โครงการจำนำข้าวของรัฐบาลนี้ เดินมาถึงจุดใกล้จบอย่างน่ากลัว
เพราะปัญหามากมายที่เกิดจากเหตุผลง่าย ๆ ประการเดียว นั่นคือ
การทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
โดยที่มีเป้าหมายทางการเมืองแต่ขาดความยั้งคิดและตรรกะพื้นฐาน
ความจริงนโยบายนี้ตั้งแต่เริ่มคิดก็ผิดแล้ว....นั่นคือใช้ชื่อว่า “รับจำนำ” ทั้ง ๆ ที่มันคือการรับซื้อ
และด้วยราคาที่แพงกว่าตลาด
โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน และข้าวที่รับมาจากชาวนาจะระบายออกไปอย่างไร
เมื่อราคาต่างกับตลาดอย่างไร้เหตุผลรองรับ
เมื่อเริ่มต้นรู้ว่าจะต้องขาดทุนเป็นจำนวนมโหฬาร
ก็พยายามจะบอกกับประชาชนว่ามีทางจะขายข้าวในราคาที่รัฐบาลต้องการ ไม่ขาดทุนอะไรมาก
และเมื่อขายในตลาดปกติไม่ได้เพราะแข่งขันกับคนอื่นไม่ได้ ก็อ้างว่าจะขายแบบ “รัฐต่อรัฐ” หรือ
“จีทูจี”
ความจริงมีคำถามตั้งแต่แรกแล้วว่า รัฐบาลไหนที่จะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยด้วยราคาที่แพงกว่าตลาด
เขามิต้องตอบประชาชนของเขาว่าเอาเงินภาษีเขาไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรหรือ?
รัฐบาลไทยก็ตอบว่า...
นายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์ได้พบปะกับผู้นำต่างประเทศหลายประเทศและได้มีการทำ MOU แล้ว
กับหลายประเทศที่จะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย
ผู้คนก็สงสัยว่า เป็นประเทศไหน จึงขอข้อมูลจากนายกฯ, รัฐมนตรีพาณิชย์
และรัฐมนตรีคลังที่ประกาศยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่ามีรัฐบาลต่างประเทศที่พร้อมจะซื้อจากรัฐบาลไทย
พอซักรายละเอียดมากเข้า รัฐบาลก็บอกว่ามีการลงนามใน MoU จริง แต่เป็นความลับ เปิดเผยไม่ได้
หากเปิดเผยจะเกิดความเสียหาย
ก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยว่ามีอะไรอำพรางซ่อนเร้นอยู่หรืออย่างไร
ช่วงนั้น ผมเจอทูตของประเทศหนึ่งที่ถูกอ้างโดยรัฐบาลไทยว่า
พร้อมจะซื้อข้าวจากไทย ผมถามท่านว่า จริงหรือไม่ ท่านยิ้มเล็ก ๆ แล้วบอกว่า
“ด้วยภาษาการทูต ผมบอกได้เพียงว่ารัฐบาลท่านได้พูดอย่างนั้นจริง แต่เรายังพูดอะไรไม่ได้”
พอผมถามย้ำอีก ท่านก็บอกว่า “จะซื้อขายกันมันต้องตกลงกันที่ราคาใช่ไหม? ตอนนี้ยังไม่มีข้อตกลงเรื่องนั้น”
เป็นอันว่า หลายรัฐบาลที่ถูกเอ่ยอ้างมีความกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
ที่รัฐบาลไทยได้อ้างชื่อเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอดไปพลาง ๆ ก่อน
แต่ความจริงย่อมหนีไม่จริงไปไม่ได้ เมื่อ ป.ป.ช.แถลงว่าได้แจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์
และรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ภูมิ สาระผล และผู้เกี่ยวข้องอีก 15 รายว่า
ที่อ้างว่ามีการซื้อขายแบบ “จีทูจี” กับรัฐบาลจีนนั้นไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นอย่างนั้นเลย ถือเป็นการทุจริต
คณะกรรมการ ป.ป.ช มีเสียงเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่ากรณีนี้เป็น
“ความผิดที่อนุกรรมการไต่สวนตรวจพบว่าไม่ใช่การซื้อขายจีทูจีอย่างแท้จริง
และไม่มีการส่งออกข้าวไปนอกราชอาณาจักรตามที่ได้มีการกล่าวอ้าง”
ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช บอกว่าที่มีการใช้ชื่อบริษัทจีน และใช้ชื่อพ่อค้าหลายคนนั้น เป็นการค้าในประเทศ
ที่มีการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ
ซึ่งแปลว่ารัฐบาลจีนไม่ได้รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์ไทยได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศถูกตบตา ผู้เสียภาษีทั้งประเทศถูกต้ม
และแน่นอนว่านี่เป็นปฏิบัติการที่จะต้องสาวไปถึงผู้รับผิดชอบอื่น ๆ
ป.ป.ช.บอกว่าได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อไต่สวนนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์
เพราะได้มีการเตือนก่อนหน้านี้แล้วแต่นายกฯ ได้
“ละเลย” ในการตรวจสอบจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
นี่เป็นเพียง 1 ใน 7 เรื่องที่ ป.ป.ช.กำลังสอบสวนเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของนโยบายจำนำข้าว
เพียงแค่เรื่องเดียวก็ทำให้เห็นถึงความเละเทะของเรื่องนี้แล้ว
เชื่อได้ว่ายิ่งเจาะลึกก็ยิ่งจะเจอกับเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ยังไม่นับปัญหาที่รัฐบาลมีปัญหากับ กกต. เรื่องขอใช้เงิน 5.5 หมื่นล้านบาทของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ที่จะจ่ายชาวนา แต่ส่งกระดาษไปเพียงใบเดียว ไม่มีรายละเอียดอะไรที่จะอธิบายที่มาที่ไปได้
ขณะที่สหภาพแรงงานของ ธ.ก.ส.ออกมาต้านหากมีการใช้เงินฝากประชาชนไปจ่ายโครงการจำนำข้าว
เพราะจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของธนาคาร
นี่เป็นเพียงปัญหาบางส่วนของโครงการที่อื้อฉาว และมีเสียงเตือนเสียงค้านดังกระหึ่มมาจากทุกสารทิศ
แต่รัฐบาลก็ยังยืนเดินหน้ามาถึงวันนี้
จำได้ว่า ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของรัฐบาล เคยเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่า
รัฐบาลจะเจ๊งก็เพราะนโยบายนี้
วันนี้คำทำนายนั้นใกล้ความจริงแล้ว
...................................................................
เครดิต : กาแฟดำ/ bangkokbiznews 23/01/2557
๐๐๐๐๐ โครงการจำนำข้าว จุดตายของรัฐบาล ๐๐๐๐๐
เพราะปัญหามากมายที่เกิดจากเหตุผลง่าย ๆ ประการเดียว นั่นคือ
การทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
โดยที่มีเป้าหมายทางการเมืองแต่ขาดความยั้งคิดและตรรกะพื้นฐาน
ความจริงนโยบายนี้ตั้งแต่เริ่มคิดก็ผิดแล้ว....นั่นคือใช้ชื่อว่า “รับจำนำ” ทั้ง ๆ ที่มันคือการรับซื้อ
และด้วยราคาที่แพงกว่าตลาด
โดยที่ไม่รู้ว่าจะเอาเงินมาจากไหน และข้าวที่รับมาจากชาวนาจะระบายออกไปอย่างไร
เมื่อราคาต่างกับตลาดอย่างไร้เหตุผลรองรับ
เมื่อเริ่มต้นรู้ว่าจะต้องขาดทุนเป็นจำนวนมโหฬาร
ก็พยายามจะบอกกับประชาชนว่ามีทางจะขายข้าวในราคาที่รัฐบาลต้องการ ไม่ขาดทุนอะไรมาก
และเมื่อขายในตลาดปกติไม่ได้เพราะแข่งขันกับคนอื่นไม่ได้ ก็อ้างว่าจะขายแบบ “รัฐต่อรัฐ” หรือ “จีทูจี”
ความจริงมีคำถามตั้งแต่แรกแล้วว่า รัฐบาลไหนที่จะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยด้วยราคาที่แพงกว่าตลาด
เขามิต้องตอบประชาชนของเขาว่าเอาเงินภาษีเขาไปทำอย่างนั้นได้อย่างไรหรือ?
รัฐบาลไทยก็ตอบว่า...
