สวัสดีครับทุกท่าน วันนี้ผมมีเรื่องจะมาพูดคุยแลกเปลี่ยนครับ ฮ่าๆๆ
คืองี้ครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนปิดเทอมใหญ่ปีที่แล้ว ประมาณเดือนตุลา 56 แหละครับ
ผมได้มีโอกาสไปร่วมเติมฝันให้กับเด็กๆโรงเรียนบ้านแม่แรม
คงต้องบอกกว่า โรงเรียนบ้านแม่แรมนี้อยู่อำเภอสอง จังหวัดแพร่
เป็นโรงเรียนที่ค่อยข้างห่างไกลกับคำว่าสะดวกสบายและความเจริญ
อยู่ในหุบเขาใหญ่ มองซ้ายก็มีแต่ภูเขาเขียวๆ มองขวาก็เห็นแต่ภูเขา
ขนาดสัญญาณโทรศัพท์ยังไม่ค่อยมี ถ้าจะโทรติดต่อโลกภายนอกที่ต้องขึ้นไปบนเขาสูงกันเลยที่เดียว
ผู้คนที่นี้อยู่กันแบบชุมชน(คือแบบจะรู้จักกันทุกคน รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในหุบเขานี้)
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกชาวเขาชาวดอย เท่าที่เห็นก็มีการทำการเกษตรเป็นหลัก อาทิเช่นปลูกกะหล่ำปลี ข้าว ข้าวโพด
วันว่างๆของคนที่นี้ก็คือการเดินป่า แหนะๆๆ บางคนอิจฉาอะดิ๊ แต่การเดินป่าในที่นี้ก็มีความหมายครอบคลุนะครับ คือ
เดินเพื่อหาของป่ามากินกันในครอบครัว เข้าป่าเพื่อดักยิงสัตว์กับเพื่อนฝูง เอ่ออออเกือบลืม
ที่หุบแห่งนี้มีสระน้ำใหญ่มาก เป็นอ่างเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน บอกตรงๆว่าน้ำใสมาก และก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นแหล่ง
พักผ่อนยามว่างของคนที่นี้ คือการไปตกปลา (เท่าที่ผมเห็น ปลาตัวใหญ่ประมาณแขนเด็กอายุสามสี่ขวบนี้แหละครับ แต่มีเยอะม๊วก)
รู้สีกผมจะนอกเรื่องไปรึป่าว....อ่าๆๆ มาๆกลับเข้าเรื่องละ
พูดง่ายๆก็คือผมได้ไปทำค่ายกับชมรมค่ายสร้างช้างเผือกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ปกติผมก็ชอบไปกับก๊วนพวกนี้แหละ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชมรมเลย ฮ่าๆๆ อาศัยว่ามีเพื่อนอยู่ในชมรมเลยได้ติดสอยไปกับเค้า 55+) เราไปสร้างห้องเรียน ให้กับเด็กที่แม่แรม
บรรยากาศ และความรู้สึกที่ได้รับ ผมอาจจะกรองออกมาเป็นตัวหนังสือได้ไม่ดี งั้นก็ไปดูภาพกันดีกว่าเนาะ

การไปค่ายในแต่ละครั้งก็จะพบกับคนใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ(ไม่มีคำว่าพี่ ไม่มีคำว่าน้อง เราคือเพื่อน)

ยิ่งรวมงานกันก็ทำให้มิตรภาพระหว่างเพื่อนกระชับแน่นมากยิ่งขึ้นยิ่งเป็นค่ายสร้างด้วยแล้ว ไปกันประมาณครึ่งเดือน รู้จักกันทั้งค่าย
ไม่เหมือนค่ายแนะแนว หรือค่ายติว ที่ไปกันเย็นวันศุกร์กลับบ่ายวันอาทิตย์ ทำให้ไม่ค่อยรรู้จักใครนอกจากเพื่อนฝูงเรากลุ่มเดิม(ประสบการณ์ตรง อิอิ)

ได้รู้จักคำว่าคุณค่าของชีวิต ว่าการให้มันสำคัญมาก มันจะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในหัวใจของเรา

