ปล. กระทู้ยาว และไม่มีสาระ
หญิงกลาง คือ อะไร?
หญิงหน้าตาปานกลาง
หญิงฐานะทางสังคมปานกลาง
หญิงการศึกษาปานกลาง
หญิงนิสัยปานกลาง
หญิงรูปร่างปานกลาง (ค่อนไปทางกลมกุ๊ก)
...กำลังจะเข้าสู่วัยกลางคน (เฮือกกก!!)
อันตัวเราเชื่อว่าหญิงกลางตามที่ได้กล่าวข้างต้นนี้ เป็นประชากรที่แอบแฝงอยู่อย่างเงียบๆ วางตัวอยู่ตรงกลาง ณ สังคมอันวุ่นวายในทุกวันนี้ วันนี้เราขอออกตัวว่าเป็นหญิงกลางคนหนึ่ง ซึ่งมีความในใจที่อยากจะมาบอกเล่าชีวิตของหญิงกลางๆ อย่างเรา
ตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านสอนอยู่เสมอว่าตัวของเราเองเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุด ยังเด็กอยู่อย่าเพิ่งมีแฟน รอเรียนจบทำงานหาเลี้ยงชีพได้ก่อนแล้วค่อยมีก็ไม่สาย --- นี่เป็นคำสอนที่จำได้ตั้งแต่เล็กจนโต --- ในวัยเด็ก ด้วยฐานะปานกลางคุณพ่อคุณแม่เลยส่งเสียให้เรียนที่โรงเรียนประถมศึกษากลางๆ แห่งหนึ่ง ความทรงจำสมัยประถมนี้เป็นความทรงจำอันสวยงาม ความสนุกสนานในวัยเด็ก และ ความรักอันสดใสของวัยเด็กๆ ....ณ โรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เล่นกับ “เพื่อน” ที่เป็น “ผู้ชาย”
เข้าสู่มัธยมต้น เมื่อเริ่มแรกย่างก้าวเข้าสู่วัยสาว ทางบ้านจึงอยากให้เรียนในโรงเรียนสตรีชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองกรุง (อันที่จริงไม่ใช่อะไร ไปสอบเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ใกล้ที่ทำงานแม่แต่สอบไม่ติด ขาดไปอีกแค่ 14 ลำดับ ที่บ้านเลยต้องวิ่งเต้นให้เข้ารร.สตรี ในโควตาเด็กในพื้นที่) ชีวิตวัยมัธยมต้นฉันยังรู้จักแต่การเที่ยวเล่นกับเพื่อนสาว เดินห้างหลังเลิกเรียน และถ่ายสติ๊กเกอร์ (ฮิตมากสมัยนั้น)(ดักแก่) เพื่อนสาวน่ารักๆ บางคนเริ่มมีแฟนกุ๊กกิ๊กหนุงหนิงกับเด็กหนุ่มต่างโรงเรียน ส่วนหญิงกลางๆ อย่างฉันจับกลุ่มกับเพื่อนสาวกลางๆ ทำหน้าที่เม้ามอยเรื่องชาวบ้านอย่างเดียว.... (ใครมีแฟนแล้ว แฟนเป็นเด็กโรงเรียนอะไร ใครมาจีบ ผู้ชายเป็นใคร ฯลฯ)
เมื่อเริ่มเข้าสู่มัธยมปลาย เป็นชีวิตที่ต้องมีการแข่งขันกันมากขึ้น พวกหัวกะทิระดับท๊อปของโรงเรียนจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศกันตั้งแต่ ม.3-4-5 ส่วนพวกหัวกะทิอีกกลุ่มก็จะไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอันเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กม.3 หลายๆ คน (เนื่องจากชีช้ำกับชีวิตรร.หญิงล้วน ทั้งเรื่องผมติ่งหู และฝ่ายปกครองสุด

บ หนีไปหาอิสระ ณ โรงเรียนสห ดีกว่า~) ฉันและเพื่อนหญิงกลางๆ ก็ยังคงเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น อยู่โรงเรียนเดิม ที่เดิม ต่อไป...
