ในฐานบัญชาการลับกองกำลังก่อการร้าย อัลบูเซยาฟ ลึกลงไปใต้อุโมงค์ดิน กลางทะเลทราย ณ.ที่ใดที่หนึ่งในประเทศตะวันออกกลาง อุโมงค์ลับซึ่งถูกเจาะลงไปหลายร้อยเมตรเพื่อเป็นแหล่งกกดานหนีการตรวจจับของดาวเทียมสหประชาชาติเหนือชั้นบรรยากาศ มันเปรียบเสมือนรวงผึ้งที่มีเส้นทางยิบย่อยมากมาย เป็นศูนย์กลางของการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหงทั่วโลก
ณ.ห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่อยู่ส่วนใดมิทราบได้ในส่วนหนึ่งของรากแขนงอุโมงค์นับร้อยนับพันสาขา โคมไฟดวงเดียวห้อยลงมาจากเพดานชั้นดินแข็ง แกว่งไปมาเล็กน้อย สาดส่องแสงไฟไปทั่วห้อง ภายในห้องมีเพียงเก้าอี้พับโลหะ ขึ้นสนิมหนาตั้งเด่นอยู่กลางห้อง สิ่งที่อยู่บนนั้นดูเหมือนเศษซากก้อนเนื้อ
รอการนำใส่ถุงขยะไปเผาทิ้ง เพียงแต่ซากก้อนเนื้อนั้น มันยังมีลมหายใจ นัยน์ตาเล็กๆพยายามมองลอดแผลบวมช้ำเลือดช้ำหนองที่เกิดจากการถูกทารุณทั่วทั้งใบหน้า ลมหายใจโรยรินอันเป็นจังหวะบ่งบอกถึงความมีสติและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ชายหนุ่มที่ร่างถูกอาบไปด้วยเลือดกำลังประเมินความบอบช้ำของร่างกายเปลือยเปล่า และสติอันเจือจางเต็มทีกำลังวิงวอนต่อพระเจ้าอยู่ในใจ ใบหน้าที่ถูกทุบตีด้วยพานท้ายปืนอาร์.เค.หลายกระบอก ทำให้หน้าเขาดูเหมือนถุงกระสอบใส่มันฝรั่ง
คอที่โดนเชือกเส้นหนารัดจนเป็นรอยช้ำเลือดบวมหนา หน้าอกมีรอยแทง7แห่ง ฟัน2แห่ง เฉือน14แห่ง ไม่รวมถึงการช๊อตไฟฟ้าที่มีรอยไหม้เกรียมหลายๆจุด ที่ท้องแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่แล้ว เห็นเพียงแต่มีดสำหรับหมอผ่าตัดเสียบคาไว้บริเวณกระบังลมทำให้รู้สึกว่ากำลังจมน้ำเมื่อหายใจลึกๆ
กระดูกสันหลังอาจแตกละเอียดทำให้เกิดอาการอัมพาต นี่อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ยังไม่รวมกระสุนปืน6นัดที่ถูกข้าศึกยิงเพื่อป้องกันการหลบหนีที่กระจายอยู่ที่น่อง พับใน และหัวเข่า ทำให้เลือดดำๆข้นๆใหลนองอยู่ที่พื้นดินดานเย็นๆจนจับตัวเป็นก้อนหนา...โอ..มันเกินเยียวยาเสียจริง ผลการประเมินคือหมดสภาพ
ร่างกายที่เปลือยเปล่าไม่มีแม้แต่แรงจะสั่นสะท้าน กับการทารุณที่ฝ่ายศัตรูมอบให้แก่เขา เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับความลับอันนำไปสู่เหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่ เขาไม่แม้แต่จะปริปากร้องขอความเมตตาจากพวกศัตรู หวังเพื่อให้ภาระกิจครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วง
สายตาของชายหนุ่มกำลังจับจ้องไปที่ซอกเล็กๆใต้ประตูเหล็กหนาที่เชื่อมต่อกันอย่างลวกๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากภายนอก มีเพียงมือที่ถูกไขว้หลังกับพนักเก้าอี้ รู้สึกถึงตรวนหนักๆเย็นๆที่คมสนิมกำลังบาดข้อมือจนเลือดซึม
ไม่ช้าแสงไฟภายนอกที่ส่องผ่านซอกประตูก็เกิดการเคลื่อนไหว อาจเป็นยามที่อยู่หน้าประตูกำลังเตรียมพร้อมกับอะไรสักอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่ถึงอึดใจประสาทหูที่ยังใช้การได้ดีของเขา ได้ยินเสียงของกลุ่มคนราว6คนกำลังเดินมาทางประตูอย่างเร่งรีบ มีการสบถเป็นภาษาอาหรับอยู่เป็นระยะ จิตใจของเขาไม่แม้แต่จะฟุ้งซ่าน กลับรู้สึกยินดีกับสิ่งที่จะมาถึง เสียงฝีเท้า และเสียงพูดคุยเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาเริ่มกะระยะตามสัญชาตญาณ
....12เมตร
10...