นายกฯและรัฐมนตรีพาณิชย์ได้พบปะกับผู้นำต่างประเทศหลายประเทศและได้มีการทำ MOU แล้ว
กับหลายประเทศที่จะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย
ผู้คนก็สงสัยว่า เป็นประเทศไหน จึงขอข้อมูลจากนายกฯ, รัฐมนตรีพาณิชย์
และรัฐมนตรีคลังที่ประกาศยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่ามีรัฐบาลต่างประเทศที่พร้อมจะซื้อจากรัฐบาลไทย
พอซักรายละเอียดมากเข้า รัฐบาลก็บอกว่ามีการลงนามใน MoU จริง แต่เป็นความลับ เปิดเผยไม่ได้
หากเปิดเผยจะเกิดความเสียหาย
ก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยว่ามีอะไรอำพรางซ่อนเร้นอยู่หรืออย่างไร
ช่วงนั้น ผมเจอทูตของประเทศหนึ่งที่ถูกอ้างโดยรัฐบาลไทยว่า
พร้อมจะซื้อข้าวจากไทย ผมถามท่านว่า จริงหรือไม่ ท่านยิ้มเล็ก ๆ แล้วบอกว่า
“ด้วยภาษาการทูต ผมบอกได้เพียงว่ารัฐบาลท่านได้พูดอย่างนั้นจริง แต่เรายังพูดอะไรไม่ได้”
พอผมถามย้ำอีก ท่านก็บอกว่า “จะซื้อขายกันมันต้องตกลงกันที่ราคาใช่ไหม? ตอนนี้ยังไม่มีข้อตกลงเรื่องนั้น”
เป็นอันว่า หลายรัฐบาลที่ถูกเอ่ยอ้างมีความกระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก
ที่รัฐบาลไทยได้อ้างชื่อเพื่อขายผ้าเอาหน้ารอดไปพลาง ๆ ก่อน
แต่ความจริงย่อมหนีไม่จริงไปไม่ได้ เมื่อ ป.ป.ช.แถลงว่าได้แจ้งข้อกล่าวหาต่ออดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ บุญทรง เตริยาภิรมย์
และรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์ ภูมิ สาระผล และผู้เกี่ยวข้องอีก 15 รายว่า
ที่อ้างว่ามีการซื้อขายแบบ “จีทูจี” กับรัฐบาลจีนนั้นไม่มีหลักฐานแสดงว่าเป็นอย่างนั้นเลย ถือเป็นการทุจริต
คณะกรรมการ ป.ป.ช มีเสียงเป็นเอกฉันท์ 9 ต่อ 0 ว่ากรณีนี้เป็น
“ความผิดที่อนุกรรมการไต่สวนตรวจพบว่าไม่ใช่การซื้อขายจีทูจีอย่างแท้จริง
และไม่มีการส่งออกข้าวไปนอกราชอาณาจักรตามที่ได้มีการกล่าวอ้าง”
ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช บอกว่าที่มีการใช้ชื่อบริษัทจีน และใช้ชื่อพ่อค้าหลายคนนั้น เป็นการค้าในประเทศ
ที่มีการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศ
ซึ่งแปลว่ารัฐบาลจีนไม่ได้รับรู้หรือเกี่ยวข้องกับการซื้อขายข้าว ที่กระทรวงพาณิชย์ไทยได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็เท่ากับว่าประชาชนคนไทยทั้งประเทศถูกตบตา ผู้เสียภาษีทั้งประเทศถูกต้ม
และแน่นอนว่านี่เป็นปฏิบัติการที่จะต้องสาวไปถึงผู้รับผิดชอบอื่น ๆ
ป.ป.ช.บอกว่าได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อไต่สวนนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์
เพราะได้มีการเตือนก่อนหน้านี้แล้วแต่นายกฯ ได้ “ละเลย” ในการตรวจสอบจนกลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา
นี่เป็นเพียง 1 ใน 7 เรื่องที่ ป.ป.ช.กำลังสอบสวนเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลของนโยบายจำนำข้าว
เพียงแค่เรื่องเดียวก็ทำให้เห็นถึงความเละเทะของเรื่องนี้แล้ว
เชื่อได้ว่ายิ่งเจาะลึกก็ยิ่งจะเจอกับเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
ยังไม่นับปัญหาที่รัฐบาลมีปัญหากับ กกต. เรื่องขอใช้เงิน 5.5 หมื่นล้านบาทของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ที่จะจ่ายชาวนา แต่ส่งกระดาษไปเพียงใบเดียว ไม่มีรายละเอียดอะไรที่จะอธิบายที่มาที่ไปได้
ขณะที่สหภาพแรงงานของ ธ.ก.ส.ออกมาต้านหากมีการใช้เงินฝากประชาชนไปจ่ายโครงการจำนำข้าว
เพราะจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของธนาคาร
นี่เป็นเพียงปัญหาบางส่วนของโครงการที่อื้อฉาว และมีเสียงเตือนเสียงค้านดังกระหึ่มมาจากทุกสารทิศ
แต่รัฐบาลก็ยังยืนเดินหน้ามาถึงวันนี้
จำได้ว่า ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของรัฐบาล เคยเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่า
รัฐบาลจะเจ๊งก็เพราะนโยบายนี้
วันนี้คำทำนายนั้นใกล้ความจริงแล้ว
...................................................................
เครดิต : กาแฟดำ/ bangkokbiznews 23/01/2557