พอดีเพิ่งได้อ่านกระทู้นี้ค่ะ
http://pantip.com/topic/31456380
เลยอยากแชร์ประสบการณ์โดยตรงของตนเองค่ะ
---------------------------------------
เมื่อปีที่แล้วนี้เอง ตอนที่เราอยู่หอพักเก่า (หมายถึงยังไม่ย้ายค่ะ) แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เราได้รู้จักกับครอบครัวหนึ่ง
ขอบรรยายสภาพครอบครัวก่อนนะคะ จะได้อินไปด้วยกัน
ห้องพักเราอยู้ชั้นสามค่ะ ทุกวันเวลาเรากลับจากเรียนหรือไปข้างนอกแล้วเดินขึ้นบันได จะเห็นเด็กน้อยมานั่งทำการบ้านที่พื้นหน้าห้องชั้นสองห้องหนึ่ง บ้างก็เอาของเล่นมานั่งเล่นหน้าห้อง
หลายวันเข้าเราก็ทนไม่ไหวค่ะ เลยไปชะโงกหน้าถาม ตอนแรกเด็กๆก็กลัว รีบหลบเข้าห้อง เราเลยบอกว่าคุยหน้าห้องก็ได้ // มองเข้าไปเห็นห้องรกรุงรังมากค่ะ แอร์เปิดแต่ไม่มีความเย็น ประตูกระจกตรงระเบียงปิดสนิท ในห้องแทบไม่มีอากาศ บนพื้นห้องเต็มไปด้วยเสื้อผ้าทั้งใส่แล้วและยังไม่ใส่วางจนไม่มีที่เดิน และข้าวของเครื่องใช้อีกเป็นร้อยๆชิ้น เพราะเด็กอยู่กันทั้งหมด 4 คนค่ะ
เด็กสี่คนในห้องพักแบบสตูดิโอห้องเดียว ลองคิดสภาพนะคะ.... (มาทราบภายหลังว่าจะไม่เปิดประตูระเบียงเพราะฝุ่นเยอะ เลยปิดหมด แล้วให้ลูกเปิดแอร์เอา ซึ่งแอร์มันก็สู้ไม่ไหวเลยพังค่ะ) ที่ระเบียงก็มีของสุมเป็นภูเขา ทั้งจานชาม เสื้อผ้า ของใช้
เลยถามว่าแม่ไปไหน เด็กบอกว่าแม่ไปทำงานยังไม่กลับค่ะ กลับดึกๆสี่ห้าทุ่ม เราก็สงสาร นับแต่วันนั้นมาเลยซื้อขนมไปฝากบ่อยๆ (ไม่ได้ชมตัวเองนะคะ แต่ตอนนั้นลงทุนมาก แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ตัวเองจะแทบไม่มีข้าวกินก็ยังต้องแบ่งเงินซื้อขนมให้เด็กสี่คนนี้ เพราะคิดว่าว่า เราหิว เขาหิวกว่า)
เวลาแบบนั้นก็ดำเนินต่อมาเป็นเดือนค่ะ จึงมีโอกาสได้พบแม่เด็กตอนเย็น ที่เขากำลังจะออกไปทำงาน เป็นหญิงอ้วนคุยเก่ง ก็คุยกันไปอย่างเพลินเลย เขาก็ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกเขาเวลาเขาไม่อยู่ นับแต่วันนั้นมาก็ไปนั่งคุยกับเขาบ้างเป็นครั้งคราว
