ผมกับแฟนคบกันมา 3 ปีเธอได้งานที่บ้านเงินเดือนก็ตามอัตราจ้างทั่วไป ส่วนผมอยู่ต่างจังหวัดเป็นวิศกรของโรงงานแห่งหนึ่งเงินเดือน
อยู่ในระดับที่ถือว่า OK แต่ยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบอยู่อีกส่วนหนึ่ง ครอบครัวเธอค่อนข้างดูดีมีฐานะกว่าผม เราไปมาหาสู่กันและคบหาดูใจ
กันไปเป็นเวลาพอสมควร ครอบครัวเราเป็นคนบ้านนอกพอสมควร ผมเข้ากับคนที่บ้านของเธอได้เป็นอย่างดี ทั้งพ่อ-แม่ ญาติ ๆ เธอ
เธอบอกแม่พ่อว่าเรามีอะไรกันแล้ว แม่ของแฟนผมโทรมาหาผมและสอบถามเรื่องเหล่านี้กับผม ผมจึงปรึกษากับแฟนผมโดยการจะให้ญาติ
ผู้ใหญ่ฝ่ายผมมาพบปะพูดคุยกันไว้ก่อนแต่เธอบอกยังไม่พร้อม แต่ด้วยความรับผิดชอบ ความรัก และความเคารพที่ผมมีต่อญาติผู้ใหญ่ของแฟน จึงให้ผู้ใหญ่ฝ่ายผมมาพบปะพูดคุยรวมถึงหมั้นหมายกันไว้ ด้วยทองคำแท่งและทองรูปพรรณจำนวน 5 บาทจากเงินเก็บของผมเอง และทางผู้ใหญ่มีสัญญาว่าจะต้องมีการจัดการงานแต่งขึ้นภายในอีก 1 ปีถัดมา โดยทางผมมีค่าสินสอดอีกจำนวนแสนกว่าบาทที่จะต้องจัดหาให้กับฝ่ายทางจ้าวสาวตอนวันแต่ง
เราสัญญากันว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินเพื่อเตรียมงานแต่งของเรา
หลังหมั้นหมายเนื่องจากเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเท่าไหร่ การไปมาหาสู่กันระหว่างผมและครอบครัวของเธอก็เป็นปกติเดือนละครั้ง ช่วยงานการบ้าง เงินก็ส่งให้ใช้บ้างตามสมควร ผมเคยสัญญาบางเรื่องกับเธอไว้เช่นจะไปเที่ยวกัน จะทำนั่น-นู่นนี่ให้ แต่ทุกอย่างมันมีเหตุอันทำให้สัญญานั้นทำไม่ได้ เนื่องด้วยงาน ของแต่ละคน และเวลาที่มีให้กันได้ไม่มากเท่าที่ควร ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างฝืด งานผมหยุดบ้าง Holidayไม่มี OTไม่ได้ ภาระที่ต่างคนต้องรับผิดชอบ รวมถึงเรื่องเพื่อนผู้หญิงใน Face ผมบ้าง ทำให้หลายอย่างที่ผมวาดฝันไว้มันเริ่มเลือนราง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีต้องมีการทะเลาะกันหลายครั้ง
ยิ่งใกล้ถึงเดือนที่เราบอกจะจัดงานแต่งกันมากเท่าไหร่ต่างคนต่างเครียด ด้วยงบประมาณและเงินเก็บที่ผมมีไม่มากพอ ผมจึงเอ่ยปากชวน
เธอเอารถผมเข้า finance เพื่อนำเงินมาเป็นค่าสินสอดและค่าจัดงาน แล้วค่อยมาช่วยกันหาใช้กันทีหลัง แต่เธอบอกกับผมว่าเธอไม่อยากลำบาก อยากให้ผมปรึกษาเพื่อขอเงินจากพ่อกับแม่ผมมา ซึ่งเธอบอกมันเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่ แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมบอกการที่ผมจะมีครอบครัวเราต้องช่วยกันเก็บช่วยกันออม มันต้องมาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง ไม่ใช่โตแล้วยังขอเงินพ่อแม่มาแต่งอีก อีกอย่างฐานะทางครอบครัวผมก็พอมีพอพอกิน ไม่ได้ร่ำรวย เราคุยแกมทะเลาะกันไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอด
เธอบอกว่า ผมไม่เข้าใจความเป็นผู้หญิง ทำไมชีวิตคู่ของเราไม่เหมือนอย่างคนอื่นเขา เขาไปเที่ยว เขาไปดูหนัง เขาไปกินอะไรต่าง ๆ กัน เธอบอกผมห่วงครอบครัวผม (พ่อแม่และน้อง) มากเกินไป (พ่อผมพึ่งผ่าตัดใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อนตอนนี้ทำงานหนักไม่ได้) จนเราทะเลาะกันอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะต้องกลับไปช่วยงานไร่กับนาที่บ้านในระหว่างที่บริษัทหยุดสิ้นปี แต่เธอต้องการไปเที่ยว ซึ่งผมพยายามอธิบายให้ฟังแล้วว่าทำไมเราถึงยังไปเที่ยวกันช่วงนี้ไม่ได้ เราต้องทะเลาะกันหนักเข้าจนผมบอกเลิกกับเธอในที่สุด แต่สุดท้ายผมก็ขอโทษเธอและเราก็คืนดีกัน
