หลากเรื่องที่คุณแม่ชาวไทยรุ่นใหม่มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับขวดนม

ความรู้น่าสนใจ เอามาจาก FB ค่ะ  หวังว่าจะมีประโยชน์แก่เพื่อนสมาชิกตามสมควร


หลากเรื่องที่คุณแม่ชาวไทยรุ่นใหม่มักเข้าใจผิด เกี่ยวกับขวดนม


1) ขวดนม ถ้าไม่ติดบนฉลากว่า "BPA - Free" คือ ไม่ปลอดภัย ???

ความจริง คือ bisphenol-A (BPA) เป็นส่วนประกอบในพลาสติกจำพวก polycarnonate (PC) ซึ่ง มักเป็นขวดนมรุ่นเก่า ๆ จนถึงขวดน้ำนักกีฬา พลาสติกชนิดนี้มีความแข็งใส และทนทาน

ขวดนมรุ่นใหม่ ส่วนมากเป็นพลาสติกจำพวก polypropylene (PP), polyethersulfone (PES), polyphenylsulfone (PPSU) ซึ่งไม่มีสาร BPA ในกระบวนการผลิตอยู่แล้ว

การเลือกซื้อของคุณแม่จึงควรพิจารณาที่วัสดุที่นำมาผลิตมากกว่า (ดูที่ข้างกล่อง หรือก้นขวด)
เพราะช่วงหลัง ข้อความ BPA-Free นิยมนำมาใช้เพื่อการตลาด

ผลิตภัณฑ์หลายชนิด ประกอบด้วยสารอันตรายมากกว่า หรือพอ ๆ กับ BPA แม้ว่าฉลากจะพิมพ์ว่า BPA- Free ก็ตาม

สารอันตรายอื่น ๆ ในพลาสติกยังมีอีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น :

Bisphenol – S (BPS) – ผลิตภัณฑ์หลายชนิด ขึ้นฉลากว่า BPA – Free แต่ใช้ BPS แทน มีความเป็นพิษพอ ๆ กัน โดยทั่วไป BPS อยู่ในกาวช้าง, กาว epoxy รวมถึงกระดาษความพิมพ์ร้อน เช่น กระดาษโทรสาร, ใบเสร็จเครื่องคิดเงินแบบกรีดร้อน ความเป็นพิษเหมือน BPA คือ เข้าลักษณะ ฮอร์โมนเทียม เจือปนออกมามากเมื่อถูกความร้อน

Phthalates - มักอยู่ในพลาสติกจำพวก polyvinylchloride (PVC) ในเมืองไทยยังมีใช้ในพลาสติกใสห่ออาหารบางยี่ห้อ และถุงพลาสติกบางรุ่น นอกจากนี้ เสื่อน้ำมัน และท่อน้ำ ก็เป็นสารจำพวกนี้ มีความเป็นพิษสูงเสมือน hormone เทียม ไม่ต้องอาศัยความร้อนก็สามารถปนเปื้อนออกมาได้

Stylene - อยู่ในพลาสติกจำพวก polystylene (PS) ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใสเปราะ เช่น กล่อง CD, กล่องอาหารแบบใส, ช้อนไอศกรีมเปราะ ๆ แบบราคาถูก, กล่องโฟม styrene เป็นสารก่อมะเร็ง ไม่ต้องอาศัยความร้อนในการปนเปื้อน เคยมีการตรวจพบ สาร styrene ในไข่ไก่ที่บรรจุในกล่องโฟม


2) ขวดนม อุปกรณ์ปั๊มนม ต้องต้ม หรือนึ่ง ให้ปราศจากเชื้อทุกวัน ???

