สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านวันแรกนะครับ แนะนำให้อ่านวันแรกก่อนจะได้ไม่ งง นะครับ
http://pantip.com/topic/31462939 (Backpack ลาว 3 วัน 2 คืน วันแรก)
การเดินทางวันที่ 2
ในเช้าวันที่ 2 ผมตื่นนอนประมาน 06.00 น. อากาศเช้าวันนั้นหนาวมาก ผมทำใจอยู่นานกว่าจะดึงตัวออกจากผ้าห่มได้ และก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าแปรฟัน ดีนะที่ห้องพักมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่งั้นคงหนาวแย่เลย เช้าวันนั้นเป็นวันที่สดใสมาก อากาศหนาวๆมีหมอกคลุมในตอนเช้า ผมออกไปหาร้านกาแฟกินแถวๆนั้น แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบกินกาแฟ ผมเลยสั่งโอวันตินร้อนมากกิน ราคาจอกละ 8,000 กีบ (24 บาท ผมเรียกเป็นจอกเพราะว่า ที่ลาวจอกหมายถึงแก้ว และแก้วจะหมายถึงขวด เช่น ถ้าเราสั่งเบียร์มากินแล้วเราจะขอแก้วเพิ่ม เราต้องบอกเค้าว่า ขอจอกเพิ่ม 1 จอก หากเราบอกเค้าว่าขอแก้วเพิ่มหนึ่งแก้ว เราก็จะได้เบียร์มา 1 ขวด 555 ประมานนี้ครับ ) เมื่อเราดื่มอะไรร้อนๆเข้าไปร่างกายเราจะรู้สึกอบอุ่น ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นแบบนั้น หลังจากนั้นผมก็เดินกลับมายังที่พัก เพื่อมาสอบถามสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องไม่พลาดที่จะไปเที่ยวกัน ในวังเวียงนี้และผมก็ได้รับคำแนะนำที่ท่องเที่ยวจากพี่คนไทยที่เจอกันในรถมาบ้างแล้ว ทั้งพี่คนไทยและเจ้าของห้องพักก็บอกผมว่า ต้องไปที่ "ถ่ำภูคำ" ระยะทางจากที่พักไปยังถ่ำก็ประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในวังเวียงมีอยู่มากมาย ถ้ำต่างๆอีกหลายถ้ำ น้ำตก เป็นต้น เราสามารถ เดิน เช่าจักรยาน มอร์เตอร์ไซด์ ไปเองโดยเค้าจะมีแผนที่ให้เรา หรือ ซื้อเหมาเป็นทริป จากโรงแรม ที่พัก หรือบริษัทนำเที่ยวแถวนั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่า ราคาซื้อเหมาทริปราคาเท่าไหร่ แต่ที่ผมอ่านดูในเว็บไซต์ ราคาก็ไม่กี่ร้อยบาท ไม่น่าเกิน 500 แต่ผมตั้งใจจะไปเองอยู่แล้วเพราะผมอยากไปถ่ายรูปตามใจผม เห็นอะไรน่าสนใจก็จะได้หยุดถ่ายได้
