คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
ขออนุญาตแจกแจง แยกคำให้ชัดๆ ตามที่เข้าใจนะครับ
ฟรุกโตส หรือน้ำตาลผลไม้ เป็นรูปแบบน้ำตาลพื้นฐาน ให้ความหวานสูง
กลูโคส เป็นน้ำตาลพื้นฐานอีกชนิดหนึ่ง ให้ความหวานน้อยกว่าในปริมาณที่เท่ากัน
ฟรุกโตสไซรัป คือผลิตภัณฑ์ให้ความหวาน ทำจากข้าวโพด
น้ำตาล คือผลิตภัณฑ์ให้ความหวาน ที่ทำจากอ้อยหรือบีทรู้ท ซึ่งจะเรียกว่า น้ำตาลซูโครส
กลูโคสไซรัป คือผลิตภัณฑ์ให้ความหวานอีกชนิด ทำจากพืชประเภทแป้ง
ฟรุกโตสไซรัป กับ น้ำตาล(ซูโครส) มีส่วนประกอบของทั้ง ฟรุกโตสและกลูโคสทั้งคู่ ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน (ประมาณ 50/50) ประโยชน์และโทษแทบไม่ต่าง (แต่ฝรั่งบางคนเชื่อว่า น้ำตาลที่ทำจากอ้อย ปลอดภัยกว่า)
ฟรุกโตส ไม่สามารถถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานให้สมองหรือกล้ามเนื้อได้ทันทีเหมือนกลูโคส ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีที่ตับ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างไขมันในร่างกายด้วย
ในชีวิตประจำวัน ความหวานที่ได้ ได้จากไม่ฟรุคโตสไซรัป ก็ น้ำตาล(ทราย) อยู่แล้วครับ พวกกลูโคสได้จากอาหารพวกแป้งมากกว่า แทบไม่เจอของหวานที่ใส่แต่กลูโคสหรอกครับ (ถ้าเอาจริงและจะให้หวานเท่านี่ต้องใส่เยอะมาก เปลือง)
โดยสรุป
ฟรุกโตส และกลูโคส ในลักษณะน้ำตาลพื้นฐาน ร่างกายไม่ต้องการฟรุกโตสโดยตรง ไม่กินเลยก็ได้ กินบ้างก็ไม่เป็นไร แต่กินเยอะเป็น ส่วนกลูโคส ร่างกายได้จากแป้งอยู่แล้ว
อธิบายเพิ่มอีกนิด ร่างกายมนุษย์ยังวิวัฒนาการตามไม่ทันในการกำจัดฟรุกโตสจำนวนมาก ซึ่งเพิ่งเคยเจออย่างมากก็ 100 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านั้นเจอแค่ในผลไม้ ซึ่งไม่ได้กินบ่อยและไม่ได้หวานเท่าด้วย
ส่วนฟรุกโตสไซรัป และ น้ำตาล แทบจะไม่ต่างกัน ความหวานของสิ่งต่างๆก็มาจาก 2 อย่างนี้เกือบทั้งนั้น พูดง่ายๆเลยคือจะลดความเสี่ยงก็ลดความหวานลง
หลักๆผมว่า คำมันปนๆกัน ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนมากกว่า
ฟรุกโตส หรือน้ำตาลผลไม้ เป็นรูปแบบน้ำตาลพื้นฐาน ให้ความหวานสูง
กลูโคส เป็นน้ำตาลพื้นฐานอีกชนิดหนึ่ง ให้ความหวานน้อยกว่าในปริมาณที่เท่ากัน
ฟรุกโตสไซรัป คือผลิตภัณฑ์ให้ความหวาน ทำจากข้าวโพด
น้ำตาล คือผลิตภัณฑ์ให้ความหวาน ที่ทำจากอ้อยหรือบีทรู้ท ซึ่งจะเรียกว่า น้ำตาลซูโครส
กลูโคสไซรัป คือผลิตภัณฑ์ให้ความหวานอีกชนิด ทำจากพืชประเภทแป้ง
ฟรุกโตสไซรัป กับ น้ำตาล(ซูโครส) มีส่วนประกอบของทั้ง ฟรุกโตสและกลูโคสทั้งคู่ ในอัตราส่วนใกล้เคียงกัน (ประมาณ 50/50) ประโยชน์และโทษแทบไม่ต่าง (แต่ฝรั่งบางคนเชื่อว่า น้ำตาลที่ทำจากอ้อย ปลอดภัยกว่า)