8...
5..
.3...
1..ไม่ช้าแสงไฟที่ซอกใต้ประตูก็ถูกบดบังโดยเงาของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงปลดล๊อกประตูราวๆสิบตัวที่ส่งเสียงแสบแก้วหูยาวนาน เมื่อกลอนตัวสุดท้ายเป็นอิสระ ประตูเหล็กหนาแปดนิ้วก็เปิดผางออก ตามมาด้วยเสียงสบถหยาบคายของชายอาหรับกลุ่มหนึ่ง
พวกมันมีหกคน อาจมีรออยู่นอกประตูอีกสอง ชายชาวตะวันออกกลางในชุดทหารสกปรกๆห้าคนย่างสามขุมเข้ามายืนประจันหน้ากับเขา มีคนหนึ่งที่เขาจำหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นคนที่สร้างรอยแผลทั่วร่างและทรมานเขาสารพัด มันชื่ออามิน ราชิด เป็นคนที่อยู่ในใบประกาศจับของเอฟบีไอ.และตำรวจสากล อามินเป็นหัวหน้าชั้นปลายแถวของมุสลิมหัวรุนแรง มันสบถคำด่าพร้อมสั่งการให้ลูกน้องสองคนยกเก้าอี้พับสนิมเกรอะกรังตัวหนึ่งมาจากหลังห้อง อีกสองคนที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนจะเป็นหมอเสนารักษ์ หนึ่งในนั้นเข็นรถเข็นสำหรับการแพทย์เข้ามาด้วย แต่สายตาที่อ่อนล้าของเขาไม่สามารถมองเห็นคนสุดท้ายที่อยู่ในเงามืดหลังสุดได้
ร่างอ้วนๆเตี้ยๆของราชิดนั่งบนเก้าอี้ที่เพิ่งกางเสร็จ มันดูรีบร้อนกว่าทุกทีสังเกตได้จากน้ำเสียงการพูด เม็ดเหงื่อแฉะๆอยู่ที่รักแร้และหน้าอก กลิ่นตัวเหม็นเน่ารุนแรง พวกทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ดูเกร็งๆไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“เอาละ ไอสายลับตาน้ำข้าว” ราชิดเปลี่ยนภาษาเมื่อพูดกับเขา ” แกจะบอกเราได้รึยัง ว่าแกมาจากไหน และมีจุดประสงค์อะไร”
ชายหนุ่มเงียบกริบไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปาก สายตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งเกรียวไปที่ตาส่อนๆของราชิด เพราะดวงตาของเขาเป็นสิ่งเดียวในร่างกายที่จะต่อต้านพวกศัตรูได้ ในยามนี้
เหมือนฟ้าผ่าฝ่ามือแผ่นใหญ่ยักษ์ของราชิดหวดเข้ากกหูอย่างเต็มแรง จนทั้งตัวเขาและเก้าอี้ที่พันธนาการอยู่ล้มกระแทกพื้นดินแข็งๆ ฝุ่นดินที่พื้นฟุ้งขึ้น
ราชิดสั่งให้สมุนสองคนพยุงชายหนุ่มให้นั่งอีกครั้ง ไม่ทันพูดจา เขาก็หวดเข้ากกหูอีกข้างเต็มแรง สายลับหนุ่มกระแทกพื้นอีกครั้ง ไม่ต้องรอคำสั่งการใดๆ ทหารทั้งสองก็ยกเขาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“ชั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะไอเบื้อก ถ้าแกบอกความจริงมาเมื่อไหร่” ราชิดเริ่มกัดฟันสีเหลืองน่าเกลียด “ชั้นรับรองได้ ชั้นจะทำให้แกไปพบพระเจ้าของแกอย่างสบายและรวดเร็วที่สุดเหมือนนั่งสเตลท์ปรับอากาศเลยละ”