หอที่เราอยู่ตอนนั้นราคาไม่ถูกนะคะ แต่อยู่เพราะว่าตอนแรกหาหอไม่ได้ เด็กป.ตรีเพิ่งเข้ามา เรามาช้าหอเลยเต็มหมด ห้องที่อยู่ตอนนั้น 3800 แต่ค่าน้ำค่าไฟแพงมาก (สุดท้ายย้ายออกเพราะเจ้าของหอไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ซะทีนี่ล่ะค่ะ เดือนที่แทบไม่ได้เปิดแอร์ ตู้เย็นไม่มี ค่าไฟพันเจ็ด...) แต่พี่เขาก็บอกว่า สามีเขาเช่าไว้ให้ ว่าให้อยู่ตรงนี้
เขาเล่า (น้ำตาคลอ) ว่าพี่เป็นน้อยเขา พี่ก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้แต่ตอนนั้นพี่ไม่รู้ ลูกสามคนโตนี่ติดมากับสามีเก่า (แฝดหญิงสอง ลูกชายอีกหนึ่ง) ส่วนลูกสาวคนเล็กเกิดกับสามีใหม่ แต่พอได้สักพักเขาก็ทิ้งพี่ไป เหลือแต่ส่งเงินให้เดือนละนิดละหน่อย พี่ก็ไม่พอกินเลยต้องออกไปทำงานทั้งกลางวันกลางคืน เหนื่อยมาก.... เหนื่อยจริงๆ
ลูกนี่ก็กำลังกินเยอะ แต่พี่ซื้อของกินให้มากไม่ไหว เวลาเห็นลูกหิวพี่อยากจะร้องไห้... แต่รายจ่ายก็เยอะนะ อย่างผ้านี่พี่ไม่มีเวลาซักเองเลยเพราะทำงานถึงดึก เลยต้องส่งซัก ค่าซักก็แพงมากๆ (350 บาท 70 ชิ้นทำนองนี้ค่ะ) แถมลูกสี่คนพี่อีกคน เสื้อผ้าเลยกองสุมเน่าแบบนี้
พี่กลับมานะบางทีพี่ก็หงุดหงิดที่ห้องรก พี่ก็ด่าลูก ตีลูก ทั้งที่รู้ว่าเด็กมันไม่รู้อะไรหรอก (แกน้ำตาไหล)
เราก็ปรึกษากับแม่ค่ะ แม่เราเพิ่งเออร์ลี่รีไทร์ด เหลือเงินบำนาญเดือนละไม่กี่บาท แต่แม่ก็ตัดสินใจโอนให้เขาเดือนละ 1500 ค่ะ แม่บอกว่าช่วยได้น้อย แต่ก็คงพอช่วยได้บ้าง เขาก็ขอบคุณ เพราะเงินเดือนตัวเองแค่ 8900 ได้เงินป้ามาอีกมันช่วยได้มาก
ทางเราเองก็กระหน่ำซื้อของกินให้ตลอด พอว่างก็ไปนั่งคุยกับพี่เขา บางทีพี่เขาก็เล่าว่าคนที่ทำงานให้ขนมดีๆมา ดีใจมาก (มีกล่องคุ้กกี้ S&P วางอยู่) เพราะแกส่วนใหญ่ซื้อให้ลูกกินได้แค่ไก่ทอดสามสี่ชิ้น ปลาทูบ้าง แล้วก็ข้าวเหนียว
แม่เรากับเราก็คุยกับพี่เขานะคะ ว่าทำไมเขาไม่ย้ายที่อยู่ บ้านพักแบบเจ็ดแปดร้อยก็มี ทั้งกว้างทั้งถูก เงินที่เหลือคงช่วยแกได้อีกเยอะ แกก็บอกว่าอยู่หอเนี่ยมันปลอดภัยนะ มียาม แกก็ฝากยามคอยดูลูกแกได้ เราก็ เออ...แกคิดถึงลูกแกเลยยอมลำบาก
ตอนนั้นเรากำลังจะย้ายหอแล้วค่ะ ไปดูอีกที่ไว้ ราคาสูงกว่านิดหน่อยแต่ค่าน้ำค่าไฟคิดตามจริง (ถัวเฉลี่ยแล้วถูกกว่าที่เดิม) และห้องกว้างกว่าสองเท่าเพราะเป็นคอนโด มียามพร้อม ก็มาชวนแกไปอยู่ด้วยกัน แกก็บอกว่าพิจารณาแล้วไม่เอาดีกว่า มันมีลิฟท์ แกกลัวลูกแกไปเล่นลิฟท์ อันตราย... แถมทางเข้าออกมันเปลี่ยวกว่า ร้านข้าวก็ไม่มี (หอเก่าใกล้ๆมีเพิงค่ะ แกจะฝากเงินยามไปซื้อพวกไก่ย่างมาให้ลูกแกตอนเย็น) เราก็... เออ แคร์ลูกมากนะพี่คนนี้ แต่ยังไงพี่เก็บไปพิจรารณาละกัน อยู่โน่นเราก็ช่วยดูแลให้ได้ ข้าวของก็ดีกว่า
