เรื่องสั้นขนาดยาว "มือสังหาร"

ในฐานบัญชาการลับกองกำลังก่อการร้าย อัลบูเซยาฟ  ลึกลงไปใต้อุโมงค์ดิน กลางทะเลทราย ณ.ที่ใดที่หนึ่งในประเทศตะวันออกกลาง  อุโมงค์ลับซึ่งถูกเจาะลงไปหลายร้อยเมตรเพื่อเป็นแหล่งกกดานหนีการตรวจจับของดาวเทียมสหประชาชาติเหนือชั้นบรรยากาศ  มันเปรียบเสมือนรวงผึ้งที่มีเส้นทางยิบย่อยมากมาย เป็นศูนย์กลางของการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหงทั่วโลก
    

      ณ.ห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่อยู่ส่วนใดมิทราบได้ในส่วนหนึ่งของรากแขนงอุโมงค์นับร้อยนับพันสาขา   โคมไฟดวงเดียวห้อยลงมาจากเพดานชั้นดินแข็ง แกว่งไปมาเล็กน้อย สาดส่องแสงไฟไปทั่วห้อง  ภายในห้องมีเพียงเก้าอี้พับโลหะ ขึ้นสนิมหนาตั้งเด่นอยู่กลางห้อง  สิ่งที่อยู่บนนั้นดูเหมือนเศษซากก้อนเนื้อ


     รอการนำใส่ถุงขยะไปเผาทิ้ง เพียงแต่ซากก้อนเนื้อนั้น มันยังมีลมหายใจ  นัยน์ตาเล็กๆพยายามมองลอดแผลบวมช้ำเลือดช้ำหนองที่เกิดจากการถูกทารุณทั่วทั้งใบหน้า  ลมหายใจโรยรินอันเป็นจังหวะบ่งบอกถึงความมีสติและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น   ชายหนุ่มที่ร่างถูกอาบไปด้วยเลือดกำลังประเมินความบอบช้ำของร่างกายเปลือยเปล่า และสติอันเจือจางเต็มทีกำลังวิงวอนต่อพระเจ้าอยู่ในใจ  ใบหน้าที่ถูกทุบตีด้วยพานท้ายปืนอาร์.เค.หลายกระบอก ทำให้หน้าเขาดูเหมือนถุงกระสอบใส่มันฝรั่ง  

      คอที่โดนเชือกเส้นหนารัดจนเป็นรอยช้ำเลือดบวมหนา  หน้าอกมีรอยแทง7แห่ง   ฟัน2แห่ง  เฉือน14แห่ง ไม่รวมถึงการช๊อตไฟฟ้าที่มีรอยไหม้เกรียมหลายๆจุด  ที่ท้องแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่แล้ว เห็นเพียงแต่มีดสำหรับหมอผ่าตัดเสียบคาไว้บริเวณกระบังลมทำให้รู้สึกว่ากำลังจมน้ำเมื่อหายใจลึกๆ    

     กระดูกสันหลังอาจแตกละเอียดทำให้เกิดอาการอัมพาต นี่อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร  ยังไม่รวมกระสุนปืน6นัดที่ถูกข้าศึกยิงเพื่อป้องกันการหลบหนีที่กระจายอยู่ที่น่อง พับใน และหัวเข่า ทำให้เลือดดำๆข้นๆใหลนองอยู่ที่พื้นดินดานเย็นๆจนจับตัวเป็นก้อนหนา...โอ..มันเกินเยียวยาเสียจริง   ผลการประเมินคือหมดสภาพ  
    

