปได้ จึงรักษาตัวรอดมาได้จนทุกวันนี้ แต่หากว่าถึงคราวที่จะต้องเผชิญกับมันซึ่งๆ หน้า
ก็หวังว่าจะไม่หัวหด หากพร้อมจะเข้าไปแลกหมัดกับมันอย่างพระอาจารย์ทองรัตน์ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา
มีเรื่องเล่าว่า ท่านเคยคิดจะสึกไปแต่งงาน ใครห้ามก็ไม่ฟัง แต่ในที่สุดท่านก็ขอขวานจากชาวบ้าน ตั้งหน้าตั้งตา
ฟันขอนไม้อยู่ ๓ วัน ๓ คืน จนกระทั่งมือแตก ร่างกายอ่อนเพลียเต็มที่ เสร็จแล้วท่านก็ถามใจตัวเองว่า “รู้จักพ่อไหมนี่”
สุดท้ายท่านก็บวชต่อจนได้เป็น “จอมทัพธรรม” คนสำคัญของภาคอีสาน
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า เคล็ดลับอย่างหนึ่งในการบวชให้ได้นาน (อย่างน้อยก็สำหรับข้าพเจ้า) ก็คือเหลียว
ไปข้างหลังบ่อยๆ และมองไปข้างหน้าน้อยๆ หน่อย นี้คงทำนองเดียวกับนักโทษที่ถูกจำคุกตลอดชีวิต เพราะข้างหน้า
นั้นมองไม่เห็นอนาคตว่า เมื่อไรจะได้ออก หรือถึงจะได้ออก ก็คงอีกนาน คนเรายิ่งบวชได้นานเท่าไร เวลามองย้อน
หลังก็อดยินดีไม่ได้ว่า เราได้เดินทางมาไกลแล้ว แต่ครั้นมองไปข้างหน้า เห็นเส้นทางทอดยาวเหยียดจนมองไม่เห็น
จุดสิ้นสุดการเดินทางแล้ว ก็พาลจะท้อใจ เพราะคงอีกนานกว่าจะถึง และไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหรือไม่(เว้นเสียแต่คุณ
บวชเมื่ออายุ ๖๐ หรือ๗๐ ปีแล้ว)
แต่ข้าพเจ้ามิได้มองย้อนหลังไปสุดที่วันแรกบวชเท่านั้น หากบ่อยครั้งก็มองเลยไปกว่านั้น นึกถึงชีวิตร้อนรนกระวนกระวาย
สมัยเป็นฆราวาส โดยเฉพาะปีสุดท้ายก่อนบวชคราใด ความคิดที่จะสึกก็ฝ่อลงไปทันที ราวดอกไม้ที่เจอน้ำร้อน แม้เวลาสิบ
กว่าปีจะทำให้ความทรงจำเลือนลางลงไปบ้าง แต่ชีวิตอันเหนื่อยล้าของผู้คนที่พบเห็นและรู้จัก ก็ช่วยเตือนความจำได้ไม่น้อย
ข้าพเจ้าเป็นปุถุชน มิได้มีคุณวิเศษไปกว่าคฤหัสถ์ แม้จะรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของผ้าเหลือง ที่ช่วยคุ้มกายคุ้มจิตของตนมิให้
ทุกข์ภัยแผ้วพานมากนัก พอๆ กับที่เหนี่ยวรั้งมิให้ตนเองลุแก่ตัณหาและโทสะ จนเที่ยวก่อปัญหาหรือสร้างความเดือดเนื้อร้อน
ใจให้แก่ผู้อื่นๆ กระนั้นก็ตามบางครั้งก็อดลังเลใจไม่ได้ว่า ตนเองเหมาะกับชีวิตเช่นนี้หรือไม่ เพราะใจมิได้ดื่มด่ำแน่วแน่ในชีวิต
พระเสียทีเดียวนัก แม้จะบวชมานานนับสิบปีแล้วก็ตาม แต่มีวันหนึ่งได้อ่าน “เถรีคาถา” เมื่อถึงบทของพระอัญญตราสามาเถรี
แล้ว ก็เกิดกำลังใจขึ้นมา เพราะท่านเล่าว่าไม่เคยได้รับความสงบใจแม้ขณะเดียว ทั้งๆ ที่บวชมานานถึง ๒๕ ปี ตั้ง ๒๕ ปี! แถม
ยังไม่ประสบความสงบจิตแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าต้องอุทานในใจ ที่น่าประหลาดใจก็คือท่านหาได้ท้อถอยไม่ หากเพียรพยายาม