ฟรุกโตส ไม่สามารถถูกใช้เป็นแหล่งพลังงานให้สมองหรือกล้ามเนื้อได้ทันทีเหมือนกลูโคส ต้องผ่านกระบวนการทางเคมีที่ตับ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสร้างไขมันในร่างกายด้วย
ในชีวิตประจำวัน ความหวานที่ได้ ได้จากไม่ฟรุคโตสไซรัป ก็ น้ำตาล(ทราย) อยู่แล้วครับ พวกกลูโคสได้จากอาหารพวกแป้งมากกว่า แทบไม่เจอของหวานที่ใส่แต่กลูโคสหรอกครับ (ถ้าเอาจริงและจะให้หวานเท่านี่ต้องใส่เยอะมาก เปลือง)
โดยสรุป
ฟรุกโตส และกลูโคส ในลักษณะน้ำตาลพื้นฐาน ร่างกายไม่ต้องการฟรุกโตสโดยตรง ไม่กินเลยก็ได้ กินบ้างก็ไม่เป็นไร แต่กินเยอะเป็น ส่วนกลูโคส ร่างกายได้จากแป้งอยู่แล้ว
อธิบายเพิ่มอีกนิด ร่างกายมนุษย์ยังวิวัฒนาการตามไม่ทันในการกำจัดฟรุกโตสจำนวนมาก ซึ่งเพิ่งเคยเจออย่างมากก็ 100 ปีเท่านั้น ก่อนหน้านั้นเจอแค่ในผลไม้ ซึ่งไม่ได้กินบ่อยและไม่ได้หวานเท่าด้วย
ส่วนฟรุกโตสไซรัป และ น้ำตาล แทบจะไม่ต่างกัน ความหวานของสิ่งต่างๆก็มาจาก 2 อย่างนี้เกือบทั้งนั้น พูดง่ายๆเลยคือจะลดความเสี่ยงก็ลดความหวานลง
หลักๆผมว่า คำมันปนๆกัน ทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนมากกว่า
แสดงความคิดเห็น
ตกลงน้ำตาลฟรุกโตส อันตรายกว่ากลูโคสเหรอครับ (เห็นว่าทำให้เป็นโรคตับโรคหัวใจเลยเหรอ)
อาจจะอันตรายกว่ากลูโคสเสียอีก
โดยเฉพาะไซรัปข้าวโพด ที่ผสมในน้ำอัดลมต่างๆ เบเกอรี่
ปกติ ฟรุกโตส มันเป็นน้ำตาลผลไม้ ที่มีความหวานมากกว่ากลูโคส
ทานในปริมาณน้อยกว่าอยู่แล้ว
แต่ในบทความ เหมือนบอกว่า ไม่ควรแตะต้องแม้แต่น้อย
และพยายามหาข้อมูลจาก google ตอนนี้กระแสเหมือนไปทางไม่ดีเสียมากกว่า
(หรือเป็นเรื่องการตลาดของบริษัทน้ำตาล มาโจมตีเหรอ)
แต่สวนตัวผม ผมว่าน่าจะปลอดภัยกว่ากลูโคสนะ (คิดว่า)
ถ้าทานในปริมาณพอเหมาะ (ถึงไม่พอเหมาะ ก็ยังน่าจะปลอดภัยกว่ากลูโคสอยู่ดี)
หรือว่าปัจจุบันวิทยาการมันก้าวหน้าอย่างไรไปแล้ว ความรู้เลยเปลี่ยนไป
รบกวนขอความรู้หน่อยครับ
http://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080108072744AAwBZbc
คัดลอกมาบางส่วนครับ "แต่ต่อมาเมื่อติดตามผลด้านอื่น ๆ นักวิจัยก็พบว่าน้ำตาลฟรุกโตสอาจมีผลเสียในการเพิ่มระดับไขมันในเลือดได้1 เช่นอาจทำให้ระดับของไขมันตัวร้ายที่ชื่อว่า แอลดีแอลคอเลสเตอรอล(LDL), ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ และระดับคอเรสโตรอลรวมในเลือดสูงขึ้น ซึ่งนับว่าเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอุดตันหลอดเลือดได้ นอกจากนี้จากการที่น้ำตาลฟรุกโตสที่ต้องผ่านเข้าตับก่อนเข้าสู่กระแสเลือดนั้น ถ้าเราบริโภคน้ำตาลฟรุกโตสเข้าไปมาก ๆ ตับก็จะเปลี่ยนน้ำตาลฟรุกโตสที่มีปริมาณมาก ๆนี้ ไปเป็นกรดไขมันอิสระจำนวนมาก2 ซึ่งอาจทำให้ไขมันเกาะตับได้ โดยเราไม่รู้ตัว (ไขมันเกาะตับ ภาษาแพทย์เรียกว่า Fatty liver)"