"""" นิทานก่อนนอน ...เรื่องกระปู๋สระอะ """"""

กระทู้สนทนา
เก็บมาให้อ่านเพื่อความเพลิดเพลินครับ .....

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว  มีคนหัวล้านแต่งกายด้วยผ้าสีเหลือง ผู้มีนามกรว่า กระปู๋สระอะ ....

....... กระปู๋สระอะ เป็นผู้ที่เคยมีเรื่องอื้อฉาวที่เกี่ยวกับสีกา ซึ่งคนกำแพงแสนรู้กันดี .... กระปู๋สระอะ มักจะหลอกกับลูกหลานเสมอว่า แม้จะต้องสละชีวิต กระปู๋สระอะก็ยอม เพื่อรักษาไว้ซึ่งวินัย  ... หลายครั้งที่กระปู๋สระอะได้เข้าไปเกี่ยวพันกับสีกา จนกลายเป็นเรื่องแดงเกิดขึ้นนั้น คณะผู้ปกครองในจังหวัดนครปฐม และชาวบ้านต่างรู้กันดี ซึ่งทุกครั้งจะมีผลกระทบกับตัวกระปู๋สระอะเสมอ แต่ก็ยังคงมั่นในการรักษาไว้ซึ่งความเลว ทำผิดวินัย โดยที่ไม่กังวลกับสิ่งที่จะตามมา กระปู๋สระอะมักจะบอกว่า เมื่อเราโกหกเก่ง และไม่เคยพูดความจริง ถ้ามันจะต้องตายก็ให้รู้ไป  แต่ขอทำเพื่อรักษาไว้ซึ่งการเอาตัวรอดเป็นปลอดภัยที่สุด

....... ส่วนที่เป็นประเด็นมากที่สุด เห็นจะเป็นการที่กระปู๋สระอะ สร้างพระแล้วเอาเลือดตัวเองมาทา ชาวประชาถึงกับงงในพฤติกรรมยิ่งนัก ....
แต่ที่บ้าหนัก ก็คือ ไอ้กระปู๋สระอะบอกเป็นห่วง "พวกสีกา" มาก เพราะปัจจุบัน "สีกา" สนใจเข้าวัดมีน้อยมาก สีกาส่วนใหญ่จะมุ่งไปวัดดังๆ มากกว่าที่จะมาวัดของตน

...... กระปู๋สระอะ ยังเล่าต่ออีกว่า ถึงแม้ฉันจะอายุยังน้อย แต่ผู้คนก็ยังเรียกฉันว่า "กระปู๋"
เรื่องนี้กระปู๋ฯ เคยโม้ให้บรรดาลูกศิษย์ฟังว่า บวชพรรษาแรกก็ตั้งใจจะไปหาอาจารย์เพื่อศึกษาหาความรู้ จึงธุดงค์ไปหา "หลวงปู่แหวน" เมื่อหลวงปู่แหวนเห็นกระปู๋  ก็รีบมารับกลด รับบาตร ปูอาสนะให้ กระปู๋สระอะ นั่ง จากนั้นยังได้แอบอ้างอีกว่า หลวงปู่แหวน ได้ก้มลงกราบและเรียกว่า "อาจารย์ปู่" บังเอิญมีนักเรียนแพทย์ติดตามไปด้วย ก็เลยเรียกตามๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน  นี่ก็โกหกทั้งเพ