     ร่างกายที่เปลือยเปล่าไม่มีแม้แต่แรงจะสั่นสะท้าน กับการทารุณที่ฝ่ายศัตรูมอบให้แก่เขา  เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับความลับอันนำไปสู่เหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่  ไม่ เขาไม่แม้แต่จะปริปากร้องขอความเมตตาจากพวกศัตรู หวังเพื่อให้ภาระกิจครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วง
    สายตาของชายหนุ่มกำลังจับจ้องไปที่ซอกเล็กๆใต้ประตูเหล็กหนาที่เชื่อมต่อกันอย่างลวกๆ  ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากภายนอก มีเพียงมือที่ถูกไขว้หลังกับพนักเก้าอี้  รู้สึกถึงตรวนหนักๆเย็นๆที่คมสนิมกำลังบาดข้อมือจนเลือดซึม
    ไม่ช้าแสงไฟภายนอกที่ส่องผ่านซอกประตูก็เกิดการเคลื่อนไหว  อาจเป็นยามที่อยู่หน้าประตูกำลังเตรียมพร้อมกับอะไรสักอย่างที่จะเกิดขึ้น   ไม่ถึงอึดใจประสาทหูที่ยังใช้การได้ดีของเขา ได้ยินเสียงของกลุ่มคนราว6คนกำลังเดินมาทางประตูอย่างเร่งรีบ มีการสบถเป็นภาษาอาหรับอยู่เป็นระยะ  จิตใจของเขาไม่แม้แต่จะฟุ้งซ่าน กลับรู้สึกยินดีกับสิ่งที่จะมาถึง   เสียงฝีเท้า  และเสียงพูดคุยเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาเริ่มกะระยะตามสัญชาตญาณ
....12เมตร  
10...
8...
5..
.3...
1..ไม่ช้าแสงไฟที่ซอกใต้ประตูก็ถูกบดบังโดยเงาของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง   ตามมาด้วยเสียงปลดล๊อกประตูราวๆสิบตัวที่ส่งเสียงแสบแก้วหูยาวนาน  เมื่อกลอนตัวสุดท้ายเป็นอิสระ ประตูเหล็กหนาแปดนิ้วก็เปิดผางออก ตามมาด้วยเสียงสบถหยาบคายของชายอาหรับกลุ่มหนึ่ง
  

     พวกมันมีหกคน  อาจมีรออยู่นอกประตูอีกสอง   ชายชาวตะวันออกกลางในชุดทหารสกปรกๆห้าคนย่างสามขุมเข้ามายืนประจันหน้ากับเขา  มีคนหนึ่งที่เขาจำหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นคนที่สร้างรอยแผลทั่วร่างและทรมานเขาสารพัด มันชื่ออามิน  ราชิด   เป็นคนที่อยู่ในใบประกาศจับของเอฟบีไอ.และตำรวจสากล อามินเป็นหัวหน้าชั้นปลายแถวของมุสลิมหัวรุนแรง  มันสบถคำด่าพร้อมสั่งการให้ลูกน้องสองคนยกเก้าอี้พับสนิมเกรอะกรังตัวหนึ่งมาจากหลังห้อง  อีกสองคนที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนจะเป็นหมอเสนารักษ์  หนึ่งในนั้นเข็นรถเข็นสำหรับการแพทย์เข้ามาด้วย  แต่สายตาที่อ่อนล้าของเขาไม่สามารถมองเห็นคนสุดท้ายที่อยู่ในเงามืดหลังสุดได้
    
     ร่างอ้วนๆเตี้ยๆของราชิดนั่งบนเก้าอี้ที่เพิ่งกางเสร็จ  มันดูรีบร้อนกว่าทุกทีสังเกตได้จากน้ำเสียงการพูด เม็ดเหงื่อแฉะๆอยู่ที่รักแร้และหน้าอก กลิ่นตัวเหม็นเน่ารุนแรง  พวกทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ดูเกร็งๆไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
    

    “เอาละ   ไอสายลับตาน้ำข้าว”  ราชิดเปลี่ยนภาษาเมื่อพูดกับเขา  ” แกจะบอกเราได้รึยัง  ว่าแกมาจากไหน  และมีจุดประสงค์อะไร”
    ชายหนุ่มเงียบกริบไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปาก  สายตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งเกรียวไปที่ตาส่อนๆของราชิด  เพราะดวงตาของเขาเป็นสิ่งเดียวในร่างกายที่จะต่อต้านพวกศัตรูได้ ในยามนี้  
เหมือนฟ้าผ่าฝ่ามือแผ่นใหญ่ยักษ์ของราชิดหวดเข้ากกหูอย่างเต็มแรง  จนทั้งตัวเขาและเก้าอี้ที่พันธนาการอยู่ล้มกระแทกพื้นดินแข็งๆ ฝุ่นดินที่พื้นฟุ้งขึ้น
  
    ราชิดสั่งให้สมุนสองคนพยุงชายหนุ่มให้นั่งอีกครั้ง   ไม่ทันพูดจา เขาก็หวดเข้ากกหูอีกข้างเต็มแรง   สายลับหนุ่มกระแทกพื้นอีกครั้ง  ไม่ต้องรอคำสั่งการใดๆ  ทหารทั้งสองก็ยกเขาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
    
