พอจะเข้าใจแล้วทำไม ทีมโฆษก PR ของพรรคเพื่อไทยถึงอ่อน

"ชยิกา วงศ์นภาจันทร์" หลานรัก"น้าปู" ด่านแรก"โซเชียลมีเดีย"นายกฯหญิง
โดย ศุภกาญจน์ เรืองเดช
"ไม่ใช่นักการเมือง เป็นแค่คนทำงานการเมือง Not a politician, just another person who works in politic."

เป็นคำยืนยันจากหญิงสาววัย 34 ที่กำลังเป็นที่จับตามองในสังคม ด้วยมีข่าวคราวเกี่ยวกับงานมงคลสมรสของเธอ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 มิถุนายน ที่จะถึงนี้
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเธอคือลูกสาวคนโตของ "เยาวเรศ ชินวัตร" อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ มีศักดิ์เป็นหลานสาวของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นหลานสาวของ "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ

เธอคือ "แซนด์" "ชยิกา วงศ์นภาจันทร์"

ณ ห้องอาหารอควา โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ย่านราชดำริ ในขณะที่เธอกำลังถ่ายพรีเว็ดดิ้ง ทีมข่าวเฉพาะกิจ "มติชน" ขอเวลาว่างยามที่เธอพักเหนื่อย มาพูดคุยถึงเรื่องราวในชีวิต หน้าที่การงานที่ทำอยู่ในขณะนี้

โดยเฉพาะในประเด็นทางการเมืองที่ว่ากันว่าเธอมีหน้าที่เป็น "ด่านหน้า" ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก ที่จะคอยตอบโต้ประเด็นร้อนทางการเมืองให้กับ "น้าปู"
แซนด์ ชยิกา เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ.2522 เป็นลูกสาวคนโตของแม่-เยาวเรศ ชินวัตร และพ่อ-"วีรชัย วงศ์นภาจันทร์" ภายหลังจากพ่อกับแม่หย่าร้างกันแล้ว เธอเลือกใช้นามสกุล "วงศ์นภาจันทร์" ของพ่อ

ชยิกา เริ่มต้นการศึกษาที่โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากนั้นเข้าศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่โรงเรียนโรงเรียนร่วมฤดี อินเตอร์เนชั่นแนล สคูล ก่อนจะก้าวเข้าสู่ระดับอุมดมศึกษา ในปี 2541 ที่วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล แต่ในปี 2543 ก็ได้ย้ายไปศึกษาต่อที่ Clark College เมืองแวนคูเวอร์ รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

ปี 2544 เรียนที่ University of Washington แคมปัส Bothell ประเทศสหรัฐอเมริกา และปี 2545 Seattle University บริหารธุรกิจ สาขาการจัดการ รัฐวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับชีวิตในวัยเด็กแซนด์มักใช้เวลาอยู่กับแม่ เพราะแม่คือคนที่เข้าใจเธอที่สุด จนเมื่อเธออายุประมาณ 14 ปี เธอก็มีน้าๆ เข้ามาอยู่ที่บ้านด้วย

เธอย้อนความหลังให้ฟังว่า ช่วงนั้นแม่ของเธอได้มีโอกาสดูแลน้าแป๋ว (มณฑาทิพย์ โกวิทเจริญกุล), น้าแป๋ม (ทัศนีย์ ชินวัตร) และน้าปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และด้วยความที่ "น้าปู" จะค่อนข้างวัยรุ่นกว่าทุกคน เธอจึงใกล้ชิดและได้รับการอบสั่งสอนจาก "น้าปู" อยู่เสมอ

"แม่และ "น้าปู" สอนเหมือนกันตลอดว่า อยากให้เรียนรู้ที่จะต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้อื่น เรียนรู้ที่จะอยู่ในบริษัทใหญ่ เพื่อจะได้รู้ว่า จะสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างไร ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เลือกเข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ แทนที่จะทำธุรกิจของครอบครัวในทันที" ชยิกากล่าว

ด้านหน้าที่การงาน หลังก้าวออกจากรั้วสถาบันการศึกษา แซนด์เริ่มต้นการทำงานที่บริษัท มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) ในตำแหน่ง Broker"s Assistance ดูแลด้านการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า เป็นเวลา 1 ปี จนปี 2546 กลับมาทำงานเมืองไทยที่บริษัท ชินวัตร โฮมมาร์ท (ภูเก็ต) จำกัด ตำแหน่งผู้จัดการโครงการ ดูแลการสร้างแรงจูงใจและการฝึกอบรม เพื่อการส่งเสริมยอดขายและการทำงานเป็นทีม

จากนั้นรับตำแหน่ง แผนกบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า Customer Relationship Management ก่อนจะย้ายไปประจำตำแหน่งนักวางแผนกลยุทธ์และบริหารความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรกับลูกค้าขนาดใหญ่ของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส)

ในปีเดียวกับที่มีเหตุการณ์พลิกผันทางการเมือง อย่างรัฐประหารครั้งล่าสุด เธอได้เปลี่ยนมาดเป็นผู้บริหารเต็มตัวโดยการเข้ามาดูแลธุรกิจครอบครัวอีกหนึ่งบริษัท นั่นคือ บริษัท ชินวัตร โฮม จำกัด ในตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการ

"ปี 2552 เปลี่ยนมาทำที่บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น มีโอกาสได้ทำงานใกล้ชิดกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มากยิ่งขึ้น และได้สัมผัสงานการเมืองหลังจากที่ "น้าปู" ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ"

แต่สิ่งที่ทำให้ถูกจับตามองและเป็นข่าวเป็นคราวในขณะนี้คือ "งานแต่ง" ที่จะมีขึ้นกับ "ไผ่ บัวงาม" หนุ่มรูปงามแห่งลุ่มน้ำเพชร ผู้จัดการด้านการพัฒนาธุรกิจ บริษัท พีเออี จำกัด (มหาชน) อีกหนึ่งธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่ของครอบครัวว่าที่เจ้าสาว

ทั้งคู่พบรักกันในคลาสเรียนหลักสูตรอสังหาริมทรัพย์ RE-CU จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยฝ่ายชายได้เข้ามาดูแลและเห็นอกเห็นใจฝ่ายหญิงในขณะที่ตระกูลชินวัตรถูกโจมตีอย่างหนักในประเด็นการเมืองต่างๆ

ก่อนระฆังวิวาห์จะลั่นดัง

"ลองฟังเสียงสะท้อนและเรื่องราวชีวิต ตลอดจนหน้าที่การงานทั้งหมดที่ทำอยู่ในขณะนี้จาก "หลานรักน้าปู" คนนี้"

- อยู่ภาคธุรกิจตลอดในที่สุดถึงจุดพลิกผันสู่งานการเมือง ที่มาอย่างไร?

ช่วงหาเสียงปี 2554 ที่น้าปูลงสมัครรับเลือกตั้งในนามปาร์ตี้ลิสต์ลำดับที่ 1 ของพรรคเพื่อไทย ตอนนั้นมีโอกาสได้เข้าไปทำงานอยู่ในพรรคเพื่อไทยปีกว่าแล้ว โดยเข้ามาเป็นทีมเลขานุการของพรรค เพราะเป็นทีมเลขาฯนายกฯตั้งแต่อยู่เอสซี แอสเสท เรียกว่าอยู่กับนายกฯมาโดยตลอด เลยตามมาทำงานการเมืองกันทั้งทีม

ตอนที่อยู่เอสซี แอสเสท ทำ Marketing มาตลอด พอมาอยู่ตรงจุดนี้ก็ได้เข้ามาทำในส่วนที่เป็น Marketing เช่น พวกสื่อออนไลน์ เพราะตอนนั้นในพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่มีใครดูเรื่องเกี่ยวกับสื่อใหม่ ตนเองเข้าไปทำ แล้วก็นำเสนอออกมา

ดูแลทุกอย่างที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เพราะเป็นสิ่งที่ถนัด จากนั้นก็เข้าสู่ช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์โดยการเป็นเลขานุการของวงประชุมบ้าง เป็นผู้ช่วยเลขานุการของคณะกรรมการร่างนโยบายในพรรคตอนก่อนหาเสียงที่มีคุณจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นประธานบ้าง ถือว่าได้ความรู้และประสบการณ์ติดมามากมาย

- หน้าที่การงานตอนนี้ดูแลอะไรอยู่บ้าง?

ตอนนี้ดูแลสื่อออนไลน์ โดยช่วยดูเว็บไซต์ http://www.thaigov.go.th ช่วยดูเว็บไซต์ของพรรคเพื่อไทย http://www.ptp.or.th/ ช่วยดูเฟซบุ๊กของพรรคเพื่อไทย และของไทยคู่ฟ้า เรียกว่าดูตั้งแต่ของพรรคจนถึงของรัฐบาลเลย สำหรับเว็บไซต์ http://www.thaigov.go.th จะดูร่วมกับสำนักโฆษก เพราะเราเป็นหนึ่งในทีมที่ตั้งมาให้ช่วยดู นอกจากนี้ ยังดูแลเฟซบุ๊กของนายกฯยิ่งลักษณ์ด้วย

เป็นหนึ่งในทีมงานของเว็บทั้งหมด ไม่ได้ดูด้วยตัวคนเดียว

- หน้าที่หลักคืออะไร?