(มีครั้งนึงไปเยี่ยม เจอเด็กๆร้องไห้กระจองอแง นั่งในห้องน้ำออกมาไม่ได้ ห้องมืดมิด คือสายฉีดน้ำของส้วมมันเสียจนน้ำพุ่งไม่หยุด เด็กไม่รู้จะทำไงเลยต้องนั่งเอามันฉีดลงส้วมไปเรื่อยๆแล้วร้องไห้ ไฟเพดานก็เสียไม่ซ่อมซะทีเลยต้องอยู่มืดๆ เราเลยจัดการปิดก๊อก พร้อมเอาโคมไฟตั้งโต๊ะอย่างดีที่เพิ่งถอยมาไว้เขียนหนังสือไปให้ยืม โหย เห็นหน้าเด็กๆตอนดีใจแล้วน้ำตาจะไหลค่ะ)
สรุปคือทั้งเราทั้งแม่เป็นห่วงแกมากกกกกกกกกกกกกค่ะ พี่แกชอบโทรไปหาแม่เรา บอกว่าคุยกะป้าแล้วสบายใจ แกก็จะเล่าๆๆๆๆเรื่องครอบครัวแก แสนรันทดค่ะ พอแม่มาเยี่ยมเราที่เชียงใหม่ก็พาไปเจอ เด็กๆนี่วิ่งมากอด แม่เราก็ยังโอนเงินให้ทุกเดือน แต่บางทีพี่แกก็มายืมเงินเราบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ค่ะ เพราะเราเองก็แทบไม่มีกินจนสิ้นเดือน)
อยู่มาวันนึง ก่อนจะย้ายหอไม่นาน เราไปหาพี่แก
ปรากฏว่าแกไม่อยู่ค่ะ ไปบิ๊กซี แต่มีญาติแกอีกคนมาเยี่ยมพร้อมลูกชาย อายุสักม.ต้น วันนั้นเราหิ้วพิซซ่าไปด้วยเพราะซื้อ 1 แถม 1 เลยแม่บุญทุ่ม ซื้อฝากเด็กๆ
เด็กๆก็ เย้ พิซซ่า พิซซ่า เย้ววววววววว ส่วนญาติๆทำหน้าแหยๆ เราเลยงงว่าทำไม... แต่ก็ไม่ได้ถามทันทีนะคะ นั่งคุยไปเรื่อยๆ
จนเราบอกว่าหอนี้แพงเนอะ พี่แกน่าจะย้ายหอ ญาติก็บอกว่าชวนไปอยู่ต่างอำเภอด้วยหลายหนแล้วแกไม่ไป ทำยังไงก็ไม่ไป เลยต้องมาเยี่ยมที่นี่แทน
เราก็ยิ่งงงสิคะ เออทำไมเนี่ย บ้านก็ไม่ต้องเช่า แต่กลับเลือกอยู่แบบนี้
คุยไปคุยมา เราก็เล่าว่า ไม่รู้พี่แกอยู่ได้ยังไง เงินเดือนแค่ 8900 เจอค่าหอก็หมดแล้ว (3800ค่าหอ + 300ค่าส่วนกลาง (ไม่ใช่คอนโดเจือกเก็บส่วนกลาง) + 700upค่าน้ำ + 1700upค่าไฟ +700ค่าซักผ้า) ยังมีค่ากินอยู่ ค่ารถแดงของแกและของลูกวันละหลายสิบ แกทำได้ไง
หลานชายแกเลยทำหน้างงสุดขีด แล้วบอกว่า "น้า น. แกเงินเดือนตั้งหลายหมื่น ทำงานอยู่โรงแรม"
เท่านั้นแหละ เราตาสว่างเลย...........................