   “ชั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะไอเบื้อก   ถ้าแกบอกความจริงมาเมื่อไหร่”  ราชิดเริ่มกัดฟันสีเหลืองน่าเกลียด “ชั้นรับรองได้ ชั้นจะทำให้แกไปพบพระเจ้าของแกอย่างสบายและรวดเร็วที่สุดเหมือนนั่งสเตลท์ปรับอากาศเลยละ”
     ฉับพลันเมื่อสิ้นเสียง  ของเหลวข้นๆเหนี่ยวๆถูกถมใส่หน้าราชิด  เห็นได้ชัดว่าตาของมันแดงกล่ำเหมือนสัตว์ร้าย  มันตบหน้าสายลับด้วยฝ่ามือนับครั้งไม่ถ้วน  เมื่อสายลับหนุ่มมีท่าทีจะสลบ  มือของจอมโหดราชิดก็คว้าเข้าด้ามมีดผ่าตัดทีปักคา


    อยู่ที่สีข้างของสายลับหนุ่ม  พรางบิดและคว้านอย่างมันมือ ดวงตาของสายลับหนุ่มตื่นจากภวังค์และเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด เลือดฉีดพุ่งออกมาเป็นสาย  ร่างเปลือยเปล่าถูกอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานมากกว่าเดิม
    

     ยังตายไม่ได้  ยังไงก็ตายไม่ได้   ชั้นยังตายไม่ได้  คำตะโกนก้องอยู่ในหัวของชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาถูกทรมาน เมื่อความเจ็บปวดเหมือนจะกระชากวิญญาณของเขาออกจากร่าง     สมองของเขาถูกโปรแกรมมาว่าห้ามตายเมื่องานยังไม่เสร็จผนวกกับร่างกายที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีก็ทำตามคำสั่งนั้นไม่ว่าร่างกายจะยับเยินเพียงใด  เขาเปรียบเสมือนเครื่องจักรกลที่ไม่มีวันตายหากไม่ถึงเวลา   แล้วสิ่งที่เขารอคืออะไรกันละ  ต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนที่ลมหายใจจะหมดลง
    
    ขณะที่มือของราซิดกำลังกุมมีดอันคมกริบคว้านเครื่องในสายลับหนุ่มอยู่นั้น  สมองของเขาพยายามเป็นอย่างสูงในการจัดเรียงความรู้สึกเพื่อให้คงสติไว้อยู่โดยไม่ล้ำเส้นขีดจำกัด  เพราะหากเขาพลาดเพียงเสี้ยววินาทีเดียวผลลัพธ์คือ ความตาย และความล้มเหลวซึ้งยากเกินจะยอมรับได้
      
    “พอแล้ว”  คำๆหนึ่งเป็นภาษาอาหรับดังมาจากมุมมืดหลังห้อง  ทหารทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตัวแข็งทื่อ รวมทั้งราซิดที่ดึงมีดออกโดยทันที   เหมือนปิดสวิทส์ราซิดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและก้าวออกห่างจากร่างที่อาบไปด้วยเลือดของสายลับต่างชาติ  และยืนตรงเหมือนทำความเคารพเสียงๆนั้น
     สายตาของสายลับเริ่มเลือนราง  มือที่ไพล่หลังด้วยโซ่ตรวนเย็นเฉียบ  เขาจับจ้องไปที่เงามืดหลังห้องที่พวกทหารเปิดทางให้เดินเข้ามาใกล้แสงไฟ  เผยให้เห็นชายกลางคนร่างผอมสูง  หน้าตอบมีหนวดเครารุงรังมาถึงหน้าอก  จมูกงองุ้ม ขอบตาดำคล้ำ  นัยน์ตาสีดำบ่งบอกความคิดเกินคาดเดา  เขาแต่งตัวเหมือนนักบวช ไม่ใช่ทหาร  โพกผ้าที่ศีรษะ  ใส่ผ้าคลุมสีขาวบางๆ ปลิวไสว  สายลับหนุ่มรู้โดยทันทีว่าชายคนนี้คือ........ “ซาลาดีน”  เขากระซิบเบาๆ
    