ผมจึงไปถามร้านเช่ารถ สอบถามราคาดูก็รู้ว่า ถ้าเป็นรถจักรยานแบบรถผู้หญิงไม่มีเกียร์ ราคา 20,000 กีบ/วัน (80 บาท/วัน) ถ้าเป็นจักรยานเสือภูเขา ราคา 30,000 กีบ/วัน (120 บาท/วัน) มอเตอร์ไซด์ ถ้าเป็นแบบมีเกียร์ปกติ เราคาเท่ารถจักรยานเสือภูเขา 30,000 กีบ/วัน แต่ถ้าเป็นออโตเมติก 60,000 กีบ/วัน (240 บาท/วัน) แต่ถ้าเป็นมอร์เตอร์ไซด์เราต้องเอาไปเติมน้ำมันเอง รถทั้งหมดที่ผมบอกมาเวลาคืนรถเท่ากัน คือก่อน 19.00 น. ของวันนั้น แต่ผมคิดว่าปั่นจักรยานคงจะได้บรรยากาศที่ดีกว่า ได้อารมณ์ความรู้สึกที่ดีกว่า ค่อยๆปั่นไป มองไปตามบ้านเรือนผู้คน ดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ว่าเค้าดำรงชีวิตกันอย่างไร อีกอย่างกับระยะทางแค่นี้ 7 กิโลเมตรเองหรอ ฮึฮึ ผมหัวเราะในใจแล้วบอกกับตัวเองว่า สมัยเรียนตอนปี 1 ผมต้องตื่นตี 5 มาวิ่งรอบสนามฟุตบอล เกือบ 20 รอบ และตอนเย็นอีกเกือบ 20 รอบ ทำแบบนี้ทุกวัน 1 เดือนเต็ม อีกทั้ง ต้องวิ่งขึ้นดอยอีกด้วยระยะทาง 12 กิโลเมตร ในการรับน้องก็ทำมาแล้ว จะกลัวอะไรกับระยะทางแค่นี้แถมยังมีจักรยานเป็นตัวช่วยอีก ฮึฮึ สบาย นึกแล้วผมก็ตัดสินใจเลือกเช่าจักรยานเสือภูเขา แล้วการเช่ารถไม่จำเป็นต้องวางเงินประกัน แค่เขียนชื่อ เหมือนลงทะเบียนเข้างานอะไรซักอย่างและเอาพาสสปอตวางไว้ แต่ผมไม่มีเค้าก็บอกเอาบัตรประชาชนของเราก็ได้ มันง่ายมากๆไม่ยุ้งยากเลย หลังจากนั้นผมก็ไปเลือกรถ ดูขนาดรถที่เหมาะสมกับตัวผม ตรวจดูสภาพรถว่าอุปกรณ์ต่างๆใช้งานได้ หลังจากนั้นก็เตรียมกายเตรียมใจ "Let's go ไปลุยกันเถอะ"
ผมก็ปั่นจักรยานออกมา แวะหาร้านข้าวกินต้อนนั้นเวลาประมาณ 09.30 น. ผมก็สั่งข้าวผัดหมูมากิน ราคาจานละ 20,000 กีบ (80 บาท แพงน่าดู) และก็ซื้อน้ำติดตัวไปกินระหว่างทางอีก 8,000 กีบ (24 บาท) ระหว่างนั้นผมก็นั่งเอาแผนที่ขึ้นมาดู มันไม่ได้เป็นแผนที่มาตฐาน หรือที่มี scal แน่นอนอะไร มันเป็นแค่แผนที่วาดมือแล้วนำไปถ่ายเอกสารเอามาแจกให้นักท่องเที่ยวแค่นั้นแหละ ก็ตามสไตล์คนที่นี้แหละครับ เป็นคนง่ายๆสบายๆ ผมก็นั่งงงกับแผนที่ซักพักหนึง กว่าจะดูออกประกอบกับถามกับทางเจ้าของร้านข้าวด้วยถึงจะรู้ว่าไปทางไหน(ต้องใช้ทักษะในการดูแผนที่พอสมควร) แต่พอเราดูออกแล้ว เส้นทางมันไม่ได้ยากเลย พอรู้เส้นทางแล้วผมก็ควบจักรยานปั่นไปตามเส้นทาง พอไปถึงเชิงสะพานจะข้ามแม่น้ำซองก็จะมีคนเก็บค่าผ่านทาง ประมาณ 3,000 กีบ (12 บาท) เมื่อข้ามสะพานไปแล้วเราก็จะผ่านหมู่บ้านของคนแถวนั้น มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายๆกับบ้านเราในสมัยก่อน รั้วบ้านเป็นไม้ไผ่ตีเป็นริ้วระแนงเป็นแนวไป ถนนเป็นถนนลูกรัง แต่ขนาดของหินบนถนนทำเอาผมปั่นจักรยานลำบากมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงวัว ทำนาข้าว เหมือนเกษตรกรรมในบ้านเราเลย เด็กๆนักเรียนตัวเล็กๆก็พากันปั่นจักรยานบ้าง เดินบ้างไปกันเป็นกลุ่มๆ ผมก็นึกสงสัย เวลาก็สายป่านนี้แล้วทำไมยังเห็นเด็กๆมาเดินตามถนนกลับบ้านกันแบบนี้ แทนที่จะอยู่ในโรงเรียนแล้วสิ แต่ผมก็พอเดาเอาว่า โรงเรียนคงจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเด็กๆเหล่านี้ พอใกล้เวลาพัก พวกเด็กนักเรียนคงกลับมาทานข้าวที่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนู้นนี้บ้าง คงจะเป็นแบบนี้ละมั่ง
พอผมปั่นจักรยานไปซักพักหนึงผมก็ต้องหยุดจอดรถไว้ตรงนั้นและรีบคว้าเอาขาตั้งกล้องที่สะพายมาข้างหลังมาตั้งกล้องถ่ายภาพ เพราะตรงนี้ Location นี้มันสวยงามมาก มันเป็นวิวของเทือกเขาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์พร้อมกับทุ่งนาและถนนทอดยาวจากตรงหน้าผมไปจนถึงเชิงเขา มันทำให้ผมนึกถึง ภาพวาดสุดคลาสสิคตอนเด็กๆที่ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยวาดกันและผมก็เคยวาดตอนประมาณชั้นป.1 ป.2 เป็นภาพวาดที่มีภูเขาและทุ่งนาตรงหน้า มีดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างกลางภูเขาที่กำลังจะลับไป มีนกบินอยู่บนท้องฟ้า นึกละก็อดยิ้มไม่ได้ ผมยกให้มันเป็นภาพวาดในตำนาน และมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ก็เลยได้ภาพนี้ออกมา
ผมเสียเวลาถ่ายรูปอยู่ตรงนี้นานพอสมควรเพราะผมอยากได้รูปคู่กับสถานที่แห่งนี้ ผมจึงต้องตั้งกล้องตั้งเวลาไว้ และรีบปั่นจักรยานออกไปเข้าเฟรมภาพ กว่าจะได้ภาพออกมากดไปหลายชัดเตอร์อยู่เหมือนกัน และอยู่ๆก็มีคำพูดคำหนึงแวปเข้ามาในหัว เป็นคำพูดจากหนังสือเล่มหนึงที่ผมเคยอ่าน แต่ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตของคนเราอะไรประมานนี้แหละครับ ต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยที่ผมจำไม่ได้ ในหนังสือเค้าบอกว่า " เป้าหมายให้สลักไว้บนหินผา ส่วนวิธีการที่จะได้มาให้สลักไว้บนผืนทราย " มันเป็นคำพูดสั้นๆที่มีความหมายลึกซึ้งและเป็นคติให้กับผมเป็นอย่างดี คือคนเราถ้าอยากจะประสบผลสำเร็จในชีวิต เราต้องมีเป้าหมายที่แน่นอน ชัดเจน และยืนหยัดในเป้าหมายนั้น อย่าโลเลเปลี่ยนแปลง เหมือนดั่งหินผา ส่วนวิธีการ เส้นทางที่จะได้มาซึ่งเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้น สามารถยืดหยุ่น แปรเปลี่ยนไปได้ตามสถานะการณ์ เหตุและผล เหมือนดั่งผืนทราย ผมก็เลยได้รูปนี้ออกมา