ฉับพลันเมื่อสิ้นเสียง ของเหลวข้นๆเหนี่ยวๆถูกถมใส่หน้าราชิด เห็นได้ชัดว่าตาของมันแดงกล่ำเหมือนสัตว์ร้าย มันตบหน้าสายลับด้วยฝ่ามือนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อสายลับหนุ่มมีท่าทีจะสลบ มือของจอมโหดราชิดก็คว้าเข้าด้ามมีดผ่าตัดทีปักคา
อยู่ที่สีข้างของสายลับหนุ่ม พรางบิดและคว้านอย่างมันมือ ดวงตาของสายลับหนุ่มตื่นจากภวังค์และเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด เลือดฉีดพุ่งออกมาเป็นสาย ร่างเปลือยเปล่าถูกอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานมากกว่าเดิม
ยังตายไม่ได้ ยังไงก็ตายไม่ได้ ชั้นยังตายไม่ได้ คำตะโกนก้องอยู่ในหัวของชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาถูกทรมาน เมื่อความเจ็บปวดเหมือนจะกระชากวิญญาณของเขาออกจากร่าง สมองของเขาถูกโปรแกรมมาว่าห้ามตายเมื่องานยังไม่เสร็จผนวกกับร่างกายที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีก็ทำตามคำสั่งนั้นไม่ว่าร่างกายจะยับเยินเพียงใด เขาเปรียบเสมือนเครื่องจักรกลที่ไม่มีวันตายหากไม่ถึงเวลา แล้วสิ่งที่เขารอคืออะไรกันละ ต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนที่ลมหายใจจะหมดลง
ขณะที่มือของราซิดกำลังกุมมีดอันคมกริบคว้านเครื่องในสายลับหนุ่มอยู่นั้น สมองของเขาพยายามเป็นอย่างสูงในการจัดเรียงความรู้สึกเพื่อให้คงสติไว้อยู่โดยไม่ล้ำเส้นขีดจำกัด เพราะหากเขาพลาดเพียงเสี้ยววินาทีเดียวผลลัพธ์คือ ความตาย และความล้มเหลวซึ้งยากเกินจะยอมรับได้
“พอแล้ว” คำๆหนึ่งเป็นภาษาอาหรับดังมาจากมุมมืดหลังห้อง ทหารทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตัวแข็งทื่อ รวมทั้งราซิดที่ดึงมีดออกโดยทันที เหมือนปิดสวิทส์ราซิดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและก้าวออกห่างจากร่างที่อาบไปด้วยเลือดของสายลับต่างชาติ และยืนตรงเหมือนทำความเคารพเสียงๆนั้น
สายตาของสายลับเริ่มเลือนราง มือที่ไพล่หลังด้วยโซ่ตรวนเย็นเฉียบ เขาจับจ้องไปที่เงามืดหลังห้องที่พวกทหารเปิดทางให้เดินเข้ามาใกล้แสงไฟ เผยให้เห็นชายกลางคนร่างผอมสูง หน้าตอบมีหนวดเครารุงรังมาถึงหน้าอก จมูกงองุ้ม ขอบตาดำคล้ำ นัยน์ตาสีดำบ่งบอกความคิดเกินคาดเดา เขาแต่งตัวเหมือนนักบวช ไม่ใช่ทหาร โพกผ้าที่ศีรษะ ใส่ผ้าคลุมสีขาวบางๆ ปลิวไสว สายลับหนุ่มรู้โดยทันทีว่าชายคนนี้คือ........ “ซาลาดีน” เขากระซิบเบาๆ
ซาลาดีนค่อยๆเคลื่อนกายมานั่งเก้าอี้ของราซิด ที่ตอนนี้ถ่อยปลี่หลบเข้ามุมมืดไป ดวงตาของเขาส่อแววใคร่รู้ ปนเวทนา มันเป็นแววตาของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายที่ทรงอิทธิพลและสั่งหารผู้บริสุทธิ์มากที่สุดในโลก ชายร่างสูงที่นั่งอยู่ต่อหน้าสายลับนิรนามผู้นี้คือ นายเหนือหัวของความรุนแรงที่ก่อเกิดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้