ผมเคยวาดฝันไว้หลังแต่งงานผมจะพาเธอไปปลูกบ้านที่บ้านผมมีลูกอยู่ด้วยกัน เก็บเงินสักก้อนแล้วกลับไปอยู่บ้านนอกค้าขาย แต่ตอนนี้
แม้แต่ผมชวนเธอมาทำงานและช่วยกันเก็บเงินและเพื่อลดปัญหาเรื่องการอยู่ไกลกันด้วย แต่เธอบอกเธอกลัวลำบาก สุดท้ายเธอบอกกับผม
หากยังไม่พร้อมก็ขอให้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อนแบบไม่มีกำหนด และให้ผมไปอธิบายกับทางพ่อแม่ของเธอว่าทำไมถึงต้องเลื่อน
เดือนนี้เราเลยคุยกันน้อยลง เพราะทุกครั้งที่คุยกันจะหนักไปทางทะเลาะกันซะมากกว่า ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร งานผมบ้าง line มาทำไมไม่ตอบ chat มาทำไมไม่ตอบทั้ง ๆ ที่เธอเห็นผม online เธอชอบแชทมาว่า 'มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ ก็ได้นะ' ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอ เพราะพักหลัง แม้แต่เสียงใน line หรือเสียงทางโทรศัพท์เบาหรือมีเสียงแทรกมันก็กลายเป็นประเด็นไปหมด ผมเหนื่อย ผมอ่อนใจหรือผมหมดรักเธอแล้ว
ผมอยากมีครอบครัว ผมอยากมีลูก แต่ผมไม่อยากปวดหัว ผมคิดว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดี บางครั้งบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมผมถึงต้องปวดหัวและคิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่ฝ่ายที่เสียหาย "ความจริงผู้ชายบางครั้งบางทีก็อยากให้ผู้หญิงเข้าใจกันบ้างนะ"
แฟนผมบอกยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน
อยู่ในระดับที่ถือว่า OK แต่ยังมีภาระที่ต้องรับผิดชอบอยู่อีกส่วนหนึ่ง ครอบครัวเธอค่อนข้างดูดีมีฐานะกว่าผม เราไปมาหาสู่กันและคบหาดูใจ
กันไปเป็นเวลาพอสมควร ครอบครัวเราเป็นคนบ้านนอกพอสมควร ผมเข้ากับคนที่บ้านของเธอได้เป็นอย่างดี ทั้งพ่อ-แม่ ญาติ ๆ เธอ
เธอบอกแม่พ่อว่าเรามีอะไรกันแล้ว แม่ของแฟนผมโทรมาหาผมและสอบถามเรื่องเหล่านี้กับผม ผมจึงปรึกษากับแฟนผมโดยการจะให้ญาติ
ผู้ใหญ่ฝ่ายผมมาพบปะพูดคุยกันไว้ก่อนแต่เธอบอกยังไม่พร้อม แต่ด้วยความรับผิดชอบ ความรัก และความเคารพที่ผมมีต่อญาติผู้ใหญ่ของแฟน จึงให้ผู้ใหญ่ฝ่ายผมมาพบปะพูดคุยรวมถึงหมั้นหมายกันไว้ ด้วยทองคำแท่งและทองรูปพรรณจำนวน 5 บาทจากเงินเก็บของผมเอง และทางผู้ใหญ่มีสัญญาว่าจะต้องมีการจัดการงานแต่งขึ้นภายในอีก 1 ปีถัดมา โดยทางผมมีค่าสินสอดอีกจำนวนแสนกว่าบาทที่จะต้องจัดหาให้กับฝ่ายทางจ้าวสาวตอนวันแต่ง
เราสัญญากันว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินเพื่อเตรียมงานแต่งของเรา