หลังจากเก็บภาพตรงนี้เสร็จผมก็ปั่นจักรยานไปต่อ แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึก ปวดขาและเมื่อยมาก เพราะทางนั้นเป็นทางลูกรังมีแต่หินก้อนโตๆเต็มไปหมด ประกอบกับทางที่เป็นเนินเขาในบางช่วงมันทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยมาก และตอนนี้ตูดผมคงระบมไปหมด คือหนทางมันลำบากนะสำหรับจักรยาน มันคงจะดีกว่าถ้าเป็นการเดินหรือนำมอเตอร์ไซด์มา ประมาณว่าถ้าเอาขนมโคอาล่ามาชมาด้วย ป่านนี้คงเป็นก้อนกลมยิ่งกว่าลูกสนุ๊กเกอร์ซะอีก ผมเริ่มจะคิดได้รู้งี้เช่ามอเตอร์ไซด์มาดีกว่าราคาก็เท่ากัน แค่เสียตังค์เติมน้ำมันนิดหน่อย อีกอย่างการที่ผมวิ่งทุกเช้าเย็น ครั้งละเกือบ 20 รอบสนามและการวิ่งขึ้นดอยตอนรับน้องปี 1 มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือผมลืมนึกไปว่ามันผ่านมาหลายปีแล้ว 555 เอาหน่ามาถึงนี้แล้วยังไงก้ต้องไปให้ถึง ต้องยืนหยัดในเป้าหมาย ส่วนวิธีการไปให้ถึงค่อยปรับเปลี่ยนไปละกัน ก็มีลงเดินจูงจักรยานขึ้นเนินบ้างบางช่วง ตามคติที่ผมบอกนั่นแหละ "เป้าหมายให้สลักไว้บนหินผา ส่วนวิธีการที่จะได้มาให้สลักไว้บนผืนทราย" ถึงตอนนี้มันได้ใช้แล้วจริงๆ 555 ตามทางที่เราปั่นจักรยานไปก็จะมีป้ายบอกทางไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ระหว่างผมหยุดรถอ่านป่าย ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นฝรั่งผู้หญิง ปั่นจักรยานมาอ่านป้ายเหมือนกัน คงจะมาเที่ยวคนเดียวเหมือนผม และถามผมว่า "ถ้ำภูคำไปทางไหน" (เป็นภาษาอังกฤษนะ)ผมก็บอกเค้าไปว่า ผมงงอยู่เหมือนกัน เพราะชื่อถ้ำที่นี้มันคล้ายๆกัน ถ้าอ่านไม่ดีเราก็อาจแยกไปผิดทาง ยิ่งเป็นภาษาอังกฤษ สะกดคล้ายๆกันอีก พอเราเข้าใจเส้นทางแล้วก็ปั่นจักรยานไปต่อ ซักพัก ฝรั่งผู้หญิง ก็ปั่นทิ้งห่างผมออกไปเรื่อยๆ นี้ผมสังเกตดูรถเค้า นี้มันเป็นจักรยานผู้หญิงแบบไม่มีเกียร์นะเนี้ยะ ปั่นมาได้ไง เอาแรงมาจากไหนกัน ซักพักเธอก็หายไป ผมก็ปั่นไปเรื่อยๆ ตามทางก็จะมีวัวเป็นฝูงที่ชาวบ้านเลี้ยงก็เดินออกมาตามถนน ขวางถนนบ้าง ข้ามถนนบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นวัวแดง ไม่เหมือนบ้านเราที่จะเป็นวัวตัวขาวๆ ตามทางเด็กๆแถวนั้นก็จะโบกมีทักทายเราพร้อมกับพูดว่า "สะบายดี" มันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของที่นี้เลยก็ว่าได้ ที่เวลาไปไหนซื้อของอะไรคนที่นี้เค้าก็จะทักเราว่า "สะบายดี" มันเป็นจุดขายอย่างหนึงของประเทศลาว เหมือนบ้านเราที่มีการไหว้ รอยยิ้ม และการกล่าวสวัสดี เป็นจุดขายที่น่าประทับใจ