บวชต่อไป จนในที่สุดความเพียรก็ส่งผล ท่านได้บรรลุธรรมในที่สุด
ถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าก็พอจะอวดอ้างได้ว่า ชีวิตการบวชของข้าพเจ้าใช่ว่าจะเลวร้ายเสียทีเดียวนัก เพราะอย่างน้อยก็ได้มีโอกาส
สัมผัสความสงบสุขในจิตใจเนืองๆ ถึงจะดีๆ ชั่วๆ อย่างไร ก็ไม่เคยถูกความทุกข์รุมเร้าทั้งวันทั้งคืนตลอด ๗ ปี จนถึงกับลงมือ
ฆ่าตัวตายอย่างพระสีหาเถรี ซึ่งเป็นพระเถรีอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อจารึกในพระไตรปิฎก แต่ข้าพเจ้าก็คงจะอวดอ้างได้เพียงแค่นั้นกระมัง
เพราะในบั้นปลายชีวิตท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลเช่นเดียวกับพระอัญญตราสามาเถรี
ปุถุชนอย่างข้าพเจ้าหากสามารถดำรงเพศพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต โดยไม่ถ่วงพระศาสนา ให้ทรุดต่ำลงไปกว่านี้ ก็นับว่าเป็นความสำเร็จในชีวิตแล้ว
พระไพศาล วิสาโล : ทำไมข้าพเจ้าจึง(ยัง)ไม่สึก
http://www.visalo.org/article/ExpWhyStillMonk.htm
บวชมาตั้งแต่ใครต่อใครสำคัญผิดคิดว่าเป็นเณร จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อแล้ว
กระนั้นก็ยังมีบางคราวที่เวลาเผลอลูบหัวตัวเองแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ว่าเราเป็นพระหรือนี่ ?
เวลา ๑๒ ปี หากมองไปข้างหน้าก็รู้สึกว่านานยิ่งนัก ครั้นเหลียวไปข้างหลัง กลับรู้สึกว่าเวลาช่าง
ผ่านไปเร็วแท้ เร็วจนบางทีคิดว่าข้าพเจ้าเพิ่งสละเพศฆราวาสไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
มาถึงบัดนี้ แม้สมณสัญญาจะฝังลึกในกลมสันดานยิ่งกว่าแต่ก่อน ที่จะเผลอวิ่ง หรือเผลอรับของ
จากสีกาด้วยมือตน เห็นจะไม่มีอีกแล้ว แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าตนเป็นคน ๒ โลก ไม่ต่างจากคน ๒
สัญชาติ คือแม้จะสำนึกในความเป็นพระ แต่ก็ไม่รู้สึกแปลกแยกกับโลกของฆราวาส มีบ้างที่เวลา
ฝัน ก็เห็นตนเป็นฆราวาส แต่เมื่อใดที่อยู่กับความเป็นจริง โดยเฉพาะยามเดินบนท้องถนนในกรุง
เทพฯ หรือคอยรถเมล์ ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน สำนึกในความเป็นพระจะชัดเจนแจ่มแจ้งทีเดียว
เพราะคงไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้ข้าพเจ้าประจักษ์แก่ใจว่า ตนนั้นเป็นส่วนเกินของโลกฆราวาส
ได้เท่ากับตอนที่ถูกเบียด จนต้องอาศัยไหล่ถนนเป็นทางเดิน หรือต้องคอยเฝ้ามองใครต่อใครกรู
ขึ้นรถเมล์คันแล้วคันเล่า โดยตนไม่มีสิทธิ์ขึ้น