หน้าที่หลักคือ ทุกเช้าจะต้องคอยดู คอยจับประเด็นว่าวันนี้ทิศทางข่าวจะเป็นอย่างไร วันนี้มีประเด็นอะไรที่อ่อนไหม เรื่องนี้จะต้องทำการประชาสัมพันธ์เพิ่มหรือไม่ มีจุดไหนที่ต้องชี้แจงหรือเปล่า

จะสรุปเรื่องพอดูแล้วว่าตรงนี้ต้องเสริมเราก็จะคุยกับทีมที่เป็นบรรณาธิการ

- ก่อนโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ทำการบ้านอย่างไรบ้าง?

ก็ต้องศึกษาประเด็น เช่น เรื่องโครงการรับจำนำข้าว, เรื่อง พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ก็ต้องจับประเด็นว่าในสังคมเขาไม่เข้าใจตรงไหนมากพอ และเขามองว่าเรายังขาดตรงไหน ต้องเสริมตรงไหน ตัวเองก็จะทำการบ้านมาและจะเสนอทางทีมไปว่าต้องมีตรงนั้นตรงนี้เพิ่มขึ้น

สำหรับประเด็นโจมตี ก็จะสรุปออกมาแล้วศึกษาว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และประเมินจากหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

- กรณีที่มีคนโจมตีแรงๆ มีหลักโต้กลับอย่างไร ต้องรุนแรงแค่ไหน?

ตรงนี้แล้วแต่ท่านเลขาฯและทีมงาน ถ้าถามว่าจะต้องโต้ตอบเลยไหม ขอใช้คำว่าให้ข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริงดีกว่า เพราะคิดว่าทางทีมงานไม่ได้เน้นเรื่องการโต้ หรือสร้างวาทกรรมทางการเมือง แต่เน้นในเรื่องของการประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริง การประชาสัมพันธ์ผลงานว่าเราทำจริง มีหลักคิดอย่างนี้มากกว่า

เพราะถ้าเราอยู่กับความจริงบิดยังไงมันก็ไม่ไป พูดกี่ทีก็ถูก พูดกี่ครั้งก็จะเหมือนกัน

- ทีมโซเชียลมีเดียหรือที่เรียกว่าทีมไซเบอร์ของพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรบ้าง?

คนชอบบอกว่าทีมไซเบอร์ของพรรคเพื่อไทยอ่อน แต่จริงๆ แล้วพรรคเพื่อไทยไม่ได้มีทีมไซเบอร์ พรรคเพื่อไทยมีเพียงแค่ทีมงานของกองโฆษก เราอ่านข่าวตอนเช้าแล้วเห็นว่ามีอะไรที่ควรชี้แจงเราก็ทำ ทุกคนชอบมุ่งเป้ามาบอกว่าทีมไซเบอร์เป็นตัวแซนด์และใครอีกก็ไม่รู้ แต่ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ จริงแล้วเป็นทีมของทีมงานต่างๆ เช่น รัฐมนตรี โฆษก รองโฆษก หรือคนที่ทำงานในเรื่องนั้นอยู่แล้ว

หรืออย่าง ส.ส.ในพื้นที่ที่มีความเข้าใจ เขาก็ให้ทีมงานของเขาอธิบายเท่านั้นเอง เรามีข้อเท็จจริง เราก็เอาข้อเท็จจริงมาแสดง คนที่เขาเห็นด้วยกับเราเขาก็เป็นเครือข่ายแล้วจะกระจายกันเอาเอง


- แค่อธิบายข้อเท็จจริง ไม่ตอบโต้ คิดว่าเพียงพอแล้วหรือไม่?

วิธีการของเราไม่เหมือนวิธีการของพรรคตรงข้าม ของเขาเป็นแนวสร้างวาทกรรม ที่เป็นการสร้างความเชื่ออะไรบางอย่าง เช่น บางทีข่าวออกมาเมื่อวันก่อนว่าท่านนายกฯไปแทรกคิวงานสภาหนังสือพิมพ์แห่งชาติ แต่ในข้อเท็จจริงไม่ใช่ เพราะเราทำงาน เรารู้ดีว่าหนังสือที่ส่งเข้ามาเชิญนายกฯเป็นประธานมาตั้งแต่เดือนไหน ซึ่งอาจจะเป็นประเด็นการเข้าใจผิดกัน เราก็บอกคนที่รับผิดชอบไป เช่นบอกท่านโฆษกรัฐบาล ท่านก็จะเป็นผู้ไปชี้แจงกับนักข่าวว่ามีกระแสแบบนี้ในอินเตอร์เน็ต

เราเป็นแนวทางนี้ ไม่ใช้วิธีการแบบพรรคตรงข้ามซึ่งมักสร้างวาทกรรม


- ทำงานตรงนี้เคยโดนโจมตีผ่านโซเชียลมีเดียแรงๆ หรือไม่ แล้วจัดการกับตรงนี้ยังไง?