มาถึงเรื่องสำคัญ ละครฉากใหญ่ ที่ กระปู๋สระอะ จอมลวงโลก ได้เขียนโกหกไว้ดังนี้

          ในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๓๕ มีพระเถระ ๕ องค์ คือ พระโสณะ, พระอุตตระ, พระฌานียะ, พระภูริยะ, พระมุนียะ ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาจากพม่าไปจรดเมืองญวน และจรดแหลมมาลายู โดยได้สร้างสถูปแห่งแรก บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่เรียกว่า "พระปฐมเจดีย์" ที่จังหวัดนครปฐม     พระอุตตรเถระ ท่านอยู่ต่อที่ประเทศไทย เพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้รอดปลอดภัย จนกว่าจะครบ ๕,๐๐๐ ปี ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๑๐ ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง และ ปฏิสัมภิทาญาณ   ท่านเคยมาจุติเป็นพระสังฆราช แห่งลังกา และพระบรมครู ในสมัยกรุงสุโขทัย ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ท่านจุติเป็น พระครูเทพโลกอุดร เกี่ยวข้องกับ สมเด็จฯ วังหน้า และได้มีการขุดพบกรุพระเครื่อง พระบูชาจำนวนมากที่บวรสถานสุทธาวาส กรุงเทพฯ พบพระบูชารูปเหมือนพระครูเทพโลกอุดร ขนาดหน้าตัก ๕.๕ นิ้ว และพระเครื่องสลักชื่อด้านหน้าขององค์พระ "พระครูเทพโลกอุดร"

          พระครูเทพโลกอุดร เป็นพระที่บำเพ็ญอิทธิบาท ๔ อย่างแรงกล้า จนสามารถมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยปี พระลูกวัดรูปหนึ่งกล่าวว่า ตอนที่พระครูเทพโลกอุดร จะมาเกิดใหม่มีร่างให้เลือกเพียง ๒ ร่างเท่านั้น คือ สุนัขและเด็กชายคนหนึ่ง ผู้ที่กำลังป่วยหนัก เป็นโรคโลหิตเป็นพิษ ในครอบครัวที่ยากจน ซึ่งถึงแก่อายุขัย   และในที่สุดพระครูเทพโลกอุดร จึงเลือกร่างของเด็กชายคนหนึ่ง ซึ่งก็คือ หลวงกระปู๋นั่นเอง

            กระปู๋สระอะ แต่งเรื่องโกหกไว้อีกว่า อยากจะบวชเป็นสามเณรแต่ก็ไม่มีเงิน จึงต้องทำงานจนมีเงินเก็บพอถึงได้บวชเป็นพระที่ วัดคลองเตยใน  พรรษาแรกแต่งเรื่องไว้ว่า ได้ออกธุดงค์ไปกับนักเรียนแพทย์ ๒-๓ คน ไปหาหลวงปู่แหวน เมื่อลาหลวงปู่แหวนแล้ว ก็ธุดงค์ลงใต้มาเรื่อยๆ ไปทางแม่น้ำสะแกกรัง พบวัดเปิดไฟสว่างไสว ก็เข้าไปนั่งที่โคนต้นไม้ ปรากฏว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ได้บอกญาติโยมไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า "พระองค์ที่ ๑๐" จะมา

         กระปู๋สระอะ ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร  จู่ๆก็พบว่ามีผู้คนมายืนมุงดูกันเต็มไปหมด ผู้คนต่างก็เข้ามากราบและสอบถามธรรมะกับกระปู๋ ซึ่งกระปู๋ก็ตอบปัญหาธรรมะไปเป็นเวลา ๑ วันกับอีก ๑ คืนเต็มๆ โดยไม่สามารถที่จะลุกไปเข้าห้องน้ำได้เลย (ถ้าเป็นเรื่องจริง กระเพราะเยี่ยวยิ้มคงพังแล้ว ) ได้รับบริจาคเงิน ทอง แก้ว แหวน เพชร พลอย เป็นจำนวนมาก   โดยกระปู๋สระอะ ได้ยกให้กับทางวัดท่าซุงไปจนหมด ( โม้ว่าเป็นคนดีจริงๆ )