การครองเพศบรรพชิตมานานกว่าทศวรรษ เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่เคยนึกฝันมาก่อน มิตรสหายก็
คงไม่คิดเช่นกัน ข่าวลือว่าข้าพเจ้าสึกแล้ว หรือกำลังจะสึก จึงเข้าหูข้าพเจ้ามาตั้งแต่พรรษาแรกๆ
เลยทีเดียว จะว่าไป เพื่อนๆ พูดถึงการสึกของข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าจะบวชเสียอีก เรื่องนี้ที่จริงก็
เข้าใจได้ เพราะข้าพเจ้าเองแต่เดิมก็ตั้งใจว่าจะบวชเพียงแค่ ๓ เดือนเท่านั้น ขืนบวชนานกว่านั้น
ดูจะเป็นการเอาเปรียบเพื่อนร่วมงานเกินไป แต่ครั้นครบกำหนดบวช ข้าพเจ้ากลับรู้สึกอาลัยเพศ
บรรพชิตยิ่งนัก เป็นความอาลัยไม่แพ้กับตอนอำลาเพศฆราวาสด้วยอาหารเย็นรสอร่อยในคืนสุด
ท้ายก่อนบวช ในที่สุดข้าพเจ้าก็ต้องไปเจรจาขออนุญาตเพื่อนร่วมงาน บวชต่ออีกสักระยะหนึ่ง ต่อ
มาก็ขอยืดไปจนออกพรรษ แล้วก็เจรจาต่อจนบวชครบปี จากนั้นก็ไม่มีการเจรจาอีกแล้ว เพื่อนๆ
คงทำใจได้ หรืออาจคิดว่าอีกไม่นานข้าพเจ้าก็คงจะกลับมา
มีหลายเหตุหลายปัจจัยที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่รีบสึก ขอสารภาพว่า อาจารย์ยันตระเป็นผู้หนึ่ง ที่มีส่วนทำ
ให้ข้าพเจ้าบวชต่อหลังจากครบกำหนด ๓ เดือนแล้ว ท่านว่าอย่าเพ่อสึก เพราะข้าพเจ้ามีราศีนักบวช
ความศรัทธาในตัวท่านทำให้ข้าพเจ้าถือว่านี้เป็นพรและกำลังใจอันประเสริฐ แม้บัดนี้ศรัทธาดังกล่าว
จะสิ้นไปแต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกขอบคุณที่มีส่วนช่วยรั้งไม่ให้ข้าพเจ้าทำตามที่ตั้งใจไว้ ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้า
หมายมั่นปั้นมือแล้วว่า จะไปดูหนังเรื่อง “คานธี” และ “อีที” ทันทีที่สึกออกไป ส่วน “ The Postman
Always Rings Twice” นั้นน่าเสียดายที่ออกไปตั้งแต่เดือนแรกที่บวช ข้าพเจ้าเป็นแฟนแจ๊ค นิโคลสัน เสียด้วย
คงไม่ใช่เพราะ “ราศีนักบวช” ดอกที่ทำให้ข้าพเจ้าบวชได้นานกว่าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกัน มานึกดูก็เห็นจะ
เป็นเพราะความเข็ดขยาดในชีวิตฆราวาสนั่นเองเป็นประการสำคัญ ที่ว่าเข็ดขยาดนั้นไม่ใช่เพราะข้าพเจ้า
อกหัก ผิดหวังกับชีวิต หรือสิ้นหวังกับสังคม ชีวิตไม่มีอะไรให้ผิดหวัง (ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ค่อยหวังอะไร
กับชีวิตอยู่แล้ว) ส่วนสังคมนั้นก็ยังมีอะไรต่ออะไรที่เราสมควรทำอีกมาก แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งข้าพเจ้าก็พบว่า
ตนเองเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว เป็นความเหนื่อยล้าชนิดที่ไม่ยอมคิดหาความสงบนิ่ง แถมยังสงบยิ่งไม่ได้ด้วย