เมื่อใกล้เข้าสู่เอนทรานซ์ (โอ้ววว รู้เลยว่าวัยไหน) ชีวิต ม.5-6 ฉันจำได้แต่การไปเรียนกวดวิชา และท่องตำราที่บ้าน ตื่นเช้าไปโรงเรียน นั่งหลับ เลิกเรียน ไปกวดวิชา เรียนเสร็จกลับบ้าน อ่านหนังสือต่อ และวนไปสู่เช้าอีกวันหนึ่งใหม่ ในช่วงนี้เพื่อนสาวน่ารักๆ ที่ไปเรียนกวดวิชา อาจได้รับการโหวตจากเด็กหนุ่มต่างรร. ให้เป็นดาวประจำโรงเรียนกวดวิชา (แบบไม่ official ) ฉันและเพื่อนหญิงกลางๆ ก็ยังคงเรียนกวดวิชากันแบบกลางๆ ต่อไป...
สอบติดเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน!! ชีวิตเฟรชชี่เป็นของเราแล้ว!! --- นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด --- แต่ในความเป็นจริงคือ คณะที่ฉันสอบได้มีอัตราส่วน ผู้ชาย:ผู้หญิง อยู่ที่ 1:13 (ข้อมูล ณ ตอนนั้น ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไง)(หมายเหตุ* ผู้ชายในที่นี้ หมายถึงเพศชายอันแสดงในบัตรประชาชน) อันตัวฉันเองด้วยความที่อยู่หญิงล้วนมาตลอด ไม่มีเพื่อนผู้ชาย คุยกับเพื่อนผู้ชายไม่เป็น ได้นั่งเรียนข้างเพื่อนผู้ชายก็รู้สึกแปลกๆ ....เมื่อตอนที่เพื่อนชายคนนั้นหันมาถามว่า “เธอๆ ขอยืมกระดาษซับมันด้วยสิ” -_-….?
ด้วยความเป็นผู้หญิงกลางๆ อย่างฉัน จึงไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรของมหาลัยเลย ซ้อมเชียร์? (ไปเฉพาะแรกๆ หลังๆโดด) เข้ากรุ๊ป? (โดดตลอด) ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ? (ไม่เคยมี-ที่บ้านไม่อนุญาต) ออกค่ายอาสาชนบท? (ฝันไปเถอะ) ชีวิตของฉันคือการไปเรียนและกลับบ้าน – มีครั้งนึงต้องไปช่วยงานอาจารย์ อาจารย์เห็นหน้าปุ๊บแล้วถามว่า ‘นี่เธอเป็นเด็กในคลาสครูด้วยเหรอ? ตายละ หนูเนี่ยเป็นคนที่ไม่ได้สวยโดดเด่นเลยนะคะเนี่ย’ ความทรงจำอันยากจะลืมเลือน T-T – การรู้จักกับเพื่อนต่างคณะจึงเป็นศูนย์ แม้แต่เพื่อนในคณะเดียวกันยังแทบจะไม่มี ฉันยังคงเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนหญิงกลางๆ ของฉันต่อไป....
เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ช่วยงานที่บ้านได้ซักพักก็รู้สึกชีวิตอับเฉา เริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านผู้ปกครองตอนอายุ 22 อยากออกไปพบเจอโลกภายนอก เลยไปสมัครงานข้างนอก งานแรกที่ฉันได้ทำ คือ... สาวแบ๊ง อาชีพที่แทบจะไม่มีเพศชายเข้าไปทำงาน วันแรกที่เข้าไปทำงาน ทั้งฟลอร์นับหัวผู้ชายได้ 10 คน เงิบไปแป๊บนึง ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าคณะครั้งแรก ---และเมื่อเปลี่ยนงานครั้งที่ 2 ได้งานในออฟฟิสบริษัทเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเหมือนออฟฟิสใจกลางกรุงทั่วๆ ไป “มีแต่ผู้หญิง” นะจ๊ะ (ปล. ผู้ชายก็มีบ้าง แต่ 100 ทั้ง 100 คือ มีแฟน, แต่งงาน, มีกิ๊ก อยู่แล้ว) ผู้หญิงออฟฟิสกลางๆ อย่างฉันก็เลยไม่ได้ให้ความสนใจกับหนุ่มคนไหน หรือมีหนุ่มคนใดให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากทำตัวกลางๆ มาทำงาน เลิกงาน กลับบ้าน วันหยุด อยู่กับครอบครัวและหมา ออกไปกินข้าวกับเพื่อนสาวกลางๆ ด้วยกัน