การนึ่ง หรือต้มฆ่าเชื้อขวดนมและจุกนมหลังใช้งานทุกวัน จะทำให้ขวดนมพลาสติก และจุกนมเสื่อมสภาพเร็วขึ้นกว่าปกติ และ ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคให้ทารกเพิ่มขึ้นมากไปกว่าล้างด้วยน้ำสบู่อุ่น ๆ หรือ ล้างด้วยน้ำร้อนผสมน้ำยาล้างขวดนมหลังใช้งาน
การขยันทำให้ปลอดเชื้อมากเกินไป (over-sterilize) ไม่มีประโยชน์ กลับเป็นการสร้างสิ่งแวดล้อมให้เชื้อที่ทนความร้อน และสร้างสปอร์ได้เพิ่มมากขึ้น (เพราะคุณไม่ได้ใช้หม้อความดัน หรือฉายรังสี) และทารกจะอาจได้สารพวกโพลีเมอร์ หรือฟอร์มัลดีไฮด์ปนเปื้อนออกมาจากพลาสติกที่เสื่อมสภาพแทน
สมาคมกุมารแพทย์อเมริกัน และ USFDA แนะนำให้ต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อขวดนม และอุปกรณ์ปั๊มนมเฉพาะครั้งแรกที่ใช้งาน จากนั้นให้ล้างด้วยน้ำสบู่ หรือน้ำยาล้างขวดนมผสมน้ำอุ่น ทุกครั้งหลังใช้งานก่อนผึ่งให้แห้ง โดยไม่ให้ใช้ผ้าเช็ด
กรณีที่ต้องต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อทุกวัน คือช่วงทารกป่วย เช่น ท้องร่วง หรือ เป็นฝ้าขาวในปาก คุณแม่ที่กังวล อาจนึ่งหรือต้ม ทุก 3-4 วัน สำหรับนมชง ทุก 1 สัปดาห์สำหรับนมแม่ ทั้งนี้ จะต้องไม่มีการปล่อยให้นมบูดคาขวด (ถ้านมบูดคาขวด ต้องต้มหฤานึ่งฆ่าเชื้อใหม่เสมอ)
อย่างไรก็ตาม ไม่มีกฎตายตัว หากบ้านมีสภาพแวดล้อมที่ไม่สะอาด อยู่ใกล้แหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค อาจพิจารณาต้ม หรือนึ่งให้บ่อยขึ้น

สำหรับประเทศไทยที่มีภูมิอากาศร้อนชื้น มีโรคเขตร้อนที่เป็นโรคทางเดินอาหารมาก และประชากรมีสุขอนามัยไม่แน่นอน กุมารแพทย์ไทยหลายท่านอาจแนะนำให้คุณแม่ต้มหรือนึ่งขวดนมทุกวัน

และกรณีที่ห้องครัวมีความสกปรก อับชื้น ท่อน้ำไม่สะอาด หรือมีกระบะทรายแมวในห้องครัว (ซึ่งไม่ควรมี) คุณแม่อาจเลี่ยงไปตากขวดนม และจุกนมที่อื่นที่มีอากาศถ่ายเท

คุณแม่ที่ปั๊มนมห้ามใช้สบู่เหลวในห้องน้ำที่ทำงานล้างขวดนม หรือ ตากขวดนมในห้องส้วมเด็ดขาด หากไม่สะดวกล้างผึ่งลมในที่ทำงาน ให้ใส่อุปกรณ์ปั๊มนมลงถุงปิด หรือกล่องปิดฝา แล้วแช่ในตู้เย็นแทน

คุณแม่ที่กังวลมาก หรือมีความจำเป็นที่จะต้องฆ่าเชื้อทุกวันจริง ๆ ก็ขอแนะนำให้ใช้ขวดนมแก้วแทนพลาสติกจะดีกว่า (หรือขยันเปลี่ยนขวดนมพลาสติกตามอายุการใช้งาน)
หรือใช้ยาฆ่าเชื้อสำหรับแช่ขวดนมโดยเฉพาะผสมน้ำเย็น แช่ขวดนมแทนการต้มฆ่าเชื้อ ก็มีประสิทธิภาพสูง และถนอมพลาสติกได้ดี


3) ถุงเก็บนม ต้องมีสัญลักษณ์ BPA - Free เสมอ ???