เพราะใจร้อนรนไม่อยู่สุข ต้องวิ่งวุ่นกระเซอะกระเซิง นับวันคุณภาพชีวิตยิ่งตกต่ำ หงุดหงิดง่าย จนพาลมี
เรื่องมีราวกับคนไปทั่ว แถมยังนอนไม่หลับ กินไม่อร่อยเพราะความเครียดรุมเร้า
สภาพชีวิตดั่งคนหนีเงาเช่นนี้แหละ ที่ผลักไสให้ข้าพเจ้าเข้าหาร่มเงาแห่งผ้ากาสาวพัสตร์ แต่กว่าจะบวชก็
ต้องทำใจอยู่นาน เพราะรู้ดีว่าจะต้องไปเจอกับความทุกข์แน่ แต่ก็เชื่อว่าเป็นทุกข์ที่จะนำไปสู่ความสงบและ
ความสุข เมื่อบวชได้ไม่นาน ชีวิตก็ฟื้นคืนสภาพ การได้อยู่สงบและมีโอกาสเพ่งพินิจจิตใจของตนเอง ทำให้
แลเห็นได้ว่า ชีวิตฆราวาสนั้นเป็นชีวิตที่เสียสมดุลได้ง่ายเพราะวุ่นจนยากที่จะว่าง จิตแล่นออกนอกจนยาก
จะสงบนิ่งอยู่ภายใน ยิ่งนักกิจกรรมด้วยแล้ว การจะประคองชีวิตจิตใจให้ลงตัวมิใช่เรื่องง่ายเลย เพราะชีวิต
แทบจะกลายเป็นของสาธารณะไปเสียแล้ว จึงไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเองเท่าใดนัก ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่จัดสม
ดุลให้แก่ตนเองได้ง่ายไม่ว่าจะเป็นกายกับใจ ภายนอกกับภายใน ส่วนตัวกับส่วนรวม ในความเห็นของข้าพ
เจ้า ชีวิตบรรพชิตเป็นชีวิตที่เอื้อต่อดุลยภาพดังกล่าว จัดเป็นชีวิตที่ลงตัว อย่างน้อยก็กินนอนและตื่นเป็นเวลา
แค่ประการหลังเพียงประการเดียว ชีวิตฆราวาสสมัยใหม่ก็ทำได้ยากเสียแล้ว
แต่ถ้าชีวิตพระราบรื่นเป็นสุขไปเสียหมด ผู้คนก็คงจะบวชกันไม่สึก และถ้าชีวิตพระไม่มีปัญหาเสียเลย บางค่ำ
บางคืนข้าพเจ้าก็คงไม่ฝันดอกว่า ได้จับพลัดจับผลูเข้าไปในโรงหนังด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงว่าเมื่อหนังฉาย
จบและเปิดไฟ คนในโรงจะจับได้ว่ามีพระเข้ามาดูหนัง แน่ละปัญหาของพระมีมากกว่าความอยากดูหนัง ข้าพเจ้า
ออกจะโชคดีที่ตอนเป็นฆราวาสหาแฟนกับเขาไม่ได้ (ถึงแม้จะพยายามหา แต่ที่สุดก็ลงท้ายด้วยความรู้สึกดังฝุ่น
ธุลีบนท้องถนนที่หาค่าอะไรไม่ได้) ดังนั้นจึงสามารถบวชได้นานขณะที่เพื่อนพ้องหลายคนจำต้องสึกหาลาเพศไป
เพราะมีพันธะก่อนบวช
แต่ไม่ว่าจะมีแฟนหรือไม่ เมื่อบวชแล้วเรื่องผู้หญิงหรือที่พระเรียกว่ามาตุคาม ก็ย่อมต้องเข้ามาพัวพันอย่างน้อยก็
ในทางจิตใจ เพียงแค่การแสดงความเคารพด้วยวาจาและท่าทีอันสุภาพอ่อนน้อมของผู้หญิงก็อาจถูกแปรเป็นความ
ฝันฟุ้งปรุงแต่งในใจของพระได้ง่ายๆ เพราะบ่อยครั้ง ฉันทาคติก็ทำให้แยกไม่ออกระหว่างความเคารพนับถือกับความรัก
เรื่องราวของพระจำนวนไม่น้อยที่สึกหาลาเพศออกไปเพื่อจะแต่งงานแล้วกลับ “วืด” นั้น นับเป็นข้อเตือนใจที่ช่วย
ให้บวชได้นานขึ้น แต่เมื่อได้รับรู้ข่าวคราวของพระหลายรูปที่ต้องปฐมปาราชิก บางทีก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลับมาตั้ง