     ซาลาดีนค่อยๆเคลื่อนกายมานั่งเก้าอี้ของราซิด ที่ตอนนี้ถ่อยปลี่หลบเข้ามุมมืดไป  ดวงตาของเขาส่อแววใคร่รู้ ปนเวทนา  มันเป็นแววตาของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายที่ทรงอิทธิพลและสั่งหารผู้บริสุทธิ์มากที่สุดในโลก   ชายร่างสูงที่นั่งอยู่ต่อหน้าสายลับนิรนามผู้นี้คือ นายเหนือหัวของความรุนแรงที่ก่อเกิดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้
    
     “การฝึกฝนแบบไหนกันนะที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาทานทนต่อความเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้” ซาลาดีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  “บางที  นายอาจอยากจะคุยกับระดับผู้นำ .....ชั้นนี้แหละ  ผู้นำ”
  
     สายลับนิรนามใช้แรงทั้งหมดผงกหัว ตอบรับช้าๆ
    
     “เห็นไหมละ ราซิด   ชั้นพูดถูก”  ซาลาดีนหันไปที่นายกองตัวอ้วนที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกระบมมือ “เอาละ อันดันดับแรกเลย ชั้นต้องขอชมนายที่เป็นที่โจษจันของทหารชั้น  เราทั้งยิงนาย  ทรมานนาย  ช๊อตไฟฟ้า  ทำทุกอย่างที่มืออาชีพด้านการเค้นความลับอย่างราซิดคิดได้  แต่นาย..แต่นาย ไม่ปริปากเลยสักคำ  นายทนต่อการทารุณมาสี่วันเต็มๆ  สี่วันคิดูสิ “ ซาลาดีนยิ้มมุมปากอย่างมีเลศไนย   ” หลังจากเราจับนายได้ที่ฐานเวชพรรณชายแดนคาซัคก็ยังไม่รู้เลยแม้แต่ชื่อนาย  ไม่รู้ว่านายเป็นใคร  ต้องการอะไร  หรือมาจากไหน   นายทนความเจ็บปวดอย่างนั้นได้ยังไง”   ซาลาดีนเงียบครู่หนึ่งเหมือนอาจจะมีคำตอบแต่ก็ได้รับความเงียบกับไป
  
     “นายอาจเริ่มต้นกับราซิดไม่ค่อยดีเท่าไร  แต่กับชั้นมันอีกเรื่องนึง   นายจะมีชีวิตอยู่ต่อได้นานเท่าไรก็ได้ เท่าที่ชั้นอนุญาต  ที่นี่ชั้นเป็นเจ้าของชีวิตนาย   นายไม่มีทางหลบหนีหรอก ที่นี่อยู่ลึกลงมาใต้ดินเกือบหนึ่งไมล์   แม้แต่ดาวเทียมก็ไม่มีทางแกะรอยเราได้  นายจะได้มีชีวิตใหม่ในอาณัติของชั้นและอ้อมแขนพระเจ้าของเรา    ชั้นไม่หวังอะไรเลยนอกจาก......ข้อมูลเพียงเล็กน้อยขององค์กรนาย  ไม่ว่านายจะเป็น เอฟบีไอ. ซีไอเอ.  หน่วยนาวิกเจ๋งๆจากที่ไหน  เพียงแค่พูดออกมา ชั้นรับรอง นายจะได้รับการดูแลอย่างดี”   ซาลาดีนเงียบลงเพื่อฟังคำตอบอีกครั้ง  
.... เกิดความเงียบชั่วขณะหนึ่ง เป็นความอึดอัดที่ รู้สึกได้ว่ายาวนานมาก
“พูดสิ  พูด  พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”   ซาลาดีนพยายามทำน้ำเสียงให้ดูสดชื่นมากที่สุด  
สายลับหนุ่มเริ่มทำปากขมุบขมิบ  เหมือนกำลังกระซิบอะไรบางอย่าง
ซาลาดีนเจ้าชีวิตค่อยๆเอียงหูให้ใกล้ปากของสายลับนิรนามให้มากที่สุดเพื่อจะให้ได้ยินสิ่งที่เขาต้องการชัดๆ   ลูกสมุนที่อยู่เบื้องหลังต่างพยายามลุ้นในสิ่งที่ต้องการได้ยิน  จนเมื่อใบหูข้างขวาใกล้ปากของสายลับจนหน้ากลัว  ก็ได้ยินคำๆหนึ่ง

“ไปตายซะ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่