Backpack ลาว 3 วัน 2 คืน (วันที่ 2 และ 3)
http://pantip.com/topic/31462939 (Backpack ลาว 3 วัน 2 คืน วันแรก)
การเดินทางวันที่ 2
ในเช้าวันที่ 2 ผมตื่นนอนประมาน 06.00 น. อากาศเช้าวันนั้นหนาวมาก ผมทำใจอยู่นานกว่าจะดึงตัวออกจากผ้าห่มได้ และก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าแปรฟัน ดีนะที่ห้องพักมีเครื่องทำน้ำอุ่น ไม่งั้นคงหนาวแย่เลย เช้าวันนั้นเป็นวันที่สดใสมาก อากาศหนาวๆมีหมอกคลุมในตอนเช้า ผมออกไปหาร้านกาแฟกินแถวๆนั้น แต่ผมเป็นคนไม่ค่อยชอบกินกาแฟ ผมเลยสั่งโอวันตินร้อนมากกิน ราคาจอกละ 8,000 กีบ (24 บาท ผมเรียกเป็นจอกเพราะว่า ที่ลาวจอกหมายถึงแก้ว และแก้วจะหมายถึงขวด เช่น ถ้าเราสั่งเบียร์มากินแล้วเราจะขอแก้วเพิ่ม เราต้องบอกเค้าว่า ขอจอกเพิ่ม 1 จอก หากเราบอกเค้าว่าขอแก้วเพิ่มหนึ่งแก้ว เราก็จะได้เบียร์มา 1 ขวด 555 ประมานนี้ครับ ) เมื่อเราดื่มอะไรร้อนๆเข้าไปร่างกายเราจะรู้สึกอบอุ่น ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นแบบนั้น หลังจากนั้นผมก็เดินกลับมายังที่พัก เพื่อมาสอบถามสถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะต้องไม่พลาดที่จะไปเที่ยวกัน ในวังเวียงนี้และผมก็ได้รับคำแนะนำที่ท่องเที่ยวจากพี่คนไทยที่เจอกันในรถมาบ้างแล้ว ทั้งพี่คนไทยและเจ้าของห้องพักก็บอกผมว่า ต้องไปที่ "ถ่ำภูคำ" ระยะทางจากที่พักไปยังถ่ำก็ประมาณ 7 กิโลเมตร ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวในวังเวียงมีอยู่มากมาย ถ้ำต่างๆอีกหลายถ้ำ น้ำตก เป็นต้น เราสามารถ เดิน เช่าจักรยาน มอร์เตอร์ไซด์ ไปเองโดยเค้าจะมีแผนที่ให้เรา หรือ ซื้อเหมาเป็นทริป จากโรงแรม ที่พัก หรือบริษัทนำเที่ยวแถวนั้น แต่ผมไม่แน่ใจว่า ราคาซื้อเหมาทริปราคาเท่าไหร่ แต่ที่ผมอ่านดูในเว็บไซต์ ราคาก็ไม่กี่ร้อยบาท ไม่น่าเกิน 500 แต่ผมตั้งใจจะไปเองอยู่แล้วเพราะผมอยากไปถ่ายรูปตามใจผม เห็นอะไรน่าสนใจก็จะได้หยุดถ่ายได้