“การฝึกฝนแบบไหนกันนะที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาทานทนต่อความเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้” ซาลาดีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บางที นายอาจอยากจะคุยกับระดับผู้นำ .....ชั้นนี้แหละ ผู้นำ”
สายลับนิรนามใช้แรงทั้งหมดผงกหัว ตอบรับช้าๆ
“เห็นไหมละ ราซิด ชั้นพูดถูก” ซาลาดีนหันไปที่นายกองตัวอ้วนที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกระบมมือ “เอาละ อันดันดับแรกเลย ชั้นต้องขอชมนายที่เป็นที่โจษจันของทหารชั้น เราทั้งยิงนาย ทรมานนาย ช๊อตไฟฟ้า ทำทุกอย่างที่มืออาชีพด้านการเค้นความลับอย่างราซิดคิดได้ แต่นาย..แต่นาย ไม่ปริปากเลยสักคำ นายทนต่อการทารุณมาสี่วันเต็มๆ สี่วันคิดูสิ “ ซาลาดีนยิ้มมุมปากอย่างมีเลศไนย ” หลังจากเราจับนายได้ที่ฐานเวชพรรณชายแดนคาซัคก็ยังไม่รู้เลยแม้แต่ชื่อนาย ไม่รู้ว่านายเป็นใคร ต้องการอะไร หรือมาจากไหน นายทนความเจ็บปวดอย่างนั้นได้ยังไง” ซาลาดีนเงียบครู่หนึ่งเหมือนอาจจะมีคำตอบแต่ก็ได้รับความเงียบกับไป
“นายอาจเริ่มต้นกับราซิดไม่ค่อยดีเท่าไร แต่กับชั้นมันอีกเรื่องนึง นายจะมีชีวิตอยู่ต่อได้นานเท่าไรก็ได้ เท่าที่ชั้นอนุญาต ที่นี่ชั้นเป็นเจ้าของชีวิตนาย นายไม่มีทางหลบหนีหรอก ที่นี่อยู่ลึกลงมาใต้ดินเกือบหนึ่งไมล์ แม้แต่ดาวเทียมก็ไม่มีทางแกะรอยเราได้ นายจะได้มีชีวิตใหม่ในอาณัติของชั้นและอ้อมแขนพระเจ้าของเรา ชั้นไม่หวังอะไรเลยนอกจาก......ข้อมูลเพียงเล็กน้อยขององค์กรนาย ไม่ว่านายจะเป็น เอฟบีไอ. ซีไอเอ. หน่วยนาวิกเจ๋งๆจากที่ไหน เพียงแค่พูดออกมา ชั้นรับรอง นายจะได้รับการดูแลอย่างดี” ซาลาดีนเงียบลงเพื่อฟังคำตอบอีกครั้ง
.... เกิดความเงียบชั่วขณะหนึ่ง เป็นความอึดอัดที่ รู้สึกได้ว่ายาวนานมาก
“พูดสิ พูด พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ซาลาดีนพยายามทำน้ำเสียงให้ดูสดชื่นมากที่สุด
สายลับหนุ่มเริ่มทำปากขมุบขมิบ เหมือนกำลังกระซิบอะไรบางอย่าง
ซาลาดีนเจ้าชีวิตค่อยๆเอียงหูให้ใกล้ปากของสายลับนิรนามให้มากที่สุดเพื่อจะให้ได้ยินสิ่งที่เขาต้องการชัดๆ ลูกสมุนที่อยู่เบื้องหลังต่างพยายามลุ้นในสิ่งที่ต้องการได้ยิน จนเมื่อใบหูข้างขวาใกล้ปากของสายลับจนหน้ากลัว ก็ได้ยินคำๆหนึ่ง
“ไปตายซะ”
เรื่องสั้นขนาดยาว "มือสังหาร"
ณ.ห้องเล็กๆห้องหนึ่งที่อยู่ส่วนใดมิทราบได้ในส่วนหนึ่งของรากแขนงอุโมงค์นับร้อยนับพันสาขา โคมไฟดวงเดียวห้อยลงมาจากเพดานชั้นดินแข็ง แกว่งไปมาเล็กน้อย สาดส่องแสงไฟไปทั่วห้อง ภายในห้องมีเพียงเก้าอี้พับโลหะ ขึ้นสนิมหนาตั้งเด่นอยู่กลางห้อง สิ่งที่อยู่บนนั้นดูเหมือนเศษซากก้อนเนื้อ