          เวลาที่จะสรงน้ำในแม่น้ำสะแกกรัง ซึ่งเต็มไปด้วยผักตบชวา ก็ปรากฏว่ากระแสน้ำไหลอย่างไรไม่ทราบเปิดเป็นช่องว่างให้ท่านได้ลงไปสรงน้ำ จนเป็นที่น่าอัศจรรย์ของผู้คนที่เฝ้าดูอยู่   หลังจากที่กระปู๋สระอะ กลับมาที่วัดคลองเตยในแล้ว ไม่กี่วันต่อมาก็ได้ไปอยู่ป่าอีกหลายปี ธุดงค์ไปทิเบต ไปลาว และได้ไปพบถ้ำพระโพธิสัตว์ที่เทือกเขาภูพาน มีสมบัติและมีหุ่นพยนต์รักษาสมบัติ ท่านอยู่ที่นั้นเป็นระยะเวลาหนึ่ง ได้บัญญัติท่าสมาธิพระโพธิสัตว์ ๘๔ ท่า ซึ่งมีทั้งท่ายืน เดิน นั่ง นอน ต่อมาไปพบ "อาวาสสัปปายะ" ที่ถ้ำไก่หล่น ใกล้ป่าละอู อำเภอหัวหิน ก็อยู่ที่นั่นหลายปี จนคุณยายทองห่อ ได้บริจาคที่ดินน้ำท่วม ๑๐ ไร่ ที่นครปฐม ให้กับกระปู๋สร้างวัด

         พระที่นั่นซึ่งแต่เดิมอยู่กับท่าน ๖๐ กว่ารูป ก็ค่อยๆ หายไปเหลือแค่พระ ๒ รูป  หลวงตาสนิท และพระหนุ่มอีกรูปหนึ่ง กับสามเณรอีก ๓ รูป หลังจากที่ได้จัดการเรื่องน้ำท่วมแล้ว กระปู๋สระอะ ก็ขุดหลุมใหญ่ขนาด ๓ คนเข้าไปนั่งได้ แล้วเอาตุ่มราชบุรีวางไว้ที่ก้นหลุม จากนั้นก็บรรจุในตุ่มด้วยพระเครื่องเก่าๆ ที่กระปู๋ แอบอ้างว่าได้สร้างไว้เมื่อสมัยยังอยู่ในร่างพระครูเทพโลกอุดร แล้วปิดด้วยผ้าสีแดง เขียนด้วยยันต์สวัสดิกะ (เครื่องหมายแทนพระพุทธเจ้า) ปูด้วยผ้าขาวทับและนำอัฐิหลวงปู่ทวดมาไว้บนผ้าขาว

        กระปู๋สระอะเล่าว่าครั้งหนึ่งตนอยากจะได้ต้นศรีมหาโพธิ์ ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรามาปลูกวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏว่ามีนกตัวใหญ่รูปร่างแปลก คาบอะไรมาด้วยพอเห็นกระปู๋สระอะ ก็ทิ้งของที่คาบมา ปรากฏว่าเป็นต้นโพธิ์เล็กๆ ๓ ต้น กระปู๋สระอะ จึงปลูกต้นโพธิ์ไว้บนอัฐิของหลวงปู่ทวด ต่อมาต้นโพธิ์ได้แตกหน่ออีก ๒ หน่อ เป็น ๕ ต้น (พระศรีอริยเมตตรัย เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ของภัทรกัปนี้) ต่อมาจึงได้สร้างเจดีย์ล้อมรอบต้นพระศรีมหาโพธิ์ เป็น "พระโพธิ์เจดีย์" และปั้นรูปเหมือนหลวงปู่ทวดไว้ที่หน้าเจดีย์

        กระปู๋สระอะ ให้ข้อคิดกับศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า "การแต่งประวัติตัวตนไว้เยี่ยงนี้ มันเป็นกิจเบื้องต้นของศาสนานี้ การหลอกตนและคนอื่นนั้น เป็นกิจเบื้องปลายของศาสนธรรมนี้" และ "การที่กระปู๋สระอะ พยายาม เรียนรู้พระธรรม ก็เพื่อต้องการไว้หลอกคนรวยหน้าโง่ทั้งหลาย ที่ชอบพระแนวนี้ ไอ้พวกคนรวยนี้ ต้องควบคุมมันให้อยู่ ต้องเรียนรู้จริตความชอบของพวกมัน ต้องใช้พระธรรมเป็นแนวทาง ให้มันหลงกระปู๋สระอะ อย่างเต็มเปี่ยม ....

...................................................

ราตรีสวัสดิ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่