คำถามกับเส้นทางชีวิตในปัจจุบันของตน เพราะพระเหล่านั้น บางรูปเท่าที่รู้จักก็มิใช่พระเลว หากเป็นผู้ปรารถนา
ความเจริญงอกงามในชีวิตพรหมจรรย์ แต่แล้วก็กลับพลั้งพลาด ถ้าคิดว่าเราเป็นมนุษย์คนละประเภทกับพระเหล่านั้น
และไม่มีวันจะทำกรรมอันอุกฤษฏ์เช่นนั้นได้ นั่นก็แสดงว่าเราหลงตนเกินไปแล้ว (เว้นเสียแต่อริยผลบังเกิดแก่เราแล้วเท่านั้น)
คราใดที่นึกถึงเส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้า และระลึกถึงเรื่องราวของผู้พลั้งพลาดเหล่านั้นก็อดประหวั่นไม่ได้ บาง
ครั้งก็ให้ท้อถอยว่า สักวันหนึ่งเราคงจะพ่ายแพ้ต่อกามราคะแน่ ยิ่งมาได้ยินคำของท่านอาจารย์พุทธทาสที่กล่าว
เตือนลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดว่า สำหรับพระที่บวชแต่ยังหนุ่ม ช่วงที่ต้องระมัดระวังตัวอย่างยิ่งก็คือช่วงอายุ ๔๐-๖๐ ปี
ข้าพเจ้าเลยพาลจะยกธงขาวเอาดื้อๆ เพราะนี่ก็ใกล้จะถึง “วัยอันตราย” แล้ว อุปัชฌาย์อาจารย์และสหธรรมิก
รุ่นพี่ก็เคยเตือนหลายครั้งหลายหนว่า ถ้าไม่คิดจะบวชตลอดชีวิตก็ควรจะสึกเสียตอนนี้ บางท่านห่วงว่าข้าพเจ้า
จะทำมาหากินไม่ทันเขา บางท่านก็เกรงว่าศรัทธาของญาติโยมจะฝังรากลึกจนทำใจไม่ได้หากข้าพเจ้าจะสึกเสีย
แต่การประพฤติพรหมจรรย์มิใช่การทำศึกสงครามดังตรัสไว้ในพระบาลีดอกหรือ คนที่เพียงแต่เห็นยอดธงหรือ
ได้ยินเสียงกึกก้องของกองทัพข้าศึก ก็ยอมแพ้เสียแล้ว จะถือว่าเป็นนักรบประเภทใด เสนามารนั้นมีกองทัพอัน
ยิ่งใหญ่ แต่เราสมควรล่าถอยก็ต่อเมื่อได้ประดาบกันแล้วมิใช่หรือ คิดเช่นนี้แล้วก็เลยมีความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้
แม้ไม่แน่ว่าจะผ่านไปได้อีกกี่ศึกก็ตาม ยังดีที่ข้าพเจ้าพอรู้เท่ารู้ทันในเรื่องจิตใจอยู่บ้าง ทำให้รู้จักอุบายหลอก
ล่อหลบหลีกออกจากกามไปได้ จึงรักษาตัวรอดมาได้จนทุกวันนี้ แต่หากว่าถึงคราวที่จะต้องเผชิญกับมันซึ่งๆ หน้า
ก็หวังว่าจะไม่หัวหด หากพร้อมจะเข้าไปแลกหมัดกับมันอย่างพระอาจารย์ทองรัตน์ซึ่งเป็นอาจารย์ของหลวงพ่อชา
มีเรื่องเล่าว่า ท่านเคยคิดจะสึกไปแต่งงาน ใครห้ามก็ไม่ฟัง แต่ในที่สุดท่านก็ขอขวานจากชาวบ้าน ตั้งหน้าตั้งตา
ฟันขอนไม้อยู่ ๓ วัน ๓ คืน จนกระทั่งมือแตก ร่างกายอ่อนเพลียเต็มที่ เสร็จแล้วท่านก็ถามใจตัวเองว่า “รู้จักพ่อไหมนี่”
สุดท้ายท่านก็บวชต่อจนได้เป็น “จอมทัพธรรม” คนสำคัญของภาคอีสาน
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้ว่า เคล็ดลับอย่างหนึ่งในการบวชให้ได้นาน (อย่างน้อยก็สำหรับข้าพเจ้า) ก็คือเหลียว