รอการนำใส่ถุงขยะไปเผาทิ้ง เพียงแต่ซากก้อนเนื้อนั้น มันยังมีลมหายใจ นัยน์ตาเล็กๆพยายามมองลอดแผลบวมช้ำเลือดช้ำหนองที่เกิดจากการถูกทารุณทั่วทั้งใบหน้า ลมหายใจโรยรินอันเป็นจังหวะบ่งบอกถึงความมีสติและไม่เกรงกลัวต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น ชายหนุ่มที่ร่างถูกอาบไปด้วยเลือดกำลังประเมินความบอบช้ำของร่างกายเปลือยเปล่า และสติอันเจือจางเต็มทีกำลังวิงวอนต่อพระเจ้าอยู่ในใจ ใบหน้าที่ถูกทุบตีด้วยพานท้ายปืนอาร์.เค.หลายกระบอก ทำให้หน้าเขาดูเหมือนถุงกระสอบใส่มันฝรั่ง
คอที่โดนเชือกเส้นหนารัดจนเป็นรอยช้ำเลือดบวมหนา หน้าอกมีรอยแทง7แห่ง ฟัน2แห่ง เฉือน14แห่ง ไม่รวมถึงการช๊อตไฟฟ้าที่มีรอยไหม้เกรียมหลายๆจุด ที่ท้องแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเหลืออยู่แล้ว เห็นเพียงแต่มีดสำหรับหมอผ่าตัดเสียบคาไว้บริเวณกระบังลมทำให้รู้สึกว่ากำลังจมน้ำเมื่อหายใจลึกๆ
กระดูกสันหลังอาจแตกละเอียดทำให้เกิดอาการอัมพาต นี่อาจเป็นข้อดีที่ทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ยังไม่รวมกระสุนปืน6นัดที่ถูกข้าศึกยิงเพื่อป้องกันการหลบหนีที่กระจายอยู่ที่น่อง พับใน และหัวเข่า ทำให้เลือดดำๆข้นๆใหลนองอยู่ที่พื้นดินดานเย็นๆจนจับตัวเป็นก้อนหนา...โอ..มันเกินเยียวยาเสียจริง ผลการประเมินคือหมดสภาพ
ร่างกายที่เปลือยเปล่าไม่มีแม้แต่แรงจะสั่นสะท้าน กับการทารุณที่ฝ่ายศัตรูมอบให้แก่เขา เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนกับความลับอันนำไปสู่เหตุผลว่าเหตุใดเขาจึงมาอยู่ที่นี่ ไม่ เขาไม่แม้แต่จะปริปากร้องขอความเมตตาจากพวกศัตรู หวังเพื่อให้ภาระกิจครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วง
สายตาของชายหนุ่มกำลังจับจ้องไปที่ซอกเล็กๆใต้ประตูเหล็กหนาที่เชื่อมต่อกันอย่างลวกๆ ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากภายนอก มีเพียงมือที่ถูกไขว้หลังกับพนักเก้าอี้ รู้สึกถึงตรวนหนักๆเย็นๆที่คมสนิมกำลังบาดข้อมือจนเลือดซึม
ไม่ช้าแสงไฟภายนอกที่ส่องผ่านซอกประตูก็เกิดการเคลื่อนไหว อาจเป็นยามที่อยู่หน้าประตูกำลังเตรียมพร้อมกับอะไรสักอย่างที่จะเกิดขึ้น ไม่ถึงอึดใจประสาทหูที่ยังใช้การได้ดีของเขา ได้ยินเสียงของกลุ่มคนราว6คนกำลังเดินมาทางประตูอย่างเร่งรีบ มีการสบถเป็นภาษาอาหรับอยู่เป็นระยะ จิตใจของเขาไม่แม้แต่จะฟุ้งซ่าน กลับรู้สึกยินดีกับสิ่งที่จะมาถึง เสียงฝีเท้า และเสียงพูดคุยเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาเริ่มกะระยะตามสัญชาตญาณ
....12เมตร
10...