เมื่อเริ่มแก่ อีกไม่นานจะเข้าสู่เลข 3 ชีวิตต้องดิ้นรนเรียนต่อ จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท ด้วยเป้าหมายหลัก คือ “หาแฟน” แต่ที่เศร้ากว่าคือ เพื่อนในคลาสล้วนมีแฟนอยู่แล้ว หรือเป็นชายวัยกลางคนที่มีครอบครัวแล้ว --- ตอนนี้เลยทรมานอยู่กับการทำธีสิสและหาแฟนไม่ได้ (ตูมาเรียนปริญญาโททำไมเนี่ย!! –ผู้ที่คิดกำลังจะเรียนต่อด้วยเหตุผลนี้ โปรดพิจารณาอีกครั้ง)
กล่าวโดยสรุป เพื่อนสาวกลางๆ ของฉันก็มาเป็นแนวนี้ทั้งนั้น คือชีวิตอยู่กับ ครอบครัว-ทำงาน-หรือเรียน และเวลาว่างก็จับกลุ่มกับเพื่อนสาวกลางๆ ด้วยกัน คุยกันว่าพวกเรานี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่มัธยมเป็นยังไง ก็ยังอยู่กันครบอย่างนั้น ... เข้าใจว่าผู้หญิงหลายๆ คนที่มีชะตาชีวิตเป็นสาวกลางๆ เหมือนกัน คงมีชะตาชีวิตคล้ายๆ กันนะคะ? ลองเล่าสู่กันฟังให้สังคมรับรู้การมีตัวตนของสาวกลางๆ อย่างเรากันเถอะ!
ปล. ฟังเพลงประกอบชายกลางของแสตมป์ ไปด้วย เพื่ออรรถรส
ปล.2 แล้วที่เจ็บใจคืออะไรรู้ไหม? บอกแม่ว่า 'เนี่ยๆ เพราะทำตามที่แม่สอนแหล่ะ เลยยังไม่มีแฟนเลย' แม่ตอบกลับว่า 'อะไร ฉันไม่เคยสอนเธออย่างนั้น' โห้วววววววววววว!!! แม่ใครเนี่ยยย
ปล.3 แต่สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ไม่มีแฟน ดีกว่ามีแฟนไม่ดีแล้วปวดหัวนะ ^^
[เวิ่นเว้อ] คำบอกเล่าของหญิงกลางๆ
หญิงกลาง คือ อะไร?
หญิงหน้าตาปานกลาง
หญิงฐานะทางสังคมปานกลาง
หญิงการศึกษาปานกลาง
หญิงนิสัยปานกลาง
หญิงรูปร่างปานกลาง (ค่อนไปทางกลมกุ๊ก)
...กำลังจะเข้าสู่วัยกลางคน (เฮือกกก!!)
อันตัวเราเชื่อว่าหญิงกลางตามที่ได้กล่าวข้างต้นนี้ เป็นประชากรที่แอบแฝงอยู่อย่างเงียบๆ วางตัวอยู่ตรงกลาง ณ สังคมอันวุ่นวายในทุกวันนี้ วันนี้เราขอออกตัวว่าเป็นหญิงกลางคนหนึ่ง ซึ่งมีความในใจที่อยากจะมาบอกเล่าชีวิตของหญิงกลางๆ อย่างเรา
ตั้งแต่จำความได้ ที่บ้านสอนอยู่เสมอว่าตัวของเราเองเป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุด ยังเด็กอยู่อย่าเพิ่งมีแฟน รอเรียนจบทำงานหาเลี้ยงชีพได้ก่อนแล้วค่อยมีก็ไม่สาย --- นี่เป็นคำสอนที่จำได้ตั้งแต่เล็กจนโต --- ในวัยเด็ก ด้วยฐานะปานกลางคุณพ่อคุณแม่เลยส่งเสียให้เรียนที่โรงเรียนประถมศึกษากลางๆ แห่งหนึ่ง ความทรงจำสมัยประถมนี้เป็นความทรงจำอันสวยงาม ความสนุกสนานในวัยเด็ก และ ความรักอันสดใสของวัยเด็กๆ ....ณ โรงเรียนแห่งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เล่นกับ “เพื่อน” ที่เป็น “ผู้ชาย”