เพื่อนหลายๆคนที่รู้จัก มักจะมาจากการไปทำค่าย เพราะผมชอบเดินทาง ไปค่ายเกือบทุกอาทิตย์ (ผมก็เรียนน้าาาาา ไม่ได้เที่ยวอย่างเดียวอิอิ)

การไปทำค่ายก็ทำให้เราได้ไปสัมผัสบรรยากาศต่างจังหวัด ที่ๆเราไม่เคยไปด้วย (ว้าวววววววววว)

ออกไปพบกับรอยยิ้มบริสุทธิ์ แม้จะอยู่ยากลำบาก(ในสายตาของเราๆ)แต่ผมก็เห็นเค้าพอใจเท่าที่เค้ามี มีแค่ไหนก็อยู่แค่นั้น
และก็อีกมิติหนึ่งของการทำค่าย การได้ลงชุมชม คลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน เรียกว่าไปนอนด้วยเลยที่เดียว
ทำให้โลกแห่งการรับรู้เรากว้างขึ้น (สำหรับผมมันกว้างขึ้นมาก) ทำให้เราเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่ได้กับทุกชุมชนที่เราไป
อาหารการกิน ก็สบายเพราะไปค่ายบ่อยๆ กินได้ทุกอย่าง (เพราะเลือกไม่ได้ แต่ไอ้เพราะความเลือกไม่ได้นิแหละ ทำให้เราได้ลองสิ่งใหม่ๆ)
สิ่งสุดท้ายที่อยากละกรองและถอดบทเรียนออกมา ก็คงหนีไม่พ้นชื่อเรื่อง "การให้ที่มีแต่ได้"
จากที่ถอดออกมาจากกล่องความทรงจำ (ที่จะอยู่กับผมตลอดไป)
สรุปคงได้ประมาณนี้ "ออกไปเถอะครับ ไปพบกับโลก ไปพบกับมิติอื่นที่รอคุณอยู่ ออกไปเป็นผู้ให้ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่"
ขอบคุณที่อ่านนะครับ
การให้ที่มีแต่ได้
คืองี้ครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนปิดเทอมใหญ่ปีที่แล้ว ประมาณเดือนตุลา 56 แหละครับ
ผมได้มีโอกาสไปร่วมเติมฝันให้กับเด็กๆโรงเรียนบ้านแม่แรม
คงต้องบอกกว่า โรงเรียนบ้านแม่แรมนี้อยู่อำเภอสอง จังหวัดแพร่
เป็นโรงเรียนที่ค่อยข้างห่างไกลกับคำว่าสะดวกสบายและความเจริญ
อยู่ในหุบเขาใหญ่ มองซ้ายก็มีแต่ภูเขาเขียวๆ มองขวาก็เห็นแต่ภูเขา
ขนาดสัญญาณโทรศัพท์ยังไม่ค่อยมี ถ้าจะโทรติดต่อโลกภายนอกที่ต้องขึ้นไปบนเขาสูงกันเลยที่เดียว
ผู้คนที่นี้อยู่กันแบบชุมชน(คือแบบจะรู้จักกันทุกคน รู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นภายในหุบเขานี้)
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกชาวเขาชาวดอย เท่าที่เห็นก็มีการทำการเกษตรเป็นหลัก อาทิเช่นปลูกกะหล่ำปลี ข้าว ข้าวโพด
วันว่างๆของคนที่นี้ก็คือการเดินป่า แหนะๆๆ บางคนอิจฉาอะดิ๊ แต่การเดินป่าในที่นี้ก็มีความหมายครอบคลุนะครับ คือ
เดินเพื่อหาของป่ามากินกันในครอบครัว เข้าป่าเพื่อดักยิงสัตว์กับเพื่อนฝูง เอ่ออออเกือบลืม
ที่หุบแห่งนี้มีสระน้ำใหญ่มาก เป็นอ่างเก็บน้ำประจำหมู่บ้าน บอกตรงๆว่าน้ำใสมาก และก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่เป็นแหล่ง