8...
5..
.3...
1..ไม่ช้าแสงไฟที่ซอกใต้ประตูก็ถูกบดบังโดยเงาของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ตามมาด้วยเสียงปลดล๊อกประตูราวๆสิบตัวที่ส่งเสียงแสบแก้วหูยาวนาน เมื่อกลอนตัวสุดท้ายเป็นอิสระ ประตูเหล็กหนาแปดนิ้วก็เปิดผางออก ตามมาด้วยเสียงสบถหยาบคายของชายอาหรับกลุ่มหนึ่ง
พวกมันมีหกคน อาจมีรออยู่นอกประตูอีกสอง ชายชาวตะวันออกกลางในชุดทหารสกปรกๆห้าคนย่างสามขุมเข้ามายืนประจันหน้ากับเขา มีคนหนึ่งที่เขาจำหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นคนที่สร้างรอยแผลทั่วร่างและทรมานเขาสารพัด มันชื่ออามิน ราชิด เป็นคนที่อยู่ในใบประกาศจับของเอฟบีไอ.และตำรวจสากล อามินเป็นหัวหน้าชั้นปลายแถวของมุสลิมหัวรุนแรง มันสบถคำด่าพร้อมสั่งการให้ลูกน้องสองคนยกเก้าอี้พับสนิมเกรอะกรังตัวหนึ่งมาจากหลังห้อง อีกสองคนที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนจะเป็นหมอเสนารักษ์ หนึ่งในนั้นเข็นรถเข็นสำหรับการแพทย์เข้ามาด้วย แต่สายตาที่อ่อนล้าของเขาไม่สามารถมองเห็นคนสุดท้ายที่อยู่ในเงามืดหลังสุดได้
ร่างอ้วนๆเตี้ยๆของราชิดนั่งบนเก้าอี้ที่เพิ่งกางเสร็จ มันดูรีบร้อนกว่าทุกทีสังเกตได้จากน้ำเสียงการพูด เม็ดเหงื่อแฉะๆอยู่ที่รักแร้และหน้าอก กลิ่นตัวเหม็นเน่ารุนแรง พวกทหารที่ยืนอยู่ข้างหลังก็ดูเกร็งๆไม่เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
“เอาละ ไอสายลับตาน้ำข้าว” ราชิดเปลี่ยนภาษาเมื่อพูดกับเขา ” แกจะบอกเราได้รึยัง ว่าแกมาจากไหน และมีจุดประสงค์อะไร”
ชายหนุ่มเงียบกริบไม่มีคำตอบใดๆหลุดออกมาจากปาก สายตาแข็งกร้าวจ้องเขม็งเกรียวไปที่ตาส่อนๆของราชิด เพราะดวงตาของเขาเป็นสิ่งเดียวในร่างกายที่จะต่อต้านพวกศัตรูได้ ในยามนี้
เหมือนฟ้าผ่าฝ่ามือแผ่นใหญ่ยักษ์ของราชิดหวดเข้ากกหูอย่างเต็มแรง จนทั้งตัวเขาและเก้าอี้ที่พันธนาการอยู่ล้มกระแทกพื้นดินแข็งๆ ฝุ่นดินที่พื้นฟุ้งขึ้น
ราชิดสั่งให้สมุนสองคนพยุงชายหนุ่มให้นั่งอีกครั้ง ไม่ทันพูดจา เขาก็หวดเข้ากกหูอีกข้างเต็มแรง สายลับหนุ่มกระแทกพื้นอีกครั้ง ไม่ต้องรอคำสั่งการใดๆ ทหารทั้งสองก็ยกเขาขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“ชั้นไม่ใช่เพื่อนเล่นแกนะไอเบื้อก ถ้าแกบอกความจริงมาเมื่อไหร่” ราชิดเริ่มกัดฟันสีเหลืองน่าเกลียด “ชั้นรับรองได้ ชั้นจะทำให้แกไปพบพระเจ้าของแกอย่างสบายและรวดเร็วที่สุดเหมือนนั่งสเตลท์ปรับอากาศเลยละ”