คือรวย เงินเยอะ แต่เอาลูกมาหมักหมมไว้ในห้องเน่าๆเพื่อใช้ลูกเรียกความสงสาร พอมีคนสงสารก็รีดไถเอาๆแบบไม่เกรงใจ ใช้เราเป็นคนตามเรื่องเวลาไฟเสียงี้ พวกของบริจาคได้เท่าไรเอาหมด ขนม ของขวัญ ของใช้ที่บริจาคให้ เงิน ขี้เกียจซื้ออะไรบางทีก็ทำหน้าเศร้าๆมาขอ
ถ้านับทั้งหมดแล้วมันเป็นเงินเยอะมาก และเราก็ลำบากพอควรตอนพยายามดูแลเด็กๆ แต่ก็อดทนเพราะคิดว่าอยากช่วย
ทั้งเราและแม่เสียความรู้สึกพอกัน เคราะห์ดีที่ย้ายหอหนีแกมา เลยไม่รับโทรศัพท์แกอีกเลย (แกโทรหาทั้งเราและแม่อยู่นานมาก แถมแอดเฟซบุ๊คแม่เราอีก ไม่รู้ไปเอาชื่อมาจากไหน น่ากลัวมากๆ) เรื่องเลยจบแค่นี้แต่ก็ทำให้เราได้รู้จักคนอีกประเภท
----------------------------------------
ที่เล่านี้ไม่ใช่อะไร... แค่เพื่อจะบอกว่าคนแบบนี้มีจริงๆค่ะ เอาลูกมาเป็นเครื่องมือรีดไถคนอื่น
สงสารเด็กมั้ย...สงสาร แต่สงสารตัวเองด้วยดีกว่า จริงๆเงินเยอะกว่าเราอีก น้ำตาจิไหล
เด็กใน #147 กระทู้ต้นทางก็อ้วนท้วนซะ นี่หรือไม่มีอะไรกิน อ้วนกว่าเราสามเท่า
ไม่อยากให้คิดว่า "หลอกแล้วจะทำไม ถือซะว่าช่วยเด็ก" นะคะ... เพราะมันไม่ต่างอะไรจากคนที่เอาเด็กมาขอทาน
เป็นเครื่องมือที่จะถูกใช้ไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังใช้งานได้ เท่านั้นเองน่ะค่ะ
ป.ล. ขอแท็กตามกระทู้ต้นทางนะคะ
จากกระทู้ - เรื่องราวของคุณแม่ที่น่าสงสารคนหนึ่งที่เข้ามารับบริจาคนมผงให้ลูก
เลยอยากแชร์ประสบการณ์โดยตรงของตนเองค่ะ
---------------------------------------
เมื่อปีที่แล้วนี้เอง ตอนที่เราอยู่หอพักเก่า (หมายถึงยังไม่ย้ายค่ะ) แห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เราได้รู้จักกับครอบครัวหนึ่ง
ขอบรรยายสภาพครอบครัวก่อนนะคะ จะได้อินไปด้วยกัน
ห้องพักเราอยู้ชั้นสามค่ะ ทุกวันเวลาเรากลับจากเรียนหรือไปข้างนอกแล้วเดินขึ้นบันได จะเห็นเด็กน้อยมานั่งทำการบ้านที่พื้นหน้าห้องชั้นสองห้องหนึ่ง บ้างก็เอาของเล่นมานั่งเล่นหน้าห้อง
หลายวันเข้าเราก็ทนไม่ไหวค่ะ เลยไปชะโงกหน้าถาม ตอนแรกเด็กๆก็กลัว รีบหลบเข้าห้อง เราเลยบอกว่าคุยหน้าห้องก็ได้ // มองเข้าไปเห็นห้องรกรุงรังมากค่ะ แอร์เปิดแต่ไม่มีความเย็น ประตูกระจกตรงระเบียงปิดสนิท ในห้องแทบไม่มีอากาศ บนพื้นห้องเต็มไปด้วยเสื้อผ้าทั้งใส่แล้วและยังไม่ใส่วางจนไม่มีที่เดิน และข้าวของเครื่องใช้อีกเป็นร้อยๆชิ้น เพราะเด็กอยู่กันทั้งหมด 4 คนค่ะ