เข้าสู่มัธยมต้น เมื่อเริ่มแรกย่างก้าวเข้าสู่วัยสาว ทางบ้านจึงอยากให้เรียนในโรงเรียนสตรีชื่อดังแห่งหนึ่งในเมืองกรุง (อันที่จริงไม่ใช่อะไร ไปสอบเข้าโรงเรียนแห่งหนึ่งที่ใกล้ที่ทำงานแม่แต่สอบไม่ติด ขาดไปอีกแค่ 14 ลำดับ ที่บ้านเลยต้องวิ่งเต้นให้เข้ารร.สตรี ในโควตาเด็กในพื้นที่) ชีวิตวัยมัธยมต้นฉันยังรู้จักแต่การเที่ยวเล่นกับเพื่อนสาว เดินห้างหลังเลิกเรียน และถ่ายสติ๊กเกอร์ (ฮิตมากสมัยนั้น)(ดักแก่) เพื่อนสาวน่ารักๆ บางคนเริ่มมีแฟนกุ๊กกิ๊กหนุงหนิงกับเด็กหนุ่มต่างโรงเรียน ส่วนหญิงกลางๆ อย่างฉันจับกลุ่มกับเพื่อนสาวกลางๆ ทำหน้าที่เม้ามอยเรื่องชาวบ้านอย่างเดียว.... (ใครมีแฟนแล้ว แฟนเป็นเด็กโรงเรียนอะไร ใครมาจีบ ผู้ชายเป็นใคร ฯลฯ)
เมื่อเริ่มเข้าสู่มัธยมปลาย เป็นชีวิตที่ต้องมีการแข่งขันกันมากขึ้น พวกหัวกะทิระดับท๊อปของโรงเรียนจะสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศกันตั้งแต่ ม.3-4-5 ส่วนพวกหัวกะทิอีกกลุ่มก็จะไปสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายอันเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กม.3 หลายๆ คน (เนื่องจากชีช้ำกับชีวิตรร.หญิงล้วน ทั้งเรื่องผมติ่งหู และฝ่ายปกครองสุด
เมื่อใกล้เข้าสู่เอนทรานซ์ (โอ้ววว รู้เลยว่าวัยไหน) ชีวิต ม.5-6 ฉันจำได้แต่การไปเรียนกวดวิชา และท่องตำราที่บ้าน ตื่นเช้าไปโรงเรียน นั่งหลับ เลิกเรียน ไปกวดวิชา เรียนเสร็จกลับบ้าน อ่านหนังสือต่อ และวนไปสู่เช้าอีกวันหนึ่งใหม่ ในช่วงนี้เพื่อนสาวน่ารักๆ ที่ไปเรียนกวดวิชา อาจได้รับการโหวตจากเด็กหนุ่มต่างรร. ให้เป็นดาวประจำโรงเรียนกวดวิชา (แบบไม่ official ) ฉันและเพื่อนหญิงกลางๆ ก็ยังคงเรียนกวดวิชากันแบบกลางๆ ต่อไป...
สอบติดเข้ามหาวิทยาลัยที่ใฝ่ฝัน!! ชีวิตเฟรชชี่เป็นของเราแล้ว!! --- นั่นคือสิ่งที่ฉันคิด --- แต่ในความเป็นจริงคือ คณะที่ฉันสอบได้มีอัตราส่วน ผู้ชาย:ผู้หญิง อยู่ที่ 1:13 (ข้อมูล ณ ตอนนั้น ตอนนี้ไม่รู้เป็นยังไง)(หมายเหตุ* ผู้ชายในที่นี้ หมายถึงเพศชายอันแสดงในบัตรประชาชน) อันตัวฉันเองด้วยความที่อยู่หญิงล้วนมาตลอด ไม่มีเพื่อนผู้ชาย คุยกับเพื่อนผู้ชายไม่เป็น ได้นั่งเรียนข้างเพื่อนผู้ชายก็รู้สึกแปลกๆ ....เมื่อตอนที่เพื่อนชายคนนั้นหันมาถามว่า “เธอๆ ขอยืมกระดาษซับมันด้วยสิ” -_-….?
ด้วยความเป็นผู้หญิงกลางๆ อย่างฉัน จึงไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอะไรของมหาลัยเลย ซ้อมเชียร์? (ไปเฉพาะแรกๆ หลังๆโดด) เข้ากรุ๊ป? (โดดตลอด) ไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ? (ไม่เคยมี-ที่บ้านไม่อนุญาต) ออกค่ายอาสาชนบท? (ฝันไปเถอะ) ชีวิตของฉันคือการไปเรียนและกลับบ้าน – มีครั้งนึงต้องไปช่วยงานอาจารย์ อาจารย์เห็นหน้าปุ๊บแล้วถามว่า ‘นี่เธอเป็นเด็กในคลาสครูด้วยเหรอ? ตายละ หนูเนี่ยเป็นคนที่ไม่ได้สวยโดดเด่นเลยนะคะเนี่ย’ ความทรงจำอันยากจะลืมเลือน T-T – การรู้จักกับเพื่อนต่างคณะจึงเป็นศูนย์ แม้แต่เพื่อนในคณะเดียวกันยังแทบจะไม่มี ฉันยังคงเกาะกลุ่มอยู่กับเพื่อนหญิงกลางๆ ของฉันต่อไป....
เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ช่วยงานที่บ้านได้ซักพักก็รู้สึกชีวิตอับเฉา เริ่มเข้าสู่วัยต่อต้านผู้ปกครองตอนอายุ 22 อยากออกไปพบเจอโลกภายนอก เลยไปสมัครงานข้างนอก งานแรกที่ฉันได้ทำ คือ... สาวแบ๊ง อาชีพที่แทบจะไม่มีเพศชายเข้าไปทำงาน วันแรกที่เข้าไปทำงาน ทั้งฟลอร์นับหัวผู้ชายได้ 10 คน เงิบไปแป๊บนึง ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าคณะครั้งแรก ---และเมื่อเปลี่ยนงานครั้งที่ 2 ได้งานในออฟฟิสบริษัทเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งเหมือนออฟฟิสใจกลางกรุงทั่วๆ ไป “มีแต่ผู้หญิง” นะจ๊ะ (ปล. ผู้ชายก็มีบ้าง แต่ 100 ทั้ง 100 คือ มีแฟน, แต่งงาน, มีกิ๊ก อยู่แล้ว) ผู้หญิงออฟฟิสกลางๆ อย่างฉันก็เลยไม่ได้ให้ความสนใจกับหนุ่มคนไหน หรือมีหนุ่มคนใดให้ความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากทำตัวกลางๆ มาทำงาน เลิกงาน กลับบ้าน วันหยุด อยู่กับครอบครัวและหมา ออกไปกินข้าวกับเพื่อนสาวกลางๆ ด้วยกัน
เมื่อเริ่มแก่ อีกไม่นานจะเข้าสู่เลข 3 ชีวิตต้องดิ้นรนเรียนต่อ จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท ด้วยเป้าหมายหลัก คือ “หาแฟน” แต่ที่เศร้ากว่าคือ เพื่อนในคลาสล้วนมีแฟนอยู่แล้ว หรือเป็นชายวัยกลางคนที่มีครอบครัวแล้ว --- ตอนนี้เลยทรมานอยู่กับการทำธีสิสและหาแฟนไม่ได้ (ตูมาเรียนปริญญาโททำไมเนี่ย!! –ผู้ที่คิดกำลังจะเรียนต่อด้วยเหตุผลนี้ โปรดพิจารณาอีกครั้ง)
กล่าวโดยสรุป เพื่อนสาวกลางๆ ของฉันก็มาเป็นแนวนี้ทั้งนั้น คือชีวิตอยู่กับ ครอบครัว-ทำงาน-หรือเรียน และเวลาว่างก็จับกลุ่มกับเพื่อนสาวกลางๆ ด้วยกัน คุยกันว่าพวกเรานี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ตั้งแต่มัธยมเป็นยังไง ก็ยังอยู่กันครบอย่างนั้น ... เข้าใจว่าผู้หญิงหลายๆ คนที่มีชะตาชีวิตเป็นสาวกลางๆ เหมือนกัน คงมีชะตาชีวิตคล้ายๆ กันนะคะ? ลองเล่าสู่กันฟังให้สังคมรับรู้การมีตัวตนของสาวกลางๆ อย่างเรากันเถอะ!
ปล. ฟังเพลงประกอบชายกลางของแสตมป์ ไปด้วย เพื่ออรรถรส
ปล.2 แล้วที่เจ็บใจคืออะไรรู้ไหม? บอกแม่ว่า 'เนี่ยๆ เพราะทำตามที่แม่สอนแหล่ะ เลยยังไม่มีแฟนเลย' แม่ตอบกลับว่า 'อะไร ฉันไม่เคยสอนเธออย่างนั้น' โห้วววววววววววว!!! แม่ใครเนี่ยยย
ปล.3 แต่สุดท้ายแม่ก็บอกว่า ไม่มีแฟน ดีกว่ามีแฟนไม่ดีแล้วปวดหัวนะ ^^