ฉับพลันเมื่อสิ้นเสียง ของเหลวข้นๆเหนี่ยวๆถูกถมใส่หน้าราชิด เห็นได้ชัดว่าตาของมันแดงกล่ำเหมือนสัตว์ร้าย มันตบหน้าสายลับด้วยฝ่ามือนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อสายลับหนุ่มมีท่าทีจะสลบ มือของจอมโหดราชิดก็คว้าเข้าด้ามมีดผ่าตัดทีปักคา
อยู่ที่สีข้างของสายลับหนุ่ม พรางบิดและคว้านอย่างมันมือ ดวงตาของสายลับหนุ่มตื่นจากภวังค์และเบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด เลือดฉีดพุ่งออกมาเป็นสาย ร่างเปลือยเปล่าถูกอาบไปด้วยเลือดสีแดงฉานมากกว่าเดิม
ยังตายไม่ได้ ยังไงก็ตายไม่ได้ ชั้นยังตายไม่ได้ คำตะโกนก้องอยู่ในหัวของชายหนุ่มทุกครั้งที่เขาถูกทรมาน เมื่อความเจ็บปวดเหมือนจะกระชากวิญญาณของเขาออกจากร่าง สมองของเขาถูกโปรแกรมมาว่าห้ามตายเมื่องานยังไม่เสร็จผนวกกับร่างกายที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีก็ทำตามคำสั่งนั้นไม่ว่าร่างกายจะยับเยินเพียงใด เขาเปรียบเสมือนเครื่องจักรกลที่ไม่มีวันตายหากไม่ถึงเวลา แล้วสิ่งที่เขารอคืออะไรกันละ ต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนที่ลมหายใจจะหมดลง
ขณะที่มือของราซิดกำลังกุมมีดอันคมกริบคว้านเครื่องในสายลับหนุ่มอยู่นั้น สมองของเขาพยายามเป็นอย่างสูงในการจัดเรียงความรู้สึกเพื่อให้คงสติไว้อยู่โดยไม่ล้ำเส้นขีดจำกัด เพราะหากเขาพลาดเพียงเสี้ยววินาทีเดียวผลลัพธ์คือ ความตาย และความล้มเหลวซึ้งยากเกินจะยอมรับได้
“พอแล้ว” คำๆหนึ่งเป็นภาษาอาหรับดังมาจากมุมมืดหลังห้อง ทหารทุกคนที่อยู่ในห้องต่างตัวแข็งทื่อ รวมทั้งราซิดที่ดึงมีดออกโดยทันที เหมือนปิดสวิทส์ราซิดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วและก้าวออกห่างจากร่างที่อาบไปด้วยเลือดของสายลับต่างชาติ และยืนตรงเหมือนทำความเคารพเสียงๆนั้น
สายตาของสายลับเริ่มเลือนราง มือที่ไพล่หลังด้วยโซ่ตรวนเย็นเฉียบ เขาจับจ้องไปที่เงามืดหลังห้องที่พวกทหารเปิดทางให้เดินเข้ามาใกล้แสงไฟ เผยให้เห็นชายกลางคนร่างผอมสูง หน้าตอบมีหนวดเครารุงรังมาถึงหน้าอก จมูกงองุ้ม ขอบตาดำคล้ำ นัยน์ตาสีดำบ่งบอกความคิดเกินคาดเดา เขาแต่งตัวเหมือนนักบวช ไม่ใช่ทหาร โพกผ้าที่ศีรษะ ใส่ผ้าคลุมสีขาวบางๆ ปลิวไสว สายลับหนุ่มรู้โดยทันทีว่าชายคนนี้คือ........ “ซาลาดีน” เขากระซิบเบาๆ