เด็กสี่คนในห้องพักแบบสตูดิโอห้องเดียว ลองคิดสภาพนะคะ.... (มาทราบภายหลังว่าจะไม่เปิดประตูระเบียงเพราะฝุ่นเยอะ เลยปิดหมด แล้วให้ลูกเปิดแอร์เอา ซึ่งแอร์มันก็สู้ไม่ไหวเลยพังค่ะ) ที่ระเบียงก็มีของสุมเป็นภูเขา ทั้งจานชาม เสื้อผ้า ของใช้
เลยถามว่าแม่ไปไหน เด็กบอกว่าแม่ไปทำงานยังไม่กลับค่ะ กลับดึกๆสี่ห้าทุ่ม เราก็สงสาร นับแต่วันนั้นมาเลยซื้อขนมไปฝากบ่อยๆ (ไม่ได้ชมตัวเองนะคะ แต่ตอนนั้นลงทุนมาก แม้ว่าจะเป็นช่วงที่ตัวเองจะแทบไม่มีข้าวกินก็ยังต้องแบ่งเงินซื้อขนมให้เด็กสี่คนนี้ เพราะคิดว่าว่า เราหิว เขาหิวกว่า)
เวลาแบบนั้นก็ดำเนินต่อมาเป็นเดือนค่ะ จึงมีโอกาสได้พบแม่เด็กตอนเย็น ที่เขากำลังจะออกไปทำงาน เป็นหญิงอ้วนคุยเก่ง ก็คุยกันไปอย่างเพลินเลย เขาก็ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกเขาเวลาเขาไม่อยู่ นับแต่วันนั้นมาก็ไปนั่งคุยกับเขาบ้างเป็นครั้งคราว
หอที่เราอยู่ตอนนั้นราคาไม่ถูกนะคะ แต่อยู่เพราะว่าตอนแรกหาหอไม่ได้ เด็กป.ตรีเพิ่งเข้ามา เรามาช้าหอเลยเต็มหมด ห้องที่อยู่ตอนนั้น 3800 แต่ค่าน้ำค่าไฟแพงมาก (สุดท้ายย้ายออกเพราะเจ้าของหอไม่ทำอะไรกับเรื่องนี้ซะทีนี่ล่ะค่ะ เดือนที่แทบไม่ได้เปิดแอร์ ตู้เย็นไม่มี ค่าไฟพันเจ็ด...) แต่พี่เขาก็บอกว่า สามีเขาเช่าไว้ให้ ว่าให้อยู่ตรงนี้
เขาเล่า (น้ำตาคลอ) ว่าพี่เป็นน้อยเขา พี่ก็ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้แต่ตอนนั้นพี่ไม่รู้ ลูกสามคนโตนี่ติดมากับสามีเก่า (แฝดหญิงสอง ลูกชายอีกหนึ่ง) ส่วนลูกสาวคนเล็กเกิดกับสามีใหม่ แต่พอได้สักพักเขาก็ทิ้งพี่ไป เหลือแต่ส่งเงินให้เดือนละนิดละหน่อย พี่ก็ไม่พอกินเลยต้องออกไปทำงานทั้งกลางวันกลางคืน เหนื่อยมาก.... เหนื่อยจริงๆ
ลูกนี่ก็กำลังกินเยอะ แต่พี่ซื้อของกินให้มากไม่ไหว เวลาเห็นลูกหิวพี่อยากจะร้องไห้... แต่รายจ่ายก็เยอะนะ อย่างผ้านี่พี่ไม่มีเวลาซักเองเลยเพราะทำงานถึงดึก เลยต้องส่งซัก ค่าซักก็แพงมากๆ (350 บาท 70 ชิ้นทำนองนี้ค่ะ) แถมลูกสี่คนพี่อีกคน เสื้อผ้าเลยกองสุมเน่าแบบนี้
พี่กลับมานะบางทีพี่ก็หงุดหงิดที่ห้องรก พี่ก็ด่าลูก ตีลูก ทั้งที่รู้ว่าเด็กมันไม่รู้อะไรหรอก (แกน้ำตาไหล)
