คือ พึ่งได้ไปดูมาเมื่อวานครับ ดูเสร็จก็เลยมาอ่าน Wikipedia ของหนังเรื่องนี้ ซึ่งทราบมาว่า หนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นอีกทีนึง
เรื่องสั้นเนื้อเรื่องคล้ายๆกับในหนังตอนแรกๆเลยครับ คือ Walter จะฝันกลางวันว่าตัวเองเป็นฮีโร่ในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งๆที่ชีวิตจริงไม่ได้ทำอะไร
เพียงช่วงหลังของหนังที่พระเอกได้ออกไปผจญภัยจริงๆเสียที
คราวนี้ผมก็เลยมีทฤษฏีอยู่ว่า...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จริงๆแล้วหนังก็อาจจะทำตามพล๊อตนิยายเดิมนั่นแหละ ซึ่งก็คือเป็นไปได้ไหมว่าพระเอกฝันกลางวันตลอดทั้งเรื่องเลยรึเปล่า (เหมือนหนัง inception น่ะ) หมายความว่า การตามหาฟิล์มรูปที่ 25 ไม่ได้เกิดขึ้นจริงครับ
ซึ่งทั้งเรื่องก็มี clue ตกอยู่หลายอย่างที่ทำให้สรุปอย่างนั้นได้ครับ
1.ฉากแรกเลย (น่าจะเป็น clue สำคัญด้วย) ก็คือพระเอกกำลังนั่งทำบัญชีอยู่ในห้องครับ ตอนนั้นถ้าฟังจะมีเสียงนาฬิกาเดินเป็นจังหวะตลอด
ซึ่งมาจบตอนฉากสุดท้าย ก่อนขึ้นเครดิต จะได้ยินเสียงนาฬิกาเดินอยู่เช่นกัน เป็นเสียงนาฬิกาที่ต่อเนื่องกับตอนต้นเรื่องรึเปล่า?
2.โทรศัพท์จากพนักงานบริษัท E-Harmony
ซึ่งสามารถโทรเข้ามาได้ทุกที่ทุกเวลา แม้จะอยู่บนเทือกเขาหิมาลัย ผ่านการตกทะเลมาแล้ว ฯลฯ แต่ละที่ก็ดูไม่น่าจะมีสัญญาณโทรศัพท์เลยแถวนั้น ฮ่าๆๆ
3.ความสามารถของ Walter
เช่นการเล่นสเก็ตบอร์ดซึ่งดูจะเก่งเกินไปสำหรับคนที่ไม่ได้ฝึกมาเป็นระยะเวลานานแล้วครับ
4. ความบังเอิญ
หลายๆเหตุการณ์ในเรื่อง ดูเป็นความบังเอิญมาก เช่น หนีภูเขาไฟระเบิดมาได้แล้วก็เจอร้าน Papa John ซึ่งเป็นร้านที่พระเอกเคยทำงานอยู่ และระลึกถึงพ่อของเขาด้วย
หรือการพบที่มาของรูปภาพได้อย่างเหมาะเจาะพอดี ไม่ว่าจะเป็น ภาพนิ้วโป้ง ภาพเปียโน หรือจริงๆแค่อาจจะเป็นความจงใจของเนื้อเรื่องก็ได้ครับ อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน
และการสู้กับฉลาม แล้วรอดมาได้ด้วย ฮ่าๆ
5. ความเป็นวีรบุรุษของ Walter
เช่น ที่สุดท้าย Walter ได้ขึ้นเป็นหน้าปกนิตยสาร อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของฝันกลางวันของเขาที่อยากจะมีคนมายกย่องหรือเปล่า
ซึ่งอันนี้ก็จะตรงกับคอนเซปต์ของเวอร์ชั่นเรื่องสั้นครับ
ไม่รู้มีคนคิดเหมือนผมรึเปล่านะครับ แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ครับผม
แต่โดยรวมแล้วชอบครับ เพราะ ฉากสวยดีครับ และผูกเนื้อเรื่องให้ปะติดปะต่อกันได้ดีทีเดียว อย่างเช่นตอนแรก ผมงงมากว่าฌอน โอคอร์เนลล์ ไปหาเค้กแบบที่พระเอกชอบให้กับลูกเรือได้ยังไง ซึ่งสุดท้ายมาเฉลยทีหลังว่าฌอน แอบมาหาที่บ้าน Walter ก่อน จากนั้นแม่ก็บอกว่า ฌอน มาถามตารางงานของ Walter ซึ่งไปเฉลยว่า เพราะต้องการแอบไปถ่ายภาพพระเอกนั่นเอง พอเห็นความปะติดปะต่อของเรื่องราวแล้วประทับใจเลยครับ
นอกจากนี้รู้สึกว่า หนังยังตีความได้อีกลึกมากๆเลยครับ เช่น การที่หนังเลือกให้ setting อยู่ที่นิตยสาร LIFE คำว่า LIFE จะเปรียบอุปมากับชีวิตได้หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว นิตยสารฉบับสุดท้าย หมายถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เราจึงต้องหา Quintessential ให้กับมัน ฯลฯ ถ้าดูอีกรอบคงวิจารณ์ได้อีกเป็นวันเลยครับ (ฮา)
สุดท้าย ชอบ quote นี้จัง
To see the world, things dangerous to come to, to see behind walls, to draw closer, to find each other and to feel. That is the purpose of life.
ใครดูเรื่อง The Secret Life of Walter Mitty แล้ว มาคุยกันครับ (มีสปอยล์)
เรื่องสั้นเนื้อเรื่องคล้ายๆกับในหนังตอนแรกๆเลยครับ คือ Walter จะฝันกลางวันว่าตัวเองเป็นฮีโร่ในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งๆที่ชีวิตจริงไม่ได้ทำอะไร
เพียงช่วงหลังของหนังที่พระเอกได้ออกไปผจญภัยจริงๆเสียที
คราวนี้ผมก็เลยมีทฤษฏีอยู่ว่า...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่รู้มีคนคิดเหมือนผมรึเปล่านะครับ แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ครับผม
แต่โดยรวมแล้วชอบครับ เพราะ ฉากสวยดีครับ และผูกเนื้อเรื่องให้ปะติดปะต่อกันได้ดีทีเดียว อย่างเช่นตอนแรก ผมงงมากว่าฌอน โอคอร์เนลล์ ไปหาเค้กแบบที่พระเอกชอบให้กับลูกเรือได้ยังไง ซึ่งสุดท้ายมาเฉลยทีหลังว่าฌอน แอบมาหาที่บ้าน Walter ก่อน จากนั้นแม่ก็บอกว่า ฌอน มาถามตารางงานของ Walter ซึ่งไปเฉลยว่า เพราะต้องการแอบไปถ่ายภาพพระเอกนั่นเอง พอเห็นความปะติดปะต่อของเรื่องราวแล้วประทับใจเลยครับ
นอกจากนี้รู้สึกว่า หนังยังตีความได้อีกลึกมากๆเลยครับ เช่น การที่หนังเลือกให้ setting อยู่ที่นิตยสาร LIFE คำว่า LIFE จะเปรียบอุปมากับชีวิตได้หรือเปล่า ถ้าเช่นนั้นแล้ว นิตยสารฉบับสุดท้าย หมายถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เราจึงต้องหา Quintessential ให้กับมัน ฯลฯ ถ้าดูอีกรอบคงวิจารณ์ได้อีกเป็นวันเลยครับ (ฮา)
สุดท้าย ชอบ quote นี้จัง
To see the world, things dangerous to come to, to see behind walls, to draw closer, to find each other and to feel. That is the purpose of life.