โดยปกติ จะไม่มีการใช้ polycarbonate ผลิตถุงพลาสติก ถุงพลาสติกที่พบในท้องตลาดจึงมักไม่มีสาร BPA อยู่แล้ว
คำว่า BPA-Free จึงติดฉลากไว้เพียงเพื่อการตลาด สิ่งที่คุณแม่ต้องดู คือ “วัสดุ” ที่ใช้ผลิตบนฉลาก

ถุงเก็บน้ำนมควรทำจาก พลาสติก PP (มักเป็นของต่างประเทศ ในไทยยังไม่เคยเห็นวางจำหน่าย แต่ถุงร้อนใส่แกงบางยี่ห้อเป็น PP) หฤา low-density polyethylene (LDPE) ซึ่งปลอดภัยในการใส่อาหารที่อุณหภูมิไม่สูงอย่างนมแม่

ให้ระวังถุงพลาสติก หรือถุงนมแม่ที่ผลิตจาก PVC ซึ่งดูยากกว่า มีความยืดหยุ่น และลักษณะคล้าย LDPE แต่อาจมีกลิ่นเหม็นกว่า ถุงเก็บนมแม่ที่ไม่ระบุฉลากว่าเป็นพลาสติกชนิดใด ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรซื้อมาใช้


4) ขวดนมที่ไม่มี BPA ปลอดภัย ใช้ได้นานกว่า ???

ขวดนม PP ไม่มี BPA อายุการใช้งานสั้นกว่า PC ที่มี BPA
ขวดนมยิ่งต้ม ยิ่งนึ่ง ยิ่งขัด ก็ยิ่งเสื่อมสภาพเร็ว

โดยทั่วไป พลาสติกแต่ละชนิด จะมีอายุการใช้งานของมัน
- ขวดนม PP ทนอุณหภูมิ -20 - 110 ˚C มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6 เดือน และอาจเหลือ 3 เดือนถ้านึ่งหรือต้มบ่อยเกินไป
- ขวดนม PES ทนอุณหภูมิ -50 - 180 ˚C มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 6 เดือน ถึง 1 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษา และความถี่ในการต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อ
- ขวดนม PPSU ทนอุณหภูมิ -50 - 180 ˚C มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 8 เดือน ถึง 2 ปี ขึ้นกับการดูแลรักษา และความถี่ในการต้ม หรือนึ่งฆ่าเชื้อ

ทั้งนี้ คุณภาพและการผลิตพลาสติกของแต่ละโรงงานย่อมต่างกัน ขวด PP ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกคุณภาพสูงไม่ผสมเศษงานมักจะใสกว่า คุณแม่อาจพิจารณาเปลี่ยนขวดนมเมื่อเห็นว่าเริ่มบุบเบี้ยว หรือ ขวดนมขุ่นมากขึ้นอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม อายุการใช้งานจะสิ้นสุดถ้าขวดนมเป็นรอยขูดข่วน จึงควรล้างขวดนมด้วยแปรงขนนิ่ม ฟองน้ำ หรือแปรงซิลิโคน (ถ้ามีทุนมากพอซื้อหา)

ขวดนมแก้วมีอายุการใช้งานไม่จำกัด จนกว่าจะแตก หรือมีรอยขูดข่วนในขวดมาก

จุกนมซิลิโคน ทนความร้อน 120 ˚C มีอายุการใช้งาน 6 เดือน ถ้าดูแลอย่างถูกวิธี แต่อาจเหลือ เดือนครึ่ง ถึง 2 เดือน หากผ่านความร้อนสูงบ่อยเกินไป
จุกนมยาง ทนความร้อน 100 ˚C มีอายุการใช้งานปกติ 3 เดือน แต่หากผ่านความร้อนสูงบ่อย อาจเหลือไม่ถึง 1 เดือน

ดังนั้น ขอให้คุณแม่ทุกท่าน อย่ากังวลกับฉลากและ โฆษณา "BPA-Free" ให้มากนัก หันมาดูวัสดุ และการดูแลรักษาให้ปลอดภัยจะดีกว่า


บทความโดย : พ.ญ.สิทธิ์ธีราห์ ชโรเต้อร์
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่