เราก็ปรึกษากับแม่ค่ะ แม่เราเพิ่งเออร์ลี่รีไทร์ด เหลือเงินบำนาญเดือนละไม่กี่บาท แต่แม่ก็ตัดสินใจโอนให้เขาเดือนละ 1500 ค่ะ แม่บอกว่าช่วยได้น้อย แต่ก็คงพอช่วยได้บ้าง เขาก็ขอบคุณ เพราะเงินเดือนตัวเองแค่ 8900 ได้เงินป้ามาอีกมันช่วยได้มาก
ทางเราเองก็กระหน่ำซื้อของกินให้ตลอด พอว่างก็ไปนั่งคุยกับพี่เขา บางทีพี่เขาก็เล่าว่าคนที่ทำงานให้ขนมดีๆมา ดีใจมาก (มีกล่องคุ้กกี้ S&P วางอยู่) เพราะแกส่วนใหญ่ซื้อให้ลูกกินได้แค่ไก่ทอดสามสี่ชิ้น ปลาทูบ้าง แล้วก็ข้าวเหนียว
แม่เรากับเราก็คุยกับพี่เขานะคะ ว่าทำไมเขาไม่ย้ายที่อยู่ บ้านพักแบบเจ็ดแปดร้อยก็มี ทั้งกว้างทั้งถูก เงินที่เหลือคงช่วยแกได้อีกเยอะ แกก็บอกว่าอยู่หอเนี่ยมันปลอดภัยนะ มียาม แกก็ฝากยามคอยดูลูกแกได้ เราก็ เออ...แกคิดถึงลูกแกเลยยอมลำบาก
ตอนนั้นเรากำลังจะย้ายหอแล้วค่ะ ไปดูอีกที่ไว้ ราคาสูงกว่านิดหน่อยแต่ค่าน้ำค่าไฟคิดตามจริง (ถัวเฉลี่ยแล้วถูกกว่าที่เดิม) และห้องกว้างกว่าสองเท่าเพราะเป็นคอนโด มียามพร้อม ก็มาชวนแกไปอยู่ด้วยกัน แกก็บอกว่าพิจารณาแล้วไม่เอาดีกว่า มันมีลิฟท์ แกกลัวลูกแกไปเล่นลิฟท์ อันตราย... แถมทางเข้าออกมันเปลี่ยวกว่า ร้านข้าวก็ไม่มี (หอเก่าใกล้ๆมีเพิงค่ะ แกจะฝากเงินยามไปซื้อพวกไก่ย่างมาให้ลูกแกตอนเย็น) เราก็... เออ แคร์ลูกมากนะพี่คนนี้ แต่ยังไงพี่เก็บไปพิจรารณาละกัน อยู่โน่นเราก็ช่วยดูแลให้ได้ ข้าวของก็ดีกว่า
(มีครั้งนึงไปเยี่ยม เจอเด็กๆร้องไห้กระจองอแง นั่งในห้องน้ำออกมาไม่ได้ ห้องมืดมิด คือสายฉีดน้ำของส้วมมันเสียจนน้ำพุ่งไม่หยุด เด็กไม่รู้จะทำไงเลยต้องนั่งเอามันฉีดลงส้วมไปเรื่อยๆแล้วร้องไห้ ไฟเพดานก็เสียไม่ซ่อมซะทีเลยต้องอยู่มืดๆ เราเลยจัดการปิดก๊อก พร้อมเอาโคมไฟตั้งโต๊ะอย่างดีที่เพิ่งถอยมาไว้เขียนหนังสือไปให้ยืม โหย เห็นหน้าเด็กๆตอนดีใจแล้วน้ำตาจะไหลค่ะ)
สรุปคือทั้งเราทั้งแม่เป็นห่วงแกมากกกกกกกกกกกกกค่ะ พี่แกชอบโทรไปหาแม่เรา บอกว่าคุยกะป้าแล้วสบายใจ แกก็จะเล่าๆๆๆๆเรื่องครอบครัวแก แสนรันทดค่ะ พอแม่มาเยี่ยมเราที่เชียงใหม่ก็พาไปเจอ เด็กๆนี่วิ่งมากอด แม่เราก็ยังโอนเงินให้ทุกเดือน แต่บางทีพี่แกก็มายืมเงินเราบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ค่ะ เพราะเราเองก็แทบไม่มีกินจนสิ้นเดือน)
อยู่มาวันนึง ก่อนจะย้ายหอไม่นาน เราไปหาพี่แก