ซาลาดีนค่อยๆเคลื่อนกายมานั่งเก้าอี้ของราซิด ที่ตอนนี้ถ่อยปลี่หลบเข้ามุมมืดไป ดวงตาของเขาส่อแววใคร่รู้ ปนเวทนา มันเป็นแววตาของผู้นำกลุ่มก่อการร้ายที่ทรงอิทธิพลและสั่งหารผู้บริสุทธิ์มากที่สุดในโลก ชายร่างสูงที่นั่งอยู่ต่อหน้าสายลับนิรนามผู้นี้คือ นายเหนือหัวของความรุนแรงที่ก่อเกิดอยู่ทั่วโลกในขณะนี้
“การฝึกฝนแบบไหนกันนะที่ทำให้มนุษย์ธรรมดาทานทนต่อความเจ็บปวดได้ถึงเพียงนี้” ซาลาดีนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “บางที นายอาจอยากจะคุยกับระดับผู้นำ .....ชั้นนี้แหละ ผู้นำ”
สายลับนิรนามใช้แรงทั้งหมดผงกหัว ตอบรับช้าๆ
“เห็นไหมละ ราซิด ชั้นพูดถูก” ซาลาดีนหันไปที่นายกองตัวอ้วนที่ตอนนี้เริ่มรู้สึกระบมมือ “เอาละ อันดันดับแรกเลย ชั้นต้องขอชมนายที่เป็นที่โจษจันของทหารชั้น เราทั้งยิงนาย ทรมานนาย ช๊อตไฟฟ้า ทำทุกอย่างที่มืออาชีพด้านการเค้นความลับอย่างราซิดคิดได้ แต่นาย..แต่นาย ไม่ปริปากเลยสักคำ นายทนต่อการทารุณมาสี่วันเต็มๆ สี่วันคิดูสิ “ ซาลาดีนยิ้มมุมปากอย่างมีเลศไนย ” หลังจากเราจับนายได้ที่ฐานเวชพรรณชายแดนคาซัคก็ยังไม่รู้เลยแม้แต่ชื่อนาย ไม่รู้ว่านายเป็นใคร ต้องการอะไร หรือมาจากไหน นายทนความเจ็บปวดอย่างนั้นได้ยังไง” ซาลาดีนเงียบครู่หนึ่งเหมือนอาจจะมีคำตอบแต่ก็ได้รับความเงียบกับไป
“นายอาจเริ่มต้นกับราซิดไม่ค่อยดีเท่าไร แต่กับชั้นมันอีกเรื่องนึง นายจะมีชีวิตอยู่ต่อได้นานเท่าไรก็ได้ เท่าที่ชั้นอนุญาต ที่นี่ชั้นเป็นเจ้าของชีวิตนาย นายไม่มีทางหลบหนีหรอก ที่นี่อยู่ลึกลงมาใต้ดินเกือบหนึ่งไมล์ แม้แต่ดาวเทียมก็ไม่มีทางแกะรอยเราได้ นายจะได้มีชีวิตใหม่ในอาณัติของชั้นและอ้อมแขนพระเจ้าของเรา ชั้นไม่หวังอะไรเลยนอกจาก......ข้อมูลเพียงเล็กน้อยขององค์กรนาย ไม่ว่านายจะเป็น เอฟบีไอ. ซีไอเอ. หน่วยนาวิกเจ๋งๆจากที่ไหน เพียงแค่พูดออกมา ชั้นรับรอง นายจะได้รับการดูแลอย่างดี” ซาลาดีนเงียบลงเพื่อฟังคำตอบอีกครั้ง
.... เกิดความเงียบชั่วขณะหนึ่ง เป็นความอึดอัดที่ รู้สึกได้ว่ายาวนานมาก
“พูดสิ พูด พูดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” ซาลาดีนพยายามทำน้ำเสียงให้ดูสดชื่นมากที่สุด
สายลับหนุ่มเริ่มทำปากขมุบขมิบ เหมือนกำลังกระซิบอะไรบางอย่าง
ซาลาดีนเจ้าชีวิตค่อยๆเอียงหูให้ใกล้ปากของสายลับนิรนามให้มากที่สุดเพื่อจะให้ได้ยินสิ่งที่เขาต้องการชัดๆ ลูกสมุนที่อยู่เบื้องหลังต่างพยายามลุ้นในสิ่งที่ต้องการได้ยิน จนเมื่อใบหูข้างขวาใกล้ปากของสายลับจนหน้ากลัว ก็ได้ยินคำๆหนึ่ง
“ไปตายซะ”