ไปข้างหลังบ่อยๆ และมองไปข้างหน้าน้อยๆ หน่อย นี้คงทำนองเดียวกับนักโทษที่ถูกจำคุกตลอดชีวิต เพราะข้างหน้า
นั้นมองไม่เห็นอนาคตว่า เมื่อไรจะได้ออก หรือถึงจะได้ออก ก็คงอีกนาน คนเรายิ่งบวชได้นานเท่าไร เวลามองย้อน
หลังก็อดยินดีไม่ได้ว่า เราได้เดินทางมาไกลแล้ว แต่ครั้นมองไปข้างหน้า เห็นเส้นทางทอดยาวเหยียดจนมองไม่เห็น
จุดสิ้นสุดการเดินทางแล้ว ก็พาลจะท้อใจ เพราะคงอีกนานกว่าจะถึง และไม่แน่ใจว่าจะไปถึงหรือไม่(เว้นเสียแต่คุณ
บวชเมื่ออายุ ๖๐ หรือ๗๐ ปีแล้ว)
แต่ข้าพเจ้ามิได้มองย้อนหลังไปสุดที่วันแรกบวชเท่านั้น หากบ่อยครั้งก็มองเลยไปกว่านั้น นึกถึงชีวิตร้อนรนกระวนกระวาย
สมัยเป็นฆราวาส โดยเฉพาะปีสุดท้ายก่อนบวชคราใด ความคิดที่จะสึกก็ฝ่อลงไปทันที ราวดอกไม้ที่เจอน้ำร้อน แม้เวลาสิบ
กว่าปีจะทำให้ความทรงจำเลือนลางลงไปบ้าง แต่ชีวิตอันเหนื่อยล้าของผู้คนที่พบเห็นและรู้จัก ก็ช่วยเตือนความจำได้ไม่น้อย
ข้าพเจ้าเป็นปุถุชน มิได้มีคุณวิเศษไปกว่าคฤหัสถ์ แม้จะรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของผ้าเหลือง ที่ช่วยคุ้มกายคุ้มจิตของตนมิให้
ทุกข์ภัยแผ้วพานมากนัก พอๆ กับที่เหนี่ยวรั้งมิให้ตนเองลุแก่ตัณหาและโทสะ จนเที่ยวก่อปัญหาหรือสร้างความเดือดเนื้อร้อน
ใจให้แก่ผู้อื่นๆ กระนั้นก็ตามบางครั้งก็อดลังเลใจไม่ได้ว่า ตนเองเหมาะกับชีวิตเช่นนี้หรือไม่ เพราะใจมิได้ดื่มด่ำแน่วแน่ในชีวิต
พระเสียทีเดียวนัก แม้จะบวชมานานนับสิบปีแล้วก็ตาม แต่มีวันหนึ่งได้อ่าน “เถรีคาถา” เมื่อถึงบทของพระอัญญตราสามาเถรี
แล้ว ก็เกิดกำลังใจขึ้นมา เพราะท่านเล่าว่าไม่เคยได้รับความสงบใจแม้ขณะเดียว ทั้งๆ ที่บวชมานานถึง ๒๕ ปี ตั้ง ๒๕ ปี! แถม
ยังไม่ประสบความสงบจิตแม้แต่น้อย ข้าพเจ้าต้องอุทานในใจ ที่น่าประหลาดใจก็คือท่านหาได้ท้อถอยไม่ หากเพียรพยายาม
บวชต่อไป จนในที่สุดความเพียรก็ส่งผล ท่านได้บรรลุธรรมในที่สุด
ถึงตรงนี้ ข้าพเจ้าก็พอจะอวดอ้างได้ว่า ชีวิตการบวชของข้าพเจ้าใช่ว่าจะเลวร้ายเสียทีเดียวนัก เพราะอย่างน้อยก็ได้มีโอกาส
สัมผัสความสงบสุขในจิตใจเนืองๆ ถึงจะดีๆ ชั่วๆ อย่างไร ก็ไม่เคยถูกความทุกข์รุมเร้าทั้งวันทั้งคืนตลอด ๗ ปี จนถึงกับลงมือ
ฆ่าตัวตายอย่างพระสีหาเถรี ซึ่งเป็นพระเถรีอีกรูปหนึ่งที่มีชื่อจารึกในพระไตรปิฎก แต่ข้าพเจ้าก็คงจะอวดอ้างได้เพียงแค่นั้นกระมัง
เพราะในบั้นปลายชีวิตท่านก็ได้บรรลุอรหัตผลเช่นเดียวกับพระอัญญตราสามาเถรี
ปุถุชนอย่างข้าพเจ้าหากสามารถดำรงเพศพรหมจรรย์ไปจนตลอดชีวิต โดยไม่ถ่วงพระศาสนา ให้ทรุดต่ำลงไปกว่านี้ ก็นับว่าเป็นความสำเร็จในชีวิตแล้ว