ปรากฏว่าแกไม่อยู่ค่ะ ไปบิ๊กซี แต่มีญาติแกอีกคนมาเยี่ยมพร้อมลูกชาย อายุสักม.ต้น วันนั้นเราหิ้วพิซซ่าไปด้วยเพราะซื้อ 1 แถม 1 เลยแม่บุญทุ่ม ซื้อฝากเด็กๆ
เด็กๆก็ เย้ พิซซ่า พิซซ่า เย้ววววววววว ส่วนญาติๆทำหน้าแหยๆ เราเลยงงว่าทำไม... แต่ก็ไม่ได้ถามทันทีนะคะ นั่งคุยไปเรื่อยๆ
จนเราบอกว่าหอนี้แพงเนอะ พี่แกน่าจะย้ายหอ ญาติก็บอกว่าชวนไปอยู่ต่างอำเภอด้วยหลายหนแล้วแกไม่ไป ทำยังไงก็ไม่ไป เลยต้องมาเยี่ยมที่นี่แทน
เราก็ยิ่งงงสิคะ เออทำไมเนี่ย บ้านก็ไม่ต้องเช่า แต่กลับเลือกอยู่แบบนี้
คุยไปคุยมา เราก็เล่าว่า ไม่รู้พี่แกอยู่ได้ยังไง เงินเดือนแค่ 8900 เจอค่าหอก็หมดแล้ว (3800ค่าหอ + 300ค่าส่วนกลาง (ไม่ใช่คอนโดเจือกเก็บส่วนกลาง) + 700upค่าน้ำ + 1700upค่าไฟ +700ค่าซักผ้า) ยังมีค่ากินอยู่ ค่ารถแดงของแกและของลูกวันละหลายสิบ แกทำได้ไง
หลานชายแกเลยทำหน้างงสุดขีด แล้วบอกว่า "น้า น. แกเงินเดือนตั้งหลายหมื่น ทำงานอยู่โรงแรม"
เท่านั้นแหละ เราตาสว่างเลย...........................
คือรวย เงินเยอะ แต่เอาลูกมาหมักหมมไว้ในห้องเน่าๆเพื่อใช้ลูกเรียกความสงสาร พอมีคนสงสารก็รีดไถเอาๆแบบไม่เกรงใจ ใช้เราเป็นคนตามเรื่องเวลาไฟเสียงี้ พวกของบริจาคได้เท่าไรเอาหมด ขนม ของขวัญ ของใช้ที่บริจาคให้ เงิน ขี้เกียจซื้ออะไรบางทีก็ทำหน้าเศร้าๆมาขอ
ถ้านับทั้งหมดแล้วมันเป็นเงินเยอะมาก และเราก็ลำบากพอควรตอนพยายามดูแลเด็กๆ แต่ก็อดทนเพราะคิดว่าอยากช่วย
ทั้งเราและแม่เสียความรู้สึกพอกัน เคราะห์ดีที่ย้ายหอหนีแกมา เลยไม่รับโทรศัพท์แกอีกเลย (แกโทรหาทั้งเราและแม่อยู่นานมาก แถมแอดเฟซบุ๊คแม่เราอีก ไม่รู้ไปเอาชื่อมาจากไหน น่ากลัวมากๆ) เรื่องเลยจบแค่นี้แต่ก็ทำให้เราได้รู้จักคนอีกประเภท
----------------------------------------
ที่เล่านี้ไม่ใช่อะไร... แค่เพื่อจะบอกว่าคนแบบนี้มีจริงๆค่ะ เอาลูกมาเป็นเครื่องมือรีดไถคนอื่น
สงสารเด็กมั้ย...สงสาร แต่สงสารตัวเองด้วยดีกว่า จริงๆเงินเยอะกว่าเราอีก น้ำตาจิไหล
เด็กใน #147 กระทู้ต้นทางก็อ้วนท้วนซะ นี่หรือไม่มีอะไรกิน อ้วนกว่าเราสามเท่า
ไม่อยากให้คิดว่า "หลอกแล้วจะทำไม ถือซะว่าช่วยเด็ก" นะคะ... เพราะมันไม่ต่างอะไรจากคนที่เอาเด็กมาขอทาน
เป็นเครื่องมือที่จะถูกใช้ไปเรื่อยๆตราบใดที่ยังใช้งานได้ เท่านั้นเองน่ะค่ะ
ป.ล. ขอแท็กตามกระทู้ต้นทางนะคะ