ในช่วงสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้ โปรดมีสติและรับฟังข่าวสารด้วยวิจารณญาณ เพราะทุกวันนี้ "เราบริโภคหรือเสพข่าวสารกันด้วยอติ ติดตามเพียงแง่มุมที่เราชอบหรือพึงพอใจมากกว่า และมักแปลความหมายให้ตรงจริตเราเอง" ข่าวไหนไม่ถูกใจแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่ถูกต้อง หลายคนมักเลือกที่จะมองข้ามหรือต่อต้านความจริงที่เกิดขึ้น ทำให้ไม่รอบด้าน ขาดการคิดเชิงวิเคราะห์เปรียบเทียบ และถูกผลักไปให้อยู่ในรูปแบบการเสพข่าวสารแบบ "ใครไม่พอใจ ก็ไปดูช่อง(สื่อ)อื่น" แบบไม่รู้ตัว
สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยคิดคือ การนำเสนอข่าวของทุกสำนักนั้น ถูกผลิตจาก "ตัวบุคคล" ซึ่งถูกครอบงำด้วยการทำธุรกิจและทัศนคติที่ถูกผูกโยงกับพรรคพวกเพื่อนพ้อง ดังนั้นแม้ว่าข่าวสารนั้นจะเป็นเรื่องจริง สถานะการณ์จริง แต่บางทีสิ่งที่เราได้เห็นได้ยินผ่านสื่อมันก็ไม่ครบถ้วนทุกมิติ เพราะมันถูกเจือปนมาด้วยทัศนคติและรสนิยมส่วนตัวของ "ผู้ที่นำเสนอข่าว" นั่นเอง ซึ่งเขาอยากให้เราเห็นอะไร คิดแบบไหน ก็สื่อแบบนั้น เค๊าไม่อยากให้เราเห็นอะไรก็บังเอาไว้ และธรรมชาติของธุรกิจข่าวคือ "ข่าวดีมักขายไม่ค่อยได้ แต่ข่าวร้ายมักขายดี"
ตอนเด็กๆหลายคนอาจเคยเล่นเกมส์นึงในห้องเรียน คือให้เล่านิทานสั้นๆสักเรื่องให้เพื่อนฟังไปเป็นทอดๆ โดยคนแรกเล่าให้คนที่ 2 ฟัง คนที่ 2 เล่าให้คนที่ 3 ฟัง...จนครบทุกคนในห้องแล้วให้คนสุดท้ายเขียนออกมาเป็นเรื่องราวที่ได้ยินมา ปรากฎว่าเนื้อเรื่องมันช่างแต่ต่างจากต้นเรื่องคนแรกมากมายนัก ไม่แตกต่างอะไรกับการนำเสนอข่าวในปัจจุบันคือ เมื่อสื่อถ่ายทอดไม่ครบทุกมิติ ผู้เสพนำไปถ่ายทอดต่อๆกันไปหลายๆทอดด้วยอคติ ท้ายสุดข่าวนั้นก็บิดเบือนหรือเต็มไปด้วยขยะทางความคิดที่ถูกปะปนจากอคติของแต่ละคนที่ส่งผ่านกันมาหลายทอด ไม่ต่างจากการ "เสพขยะ"
ในฐานะที่เคยทำงานสายงานสื่อสารมวลชน มีนักข่าวหรือคนในวงการข่าวหลายคนที่ผมรู้จัก ไม่ว่าระดับหัวแถวหรือท้ายแถว ขอบอกว่ามีบุคคลด้อยคุณภาพจนน่าตกใจจำนวนมากกว่าที่คิดเยอะครับ หลายคนอัตตะ อัตตา สูงลิบ สวนทางกับโลกทัศน์และพื้นความรู้โดยสิ้นเชิง และพฤติกรรมนึงที่คล้ายๆกันคือ "มักชอบยัดเยียดหรือแฝงความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในเนื้อหา หรือตั้งตนเป็นผู้วิเคราะห์ถ้ามีโอกาสทำ" เพราะคิดว่านั่นอาจเป็นบันใดไปสู่ความสำเร็จในอาชีพ "โดยมิได้ย้อนมองดูตัวตนของตนเองก่อนว่ามีต้นทุนทางความคิดเพียงใด"