หลังหมั้นหมายเนื่องจากเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่ใกล้ไม่ไกลกันเท่าไหร่ การไปมาหาสู่กันระหว่างผมและครอบครัวของเธอก็เป็นปกติเดือนละครั้ง ช่วยงานการบ้าง เงินก็ส่งให้ใช้บ้างตามสมควร ผมเคยสัญญาบางเรื่องกับเธอไว้เช่นจะไปเที่ยวกัน จะทำนั่น-นู่นนี่ให้ แต่ทุกอย่างมันมีเหตุอันทำให้สัญญานั้นทำไม่ได้ เนื่องด้วยงาน ของแต่ละคน และเวลาที่มีให้กันได้ไม่มากเท่าที่ควร ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ค่อนข้างฝืด งานผมหยุดบ้าง Holidayไม่มี OTไม่ได้ ภาระที่ต่างคนต้องรับผิดชอบ รวมถึงเรื่องเพื่อนผู้หญิงใน Face ผมบ้าง ทำให้หลายอย่างที่ผมวาดฝันไว้มันเริ่มเลือนราง และเป็นสาเหตุที่ทำให้เรามีต้องมีการทะเลาะกันหลายครั้ง
ยิ่งใกล้ถึงเดือนที่เราบอกจะจัดงานแต่งกันมากเท่าไหร่ต่างคนต่างเครียด ด้วยงบประมาณและเงินเก็บที่ผมมีไม่มากพอ ผมจึงเอ่ยปากชวน
เธอเอารถผมเข้า finance เพื่อนำเงินมาเป็นค่าสินสอดและค่าจัดงาน แล้วค่อยมาช่วยกันหาใช้กันทีหลัง แต่เธอบอกกับผมว่าเธอไม่อยากลำบาก อยากให้ผมปรึกษาเพื่อขอเงินจากพ่อกับแม่ผมมา ซึ่งเธอบอกมันเป็นหน้าที่ของพ่อกับแม่ แต่ผมไม่เห็นด้วย ผมบอกการที่ผมจะมีครอบครัวเราต้องช่วยกันเก็บช่วยกันออม มันต้องมาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง ไม่ใช่โตแล้วยังขอเงินพ่อแม่มาแต่งอีก อีกอย่างฐานะทางครอบครัวผมก็พอมีพอพอกิน ไม่ได้ร่ำรวย เราคุยแกมทะเลาะกันไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ตลอด
เธอบอกว่า ผมไม่เข้าใจความเป็นผู้หญิง ทำไมชีวิตคู่ของเราไม่เหมือนอย่างคนอื่นเขา เขาไปเที่ยว เขาไปดูหนัง เขาไปกินอะไรต่าง ๆ กัน เธอบอกผมห่วงครอบครัวผม (พ่อแม่และน้อง) มากเกินไป (พ่อผมพึ่งผ่าตัดใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อนตอนนี้ทำงานหนักไม่ได้) จนเราทะเลาะกันอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะต้องกลับไปช่วยงานไร่กับนาที่บ้านในระหว่างที่บริษัทหยุดสิ้นปี แต่เธอต้องการไปเที่ยว ซึ่งผมพยายามอธิบายให้ฟังแล้วว่าทำไมเราถึงยังไปเที่ยวกันช่วงนี้ไม่ได้ เราต้องทะเลาะกันหนักเข้าจนผมบอกเลิกกับเธอในที่สุด แต่สุดท้ายผมก็ขอโทษเธอและเราก็คืนดีกัน
ผมเคยวาดฝันไว้หลังแต่งงานผมจะพาเธอไปปลูกบ้านที่บ้านผมมีลูกอยู่ด้วยกัน เก็บเงินสักก้อนแล้วกลับไปอยู่บ้านนอกค้าขาย แต่ตอนนี้
แม้แต่ผมชวนเธอมาทำงานและช่วยกันเก็บเงินและเพื่อลดปัญหาเรื่องการอยู่ไกลกันด้วย แต่เธอบอกเธอกลัวลำบาก สุดท้ายเธอบอกกับผม
หากยังไม่พร้อมก็ขอให้เลื่อนงานแต่งออกไปก่อนแบบไม่มีกำหนด และให้ผมไปอธิบายกับทางพ่อแม่ของเธอว่าทำไมถึงต้องเลื่อน
เดือนนี้เราเลยคุยกันน้อยลง เพราะทุกครั้งที่คุยกันจะหนักไปทางทะเลาะกันซะมากกว่า ไม่ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร งานผมบ้าง line มาทำไมไม่ตอบ chat มาทำไมไม่ตอบทั้ง ๆ ที่เธอเห็นผม online เธอชอบแชทมาว่า 'มีอะไรก็บอกกันตรง ๆ ก็ได้นะ' ผมไม่รู้จะคุยอะไรกับเธอ เพราะพักหลัง แม้แต่เสียงใน line หรือเสียงทางโทรศัพท์เบาหรือมีเสียงแทรกมันก็กลายเป็นประเด็นไปหมด ผมเหนื่อย ผมอ่อนใจหรือผมหมดรักเธอแล้ว
ผมอยากมีครอบครัว ผมอยากมีลูก แต่ผมไม่อยากปวดหัว ผมคิดว่าผมไม่ใช่ผู้ชายที่ดี บางครั้งบางทีผมก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมผมถึงต้องปวดหัวและคิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วย ทั้ง ๆ ที่ผมไม่ใช่ฝ่ายที่เสียหาย "ความจริงผู้ชายบางครั้งบางทีก็อยากให้ผู้หญิงเข้าใจกันบ้างนะ"