โดนค่ะ (ทำสีหน้าเรียบเฉย) แต่ก็ไม่ตอบ อย่างมากก็บอกผ่านโซเชียลมีเดียไปว่า ขอนะ ขออนุญาตไม่ตอบ เพราะไม่คิดว่าจะมาตอบโต้ทางการเมือง เพียงแต่เราขอมาชี้แจง หากโจมตีเยอะๆ ก็บอกว่าเรื่องส่วนตัวขอไม่พูด ขอพูดเรื่องงาน ถ้าคุณจะติติงเรื่องนโยบาย หรือจะพูดในเรื่องการทำงานคุณเขียนมาเลย น้อมรับเพื่อนำไปปรับปรุง

ซึ่งส่วนใหญ่ เวลาเขียนทำนองนี้ลงไปในโซเชียลมีเดียก็จะมีคนมาปกป้องเราเอง สังคมจะเป็นตัวตัดสินว่าสิ่งที่ใครพูดอะไรถูก อะไรผิด จริงอยู่ที่บางครั้งเขาใช้เรื่องอุปาทานหมู่แล้วจำนวนชนะ แต่ข้อเท็จจริงอย่างไรก็คือข้อเท็จจริง ใครอยากรู้ก็ลองไปกดไลค์เพจบนหน้าเฟซบุ๊ก Sand Wongnapachant ได้ รับรองว่ามีข้อมูลให้อ่านกันทุกวัน (ยิ้ม)

- ทำงานกับสื่อต้องวางตัวอย่างไร?

ทางทีมก็สอนว่าให้เรานิ่งๆ ต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่ ต้องให้ดูน่าเชื่อถือ

เทคนิคของเราคือให้ข่าวอะไรก็ให้เหมือนกันหมด แต่ไม่ได้หมายความว่าไปให้ข่าวเอง ต้องให้ข่าวภายใต้กรอบของท่านเลขานุการนายกรัฐมนตรี กับท่านโฆษกรัฐบาล เรียกว่าเราเป็นทีมสนับสนุน แต่เราเป็นทีมสนับสนุนที่จะดูแลในเรื่องของสื่อออนไลน์มากหน่อยเท่านั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าต้องเขียนจากความจริง

- ในฐานะที่เป็น "หลานนายกฯ" มาทำงานตรงนี้กดดันไหม?

นายกฯยิ่งลักษณ์สอนไว้ว่า ทำงานตรงนี้ ด้วยความที่เป็นหลาน จะต้องทำดีกว่าคนอื่นเยอะ เพราะถ้าทำดีก็คือทำดีเท่าตัว แต่ถ้าทำผิดนิดเดียวเจะต้องโดนเพ่งเล็ง และสอนให้ต้องอดทน อดทน และอดทนเท่านั้น

- กับงานแต่งที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง ข่าวคราวของตัวเองออกมาอย่างไร?

คงไม่น่าจะมีอะไร เพราะทั้งตัวเองและพี่ไผ่ ก็เป็นคนธรรมดา กระแสตอบรับเมื่อโพสต์ข้อความหรือรูปว่าจะแต่งงานลงไปในโซเชียลมีเดีย ก็มีแต่คนเข้ามายินดี ยังไม่มีใครเข้ามาหยิบยกหรือพูดถึงในประเด็นทางการเมือง เพราะว่าเจ้าบ่าวไม่ได้ทำงานการเมือง เป็นแค่คนทำธุรกิจธรรมดา เลยไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์อะไรมาก ถ้ามี ก็อาจเป็นบทความที่ตัวเองแสดงทรรศนทางการเมืองมากกว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว

- วางอนาคตของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง?

หลังจากแต่งงานก็จะขอมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนก่อน เรื่องลูกก็จะปล่อยให้เป็นธรรมชาติ ขอใช้เวลาเรียนรู้กันอีกนิด สำหรับเรื่องหน้าที่การงาน ตอนนี้ขอทำในสิ่งที่ถนัดก่อน กับงานด้านการเมือง ขอก้าวแบบช้าๆ ขอหาประสบการณ์ไปก่อน

ทั้งนี้ อนาคตไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหน ตรงนี้ต้องให้ประสบการณ์และเวลาเป็นเครื่องบ่มเพาะ และให้ผู้ใหญ่เป็นผู้พิจารณาว่าจะต้องก้าวไปตรงจุดไหน เมื่อไหร่ อย่างไรดีกว่า ถามว่าอยากเป็น ส.ส.หรือไม่ ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจว่าถนัดงานตรงนั้นหรือเปล่า เพราะไม่เคยทำงานด้านนิติบัญญัติ ที่ผ่านมามีแต่ฝ่ายบริหาร

"ขอใช้เวลาตรงนี้ เรียนรู้ไปอีกหน่อย"


ที่มา หน้า 13  มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิต
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่