พักผ่อนยามว่างของคนที่นี้ คือการไปตกปลา (เท่าที่ผมเห็น ปลาตัวใหญ่ประมาณแขนเด็กอายุสามสี่ขวบนี้แหละครับ แต่มีเยอะม๊วก)
รู้สีกผมจะนอกเรื่องไปรึป่าว....อ่าๆๆ มาๆกลับเข้าเรื่องละ
พูดง่ายๆก็คือผมได้ไปทำค่ายกับชมรมค่ายสร้างช้างเผือกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ปกติผมก็ชอบไปกับก๊วนพวกนี้แหละ ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับชมรมเลย ฮ่าๆๆ อาศัยว่ามีเพื่อนอยู่ในชมรมเลยได้ติดสอยไปกับเค้า 55+) เราไปสร้างห้องเรียน ให้กับเด็กที่แม่แรม
บรรยากาศ และความรู้สึกที่ได้รับ ผมอาจจะกรองออกมาเป็นตัวหนังสือได้ไม่ดี งั้นก็ไปดูภาพกันดีกว่าเนาะ
การไปค่ายในแต่ละครั้งก็จะพบกับคนใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ(ไม่มีคำว่าพี่ ไม่มีคำว่าน้อง เราคือเพื่อน)
ยิ่งรวมงานกันก็ทำให้มิตรภาพระหว่างเพื่อนกระชับแน่นมากยิ่งขึ้นยิ่งเป็นค่ายสร้างด้วยแล้ว ไปกันประมาณครึ่งเดือน รู้จักกันทั้งค่าย
ไม่เหมือนค่ายแนะแนว หรือค่ายติว ที่ไปกันเย็นวันศุกร์กลับบ่ายวันอาทิตย์ ทำให้ไม่ค่อยรรู้จักใครนอกจากเพื่อนฝูงเรากลุ่มเดิม(ประสบการณ์ตรง อิอิ)
ได้รู้จักคำว่าคุณค่าของชีวิต ว่าการให้มันสำคัญมาก มันจะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในหัวใจของเรา
เพื่อนหลายๆคนที่รู้จัก มักจะมาจากการไปทำค่าย เพราะผมชอบเดินทาง ไปค่ายเกือบทุกอาทิตย์ (ผมก็เรียนน้าาาาา ไม่ได้เที่ยวอย่างเดียวอิอิ)
การไปทำค่ายก็ทำให้เราได้ไปสัมผัสบรรยากาศต่างจังหวัด ที่ๆเราไม่เคยไปด้วย (ว้าวววววววววว)
ออกไปพบกับรอยยิ้มบริสุทธิ์ แม้จะอยู่ยากลำบาก(ในสายตาของเราๆ)แต่ผมก็เห็นเค้าพอใจเท่าที่เค้ามี มีแค่ไหนก็อยู่แค่นั้น
และก็อีกมิติหนึ่งของการทำค่าย การได้ลงชุมชม คลุกคลีอยู่กับชาวบ้าน เรียกว่าไปนอนด้วยเลยที่เดียว
ทำให้โลกแห่งการรับรู้เรากว้างขึ้น (สำหรับผมมันกว้างขึ้นมาก) ทำให้เราเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้อยู่ได้กับทุกชุมชนที่เราไป
อาหารการกิน ก็สบายเพราะไปค่ายบ่อยๆ กินได้ทุกอย่าง (เพราะเลือกไม่ได้ แต่ไอ้เพราะความเลือกไม่ได้นิแหละ ทำให้เราได้ลองสิ่งใหม่ๆ)
สิ่งสุดท้ายที่อยากละกรองและถอดบทเรียนออกมา ก็คงหนีไม่พ้นชื่อเรื่อง "การให้ที่มีแต่ได้"
จากที่ถอดออกมาจากกล่องความทรงจำ (ที่จะอยู่กับผมตลอดไป)
สรุปคงได้ประมาณนี้ "ออกไปเถอะครับ ไปพบกับโลก ไปพบกับมิติอื่นที่รอคุณอยู่ ออกไปเป็นผู้ให้ แล้วคุณจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่"
ขอบคุณที่อ่านนะครับ