ผมจึงไปถามร้านเช่ารถ สอบถามราคาดูก็รู้ว่า ถ้าเป็นรถจักรยานแบบรถผู้หญิงไม่มีเกียร์ ราคา 20,000 กีบ/วัน (80 บาท/วัน) ถ้าเป็นจักรยานเสือภูเขา ราคา 30,000 กีบ/วัน (120 บาท/วัน) มอเตอร์ไซด์ ถ้าเป็นแบบมีเกียร์ปกติ เราคาเท่ารถจักรยานเสือภูเขา 30,000 กีบ/วัน แต่ถ้าเป็นออโตเมติก 60,000 กีบ/วัน (240 บาท/วัน) แต่ถ้าเป็นมอร์เตอร์ไซด์เราต้องเอาไปเติมน้ำมันเอง รถทั้งหมดที่ผมบอกมาเวลาคืนรถเท่ากัน คือก่อน 19.00 น. ของวันนั้น แต่ผมคิดว่าปั่นจักรยานคงจะได้บรรยากาศที่ดีกว่า ได้อารมณ์ความรู้สึกที่ดีกว่า ค่อยๆปั่นไป มองไปตามบ้านเรือนผู้คน ดูวิถีชีวิตความเป็นอยู่ว่าเค้าดำรงชีวิตกันอย่างไร อีกอย่างกับระยะทางแค่นี้ 7 กิโลเมตรเองหรอ ฮึฮึ ผมหัวเราะในใจแล้วบอกกับตัวเองว่า สมัยเรียนตอนปี 1 ผมต้องตื่นตี 5 มาวิ่งรอบสนามฟุตบอล เกือบ 20 รอบ และตอนเย็นอีกเกือบ 20 รอบ ทำแบบนี้ทุกวัน 1 เดือนเต็ม อีกทั้ง ต้องวิ่งขึ้นดอยอีกด้วยระยะทาง 12 กิโลเมตร ในการรับน้องก็ทำมาแล้ว จะกลัวอะไรกับระยะทางแค่นี้แถมยังมีจักรยานเป็นตัวช่วยอีก ฮึฮึ สบาย นึกแล้วผมก็ตัดสินใจเลือกเช่าจักรยานเสือภูเขา แล้วการเช่ารถไม่จำเป็นต้องวางเงินประกัน แค่เขียนชื่อ เหมือนลงทะเบียนเข้างานอะไรซักอย่างและเอาพาสสปอตวางไว้ แต่ผมไม่มีเค้าก็บอกเอาบัตรประชาชนของเราก็ได้ มันง่ายมากๆไม่ยุ้งยากเลย หลังจากนั้นผมก็ไปเลือกรถ ดูขนาดรถที่เหมาะสมกับตัวผม ตรวจดูสภาพรถว่าอุปกรณ์ต่างๆใช้งานได้ หลังจากนั้นก็เตรียมกายเตรียมใจ "Let's go ไปลุยกันเถอะ"
ผมก็ปั่นจักรยานออกมา แวะหาร้านข้าวกินต้อนนั้นเวลาประมาณ 09.30 น. ผมก็สั่งข้าวผัดหมูมากิน ราคาจานละ 20,000 กีบ (80 บาท แพงน่าดู) และก็ซื้อน้ำติดตัวไปกินระหว่างทางอีก 8,000 กีบ (24 บาท) ระหว่างนั้นผมก็นั่งเอาแผนที่ขึ้นมาดู มันไม่ได้เป็นแผนที่มาตฐาน หรือที่มี scal แน่นอนอะไร มันเป็นแค่แผนที่วาดมือแล้วนำไปถ่ายเอกสารเอามาแจกให้นักท่องเที่ยวแค่นั้นแหละ ก็ตามสไตล์คนที่นี้แหละครับ เป็นคนง่ายๆสบายๆ ผมก็นั่งงงกับแผนที่ซักพักหนึง กว่าจะดูออกประกอบกับถามกับทางเจ้าของร้านข้าวด้วยถึงจะรู้ว่าไปทางไหน(ต้องใช้ทักษะในการดูแผนที่พอสมควร) แต่พอเราดูออกแล้ว เส้นทางมันไม่ได้ยากเลย พอรู้เส้นทางแล้วผมก็ควบจักรยานปั่นไปตามเส้นทาง พอไปถึงเชิงสะพานจะข้ามแม่น้ำซองก็จะมีคนเก็บค่าผ่านทาง ประมาณ 3,000 กีบ (12 บาท) เมื่อข้ามสะพานไปแล้วเราก็จะผ่านหมู่บ้านของคนแถวนั้น มีวิถีชีวิตความเป็นอยู่คล้ายๆกับบ้านเราในสมัยก่อน รั้วบ้านเป็นไม้ไผ่ตีเป็นริ้วระแนงเป็นแนวไป ถนนเป็นถนนลูกรัง แต่ขนาดของหินบนถนนทำเอาผมปั่นจักรยานลำบากมาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะเลี้ยงวัว ทำนาข้าว เหมือนเกษตรกรรมในบ้านเราเลย เด็กๆนักเรียนตัวเล็กๆก็พากันปั่นจักรยานบ้าง เดินบ้างไปกันเป็นกลุ่มๆ ผมก็นึกสงสัย เวลาก็สายป่านนี้แล้วทำไมยังเห็นเด็กๆมาเดินตามถนนกลับบ้านกันแบบนี้ แทนที่จะอยู่ในโรงเรียนแล้วสิ แต่ผมก็พอเดาเอาว่า โรงเรียนคงจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเด็กๆเหล่านี้ พอใกล้เวลาพัก พวกเด็กนักเรียนคงกลับมาทานข้าวที่บ้านช่วยพ่อแม่ทำนู้นนี้บ้าง คงจะเป็นแบบนี้ละมั่ง
พอผมปั่นจักรยานไปซักพักหนึงผมก็ต้องหยุดจอดรถไว้ตรงนั้นและรีบคว้าเอาขาตั้งกล้องที่สะพายมาข้างหลังมาตั้งกล้องถ่ายภาพ เพราะตรงนี้ Location นี้มันสวยงามมาก มันเป็นวิวของเทือกเขาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์พร้อมกับทุ่งนาและถนนทอดยาวจากตรงหน้าผมไปจนถึงเชิงเขา มันทำให้ผมนึกถึง ภาพวาดสุดคลาสสิคตอนเด็กๆที่ผมเชื่อว่าทุกคนจะต้องเคยวาดกันและผมก็เคยวาดตอนประมาณชั้นป.1 ป.2 เป็นภาพวาดที่มีภูเขาและทุ่งนาตรงหน้า มีดวงอาทิตย์อยู่ระหว่างกลางภูเขาที่กำลังจะลับไป มีนกบินอยู่บนท้องฟ้า นึกละก็อดยิ้มไม่ได้ ผมยกให้มันเป็นภาพวาดในตำนาน และมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น ก็เลยได้ภาพนี้ออกมา
ผมเสียเวลาถ่ายรูปอยู่ตรงนี้นานพอสมควรเพราะผมอยากได้รูปคู่กับสถานที่แห่งนี้ ผมจึงต้องตั้งกล้องตั้งเวลาไว้ และรีบปั่นจักรยานออกไปเข้าเฟรมภาพ กว่าจะได้ภาพออกมากดไปหลายชัดเตอร์อยู่เหมือนกัน และอยู่ๆก็มีคำพูดคำหนึงแวปเข้ามาในหัว เป็นคำพูดจากหนังสือเล่มหนึงที่ผมเคยอ่าน แต่ผมจำชื่อหนังสือไม่ได้ แต่เป็นหนังสือเกี่ยวกับความสำเร็จในชีวิตของคนเราอะไรประมานนี้แหละครับ ต้องขออภัยมานะที่นี้ด้วยที่ผมจำไม่ได้ ในหนังสือเค้าบอกว่า " เป้าหมายให้สลักไว้บนหินผา ส่วนวิธีการที่จะได้มาให้สลักไว้บนผืนทราย " มันเป็นคำพูดสั้นๆที่มีความหมายลึกซึ้งและเป็นคติให้กับผมเป็นอย่างดี คือคนเราถ้าอยากจะประสบผลสำเร็จในชีวิต เราต้องมีเป้าหมายที่แน่นอน ชัดเจน และยืนหยัดในเป้าหมายนั้น อย่าโลเลเปลี่ยนแปลง เหมือนดั่งหินผา ส่วนวิธีการ เส้นทางที่จะได้มาซึ่งเป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้น สามารถยืดหยุ่น แปรเปลี่ยนไปได้ตามสถานะการณ์ เหตุและผล เหมือนดั่งผืนทราย ผมก็เลยได้รูปนี้ออกมา
หลังจากเก็บภาพตรงนี้เสร็จผมก็ปั่นจักรยานไปต่อ แต่ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึก ปวดขาและเมื่อยมาก เพราะทางนั้นเป็นทางลูกรังมีแต่หินก้อนโตๆเต็มไปหมด ประกอบกับทางที่เป็นเนินเขาในบางช่วงมันทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยมาก และตอนนี้ตูดผมคงระบมไปหมด คือหนทางมันลำบากนะสำหรับจักรยาน มันคงจะดีกว่าถ้าเป็นการเดินหรือนำมอเตอร์ไซด์มา ประมาณว่าถ้าเอาขนมโคอาล่ามาชมาด้วย ป่านนี้คงเป็นก้อนกลมยิ่งกว่าลูกสนุ๊กเกอร์ซะอีก ผมเริ่มจะคิดได้รู้งี้เช่ามอเตอร์ไซด์มาดีกว่าราคาก็เท่ากัน แค่เสียตังค์เติมน้ำมันนิดหน่อย อีกอย่างการที่ผมวิ่งทุกเช้าเย็น ครั้งละเกือบ 20 รอบสนามและการวิ่งขึ้นดอยตอนรับน้องปี 1 มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย หรือผมลืมนึกไปว่ามันผ่านมาหลายปีแล้ว 555 เอาหน่ามาถึงนี้แล้วยังไงก้ต้องไปให้ถึง ต้องยืนหยัดในเป้าหมาย ส่วนวิธีการไปให้ถึงค่อยปรับเปลี่ยนไปละกัน ก็มีลงเดินจูงจักรยานขึ้นเนินบ้างบางช่วง ตามคติที่ผมบอกนั่นแหละ "เป้าหมายให้สลักไว้บนหินผา ส่วนวิธีการที่จะได้มาให้สลักไว้บนผืนทราย" ถึงตอนนี้มันได้ใช้แล้วจริงๆ 555 ตามทางที่เราปั่นจักรยานไปก็จะมีป้ายบอกทางไปสถานที่เที่ยวต่างๆ ระหว่างผมหยุดรถอ่านป่าย ก็มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นฝรั่งผู้หญิง ปั่นจักรยานมาอ่านป้ายเหมือนกัน คงจะมาเที่ยวคนเดียวเหมือนผม และถามผมว่า "ถ้ำภูคำไปทางไหน" (เป็นภาษาอังกฤษนะ)ผมก็บอกเค้าไปว่า ผมงงอยู่เหมือนกัน เพราะชื่อถ้ำที่นี้มันคล้ายๆกัน ถ้าอ่านไม่ดีเราก็อาจแยกไปผิดทาง ยิ่งเป็นภาษาอังกฤษ สะกดคล้ายๆกันอีก พอเราเข้าใจเส้นทางแล้วก็ปั่นจักรยานไปต่อ ซักพัก ฝรั่งผู้หญิง ก็ปั่นทิ้งห่างผมออกไปเรื่อยๆ นี้ผมสังเกตดูรถเค้า นี้มันเป็นจักรยานผู้หญิงแบบไม่มีเกียร์นะเนี้ยะ ปั่นมาได้ไง เอาแรงมาจากไหนกัน ซักพักเธอก็หายไป ผมก็ปั่นไปเรื่อยๆ ตามทางก็จะมีวัวเป็นฝูงที่ชาวบ้านเลี้ยงก็เดินออกมาตามถนน ขวางถนนบ้าง ข้ามถนนบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นวัวแดง ไม่เหมือนบ้านเราที่จะเป็นวัวตัวขาวๆ ตามทางเด็กๆแถวนั้นก็จะโบกมีทักทายเราพร้อมกับพูดว่า "สะบายดี" มันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างของที่นี้เลยก็ว่าได้ ที่เวลาไปไหนซื้อของอะไรคนที่นี้เค้าก็จะทักเราว่า "สะบายดี" มันเป็นจุดขายอย่างหนึงของประเทศลาว เหมือนบ้านเราที่มีการไหว้ รอยยิ้ม และการกล่าวสวัสดี เป็นจุดขายที่น่าประทับใจ