ตราบใดที่เรายังใช้ "คน" แทนเครื่องจักรกล เราไม่มีทางก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ว่าองค์กรไหน ดังนั้น "การเสพข่าวอย่างมีสติ" จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด
บริโภคข่าวสารอย่างมีสติและรอบด้าน
สิ่งที่หลายคนไม่ค่อยคิดคือ การนำเสนอข่าวของทุกสำนักนั้น ถูกผลิตจาก "ตัวบุคคล" ซึ่งถูกครอบงำด้วยการทำธุรกิจและทัศนคติที่ถูกผูกโยงกับพรรคพวกเพื่อนพ้อง ดังนั้นแม้ว่าข่าวสารนั้นจะเป็นเรื่องจริง สถานะการณ์จริง แต่บางทีสิ่งที่เราได้เห็นได้ยินผ่านสื่อมันก็ไม่ครบถ้วนทุกมิติ เพราะมันถูกเจือปนมาด้วยทัศนคติและรสนิยมส่วนตัวของ "ผู้ที่นำเสนอข่าว" นั่นเอง ซึ่งเขาอยากให้เราเห็นอะไร คิดแบบไหน ก็สื่อแบบนั้น เค๊าไม่อยากให้เราเห็นอะไรก็บังเอาไว้ และธรรมชาติของธุรกิจข่าวคือ "ข่าวดีมักขายไม่ค่อยได้ แต่ข่าวร้ายมักขายดี"
ตอนเด็กๆหลายคนอาจเคยเล่นเกมส์นึงในห้องเรียน คือให้เล่านิทานสั้นๆสักเรื่องให้เพื่อนฟังไปเป็นทอดๆ โดยคนแรกเล่าให้คนที่ 2 ฟัง คนที่ 2 เล่าให้คนที่ 3 ฟัง...จนครบทุกคนในห้องแล้วให้คนสุดท้ายเขียนออกมาเป็นเรื่องราวที่ได้ยินมา ปรากฎว่าเนื้อเรื่องมันช่างแต่ต่างจากต้นเรื่องคนแรกมากมายนัก ไม่แตกต่างอะไรกับการนำเสนอข่าวในปัจจุบันคือ เมื่อสื่อถ่ายทอดไม่ครบทุกมิติ ผู้เสพนำไปถ่ายทอดต่อๆกันไปหลายๆทอดด้วยอคติ ท้ายสุดข่าวนั้นก็บิดเบือนหรือเต็มไปด้วยขยะทางความคิดที่ถูกปะปนจากอคติของแต่ละคนที่ส่งผ่านกันมาหลายทอด ไม่ต่างจากการ "เสพขยะ"
ในฐานะที่เคยทำงานสายงานสื่อสารมวลชน มีนักข่าวหรือคนในวงการข่าวหลายคนที่ผมรู้จัก ไม่ว่าระดับหัวแถวหรือท้ายแถว ขอบอกว่ามีบุคคลด้อยคุณภาพจนน่าตกใจจำนวนมากกว่าที่คิดเยอะครับ หลายคนอัตตะ อัตตา สูงลิบ สวนทางกับโลกทัศน์และพื้นความรู้โดยสิ้นเชิง และพฤติกรรมนึงที่คล้ายๆกันคือ "มักชอบยัดเยียดหรือแฝงความคิดเห็นส่วนตัวลงไปในเนื้อหา หรือตั้งตนเป็นผู้วิเคราะห์ถ้ามีโอกาสทำ" เพราะคิดว่านั่นอาจเป็นบันใดไปสู่ความสำเร็จในอาชีพ "โดยมิได้ย้อนมองดูตัวตนของตนเองก่อนว่ามีต้นทุนทางความคิดเพียงใด"
ตราบใดที่เรายังใช้ "คน" แทนเครื่องจักรกล เราไม่มีทางก้าวข้ามเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ว่าองค์กรไหน ดังนั้น "การเสพข่าวอย่างมีสติ" จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด