30 ธ.ค.2556 เมื่อเช้าตอน 7 โมง “นิติธร ล้ำเหลือ” แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย (คปท. ) แถลงข้อเท็จจริงกรณีมีกลุ่มชายฉกรรจ์ ขับรถตามประกบและใช้อาวุธปืนหวังมุ่งเอาชีวิต ดังนี้….
“เหตุการณ์เกิดขึ้นมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. เมื่อวานนี้ ระหว่างที่ผม ออกเดินทางจากพื้นที่ชุนุมของ คปท. เพื่อกลับไปเตรียมทำคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ออกหมายเรียก แต่ระหว่างรถยนต์ไปถึงแยกสนามม้านางเลิ้ง ปรากฏว่า มีรถยนต์ขับตามออกมาจากสนามม้า 2 คัน และเมื่อข้ามสะพานลอยข้ามแยกยมราช ถึงแยกอุรุพงษ์ติดไฟแดง สังเกตพบว่า มีรถขับตามประกบเพิ่มขึ้นอีก ทางด้านข้าง เลยบอกให้คนขับรถขับรถให้ฝ่าไฟแดง แต่รถที่ขับตามมาเป็นเพื่อนก็ขับตามมาด้วย
แต่เมื่อพ้นแยกอุรุพงษ์ ตรงไปก็ยังพบว่ามีรถขับตามมาตลอด และวิ่งไล่แซงขึ้นมา จึงสั่งให้เร่งความเร็ว และเมื่อถึงแยกราชเทวี จึงเลี้ยวซ้ายไปได้ราว 200 เมตร รถกระบะสีขาวก็ขับปาดหน้าสะกัด คนในรถกระบะ ลงจากรถมาพร้อมอาวุธปืน เอ็มโฟ เราจึงขับขึ้นเลนขวา แต่ก็มีรถเก่ง สีแดงขับปาดหน้าอีกที
ส่วนรถยนต์อีกคันของพวกนายนิติธร ที่ขับตามมา ก็โดนอาวุธปืนจี้บอกให้หยุด แต่รถไม่ได้หยุด ทางนั้นจึงขับตาม
เมื่อมาถึงยูเทินตรงแอร์พอร์ตลิ้งค์ รถผมก็วนกลับรถทันที แต่พอวนรถกลับ คนที่ถือปืนอยู่ก่อนแล้ว ก็กระโดดข้ามฝั่งตามมาด้วย แล้วก็เอาปืนเล็งใส่รถ จึงบอกคนขับให้ขับฝ่าออกไป แล้วรถเก๋งสีแดง ก็ขับตามมาแต่ไปชนกับรถมอร์ไซค์รับจ้าง ทำให้เสียจังหวะติดตาม
พอพ้นจากที่จุดที่เขาจะใช้อาวุธยิงเราได้ ก็ยูเทิร์นแล้วกลับมาอยู่ภายในพื้นที่ชุมนุม พอมาถึง ทีมการ์ด คปท. ตระเวนดูแลพื้นที่ พบว่า ทั้ง 4 ทิศรอบพื้นที่ชุมนุม ยังมีรถยนต์ขับวนเวียน เป็นรถคันเดิม ๆ วนกันอยู่ต่อเนื่อง
ส่วนเรื่องมีรถมอร์เตอร์ไซค์ ชนรถยนต์ฝ่ายตรงข้ามนั้น เป็นเรื่องที่ทราบภายหลัง ว่าคนขับถูกทำร้าย และนำตัวขึ้นรถไปด้วย โดยใช้รถกระบะ และปล่อยตัวที่ถนนบางบัวทอง –สุพรรณบุรี โดยทางนั้นให้คนขี่มอร์เตอร์ไซด์ เป็นเงิน 500 และขอว่า อย่าพูดอะไร
สำหรับส่วนตัว คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การจับกุม เพราะการจับกุม ควรต้องมีเจ้าหน้าที่แต่งเครื่องแบบให้เรียบร้อย ยิ่งยามวิกาลต้องใช้รถที่แสดงสัญญลักษณ์ ว่าเป็นรถเจ้าหน้าที่ ติดไซเรนท์ มีสัญลักษณ์ตราโล่ห์ มีเครื่องขยายเสียงประกาศชัดเจนว่า มีการจับกุมติดตาม ขออย่าให้ต่อสู้ แต่ลักษณะนี้ หากผมพกอาวุธ ก็คิดว่าต้องมีการตอบโต้กัน เพราะลักษณะนี้ไม่ใช่การจับกุม แต่เป็นการมุ่งหวังเอาชีวิต
และหากผมไม่โชคดี เรื่องนี้อาจกลายเป็นอุบัติเหตุ เลยมีการยิงกัน และสมมติว่าผมหายไปแบบ นายสมชาย นีละไพจิตร หรือ นายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ก็อาจมีการบอกว่าคดีนี้ ไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเหตุการณ์นี้ มีการใช้อาวุธสงคราม มีการจัดการเตรียมไว้พร้อม และการมีด่านตำรวจตั้งอยู่แบบนี้ คนที่ลงมือกระทำได้ จะต้องได้รับสัญญาณ หรือ อนุญาตให้ทำการได้ หรือไม่ก็เป็นอำนาจรัฐสั่งการให้กระทำการ ซึ่งผมคิดว่า จะนำไปสู๋การขัดแย้ง รุนแรง จะไม่เกิดประโยน์กับฝ่ายใด
และเห็นว่า หากเกิดเหตุแบบนี้ ฝ่ายอำนาจรัฐจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ และทำให้เกิดความโกรธแค้นมากขึ้น เพราะการจะจับกุมผมจริงๆ ก็เป็นแค่ข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ หรือ อย่างเก่งก็ตามที่ดีเอสไอ ตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่อาชญากรรมที่มีความร้ายแรง และไม่ว่าจะเป็นคดีไหน ก็จะใช้ความรุนแรงแบบนี้ไม่ได้ และผมก็อยู่ในสื่อตลอดเวลาว่าไม่ได้หลบนี้ และขึ้นเวทีปราศรัยชัดเจนว่าจะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
เหตุที่เกิดผมฟันธงว่า เป็นเพราะผมออกมาเคลื่อนไหว เป็นแกนนำ นำมวลชนต่อสู่คัดค้านเรื่องการเมือง ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการรักษาอำนาจรัฐ และผมเชื่อว่า ถ้าทำสำเร็จ ก็คงมุ่งหมายถึงเอาชีวิต เพราะก่อนหน้านี้ ได้รับสัญญาณ และการข่าว ก็ระบุว่า จะมีการดำเนินการกับผมและ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ให้เสร็จก่อนวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งแปลว่ามีความพยายามจะทำทุกวิถีทาง โดยมีความเชื่อว่าถ้าไม่มี ผมเป็นแกนนำ ไม่มีนายสุเทพเป็นแกนนำ การชุมนุมก็คงจะยุติได้ แต่นั่นเป็นการคิดที่ผิด และจะทำให้ภาคประชาชนเกลีดยดชัง รัฐบาล และถ้ายิ่งถ้าแกนนำเป็นอะไร ถึงตอนนั้น ประชาชน จะมีวิธีจัดการที่หลากหลาย จัดกับรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ ไม่เคารพกฎหาย และทำให้ยากแก่การควบคุมประชาชน และฝ่ายที่ต้องประสบชะตากรรม คือนางสาวยิ่งลัษณ์ ชินวัตร และพรรคพวก ที่น่าคิดว่าจะมีโอกาสได้อยู่บนแผ่นดินนี้หรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ผมคิดว่า ทุกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ทางประชาชนก็จะจดจำ แต่ประชาชนจะมีความอดทน และเคารพกฎหมายมากกว่า และคิดว่าอำนาจรัฐ จะย้อนศร กลับมาทำกับอำนาจรัฐเอง
จากนี้ การสู้ต่อ จะมอบหมายให้ทนายความดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีหาตัวผู้ก่อการ และคิดว่าผมจะสู้ในวิถีทางกฎหมาย แต่หลังจากนี้ จะเพิ่มมาตรการในการดูแลตัวเองมากขึ้น และหากมาวิธีการแบบเหตุนี้อีก ก็คิดว่าจะต้องดำเนินการบางอย่างกลับไปเช่นเดียวกัน
จาก
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=742152699146932&id=650492968312906
นายนิติธร ล้ำเหลือแถลงเรื่องเสียว พร้อมขู่ฟ่อด ๆ
30 ธ.ค.2556 เมื่อเช้าตอน 7 โมง “นิติธร ล้ำเหลือ” แกนนำเครือข่ายนักศึกษาประชาชน ปฏิรูปประเทศไทย (คปท. ) แถลงข้อเท็จจริงกรณีมีกลุ่มชายฉกรรจ์ ขับรถตามประกบและใช้อาวุธปืนหวังมุ่งเอาชีวิต ดังนี้….
“เหตุการณ์เกิดขึ้นมื่อเวลาประมาณ 23.30 น. เมื่อวานนี้ ระหว่างที่ผม ออกเดินทางจากพื้นที่ชุนุมของ คปท. เพื่อกลับไปเตรียมทำคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ออกหมายเรียก แต่ระหว่างรถยนต์ไปถึงแยกสนามม้านางเลิ้ง ปรากฏว่า มีรถยนต์ขับตามออกมาจากสนามม้า 2 คัน และเมื่อข้ามสะพานลอยข้ามแยกยมราช ถึงแยกอุรุพงษ์ติดไฟแดง สังเกตพบว่า มีรถขับตามประกบเพิ่มขึ้นอีก ทางด้านข้าง เลยบอกให้คนขับรถขับรถให้ฝ่าไฟแดง แต่รถที่ขับตามมาเป็นเพื่อนก็ขับตามมาด้วย
แต่เมื่อพ้นแยกอุรุพงษ์ ตรงไปก็ยังพบว่ามีรถขับตามมาตลอด และวิ่งไล่แซงขึ้นมา จึงสั่งให้เร่งความเร็ว และเมื่อถึงแยกราชเทวี จึงเลี้ยวซ้ายไปได้ราว 200 เมตร รถกระบะสีขาวก็ขับปาดหน้าสะกัด คนในรถกระบะ ลงจากรถมาพร้อมอาวุธปืน เอ็มโฟ เราจึงขับขึ้นเลนขวา แต่ก็มีรถเก่ง สีแดงขับปาดหน้าอีกที
ส่วนรถยนต์อีกคันของพวกนายนิติธร ที่ขับตามมา ก็โดนอาวุธปืนจี้บอกให้หยุด แต่รถไม่ได้หยุด ทางนั้นจึงขับตาม
เมื่อมาถึงยูเทินตรงแอร์พอร์ตลิ้งค์ รถผมก็วนกลับรถทันที แต่พอวนรถกลับ คนที่ถือปืนอยู่ก่อนแล้ว ก็กระโดดข้ามฝั่งตามมาด้วย แล้วก็เอาปืนเล็งใส่รถ จึงบอกคนขับให้ขับฝ่าออกไป แล้วรถเก๋งสีแดง ก็ขับตามมาแต่ไปชนกับรถมอร์ไซค์รับจ้าง ทำให้เสียจังหวะติดตาม
พอพ้นจากที่จุดที่เขาจะใช้อาวุธยิงเราได้ ก็ยูเทิร์นแล้วกลับมาอยู่ภายในพื้นที่ชุมนุม พอมาถึง ทีมการ์ด คปท. ตระเวนดูแลพื้นที่ พบว่า ทั้ง 4 ทิศรอบพื้นที่ชุมนุม ยังมีรถยนต์ขับวนเวียน เป็นรถคันเดิม ๆ วนกันอยู่ต่อเนื่อง
ส่วนเรื่องมีรถมอร์เตอร์ไซค์ ชนรถยนต์ฝ่ายตรงข้ามนั้น เป็นเรื่องที่ทราบภายหลัง ว่าคนขับถูกทำร้าย และนำตัวขึ้นรถไปด้วย โดยใช้รถกระบะ และปล่อยตัวที่ถนนบางบัวทอง –สุพรรณบุรี โดยทางนั้นให้คนขี่มอร์เตอร์ไซด์ เป็นเงิน 500 และขอว่า อย่าพูดอะไร
สำหรับส่วนตัว คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่การจับกุม เพราะการจับกุม ควรต้องมีเจ้าหน้าที่แต่งเครื่องแบบให้เรียบร้อย ยิ่งยามวิกาลต้องใช้รถที่แสดงสัญญลักษณ์ ว่าเป็นรถเจ้าหน้าที่ ติดไซเรนท์ มีสัญลักษณ์ตราโล่ห์ มีเครื่องขยายเสียงประกาศชัดเจนว่า มีการจับกุมติดตาม ขออย่าให้ต่อสู้ แต่ลักษณะนี้ หากผมพกอาวุธ ก็คิดว่าต้องมีการตอบโต้กัน เพราะลักษณะนี้ไม่ใช่การจับกุม แต่เป็นการมุ่งหวังเอาชีวิต
และหากผมไม่โชคดี เรื่องนี้อาจกลายเป็นอุบัติเหตุ เลยมีการยิงกัน และสมมติว่าผมหายไปแบบ นายสมชาย นีละไพจิตร หรือ นายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ก็อาจมีการบอกว่าคดีนี้ ไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเหตุการณ์นี้ มีการใช้อาวุธสงคราม มีการจัดการเตรียมไว้พร้อม และการมีด่านตำรวจตั้งอยู่แบบนี้ คนที่ลงมือกระทำได้ จะต้องได้รับสัญญาณ หรือ อนุญาตให้ทำการได้ หรือไม่ก็เป็นอำนาจรัฐสั่งการให้กระทำการ ซึ่งผมคิดว่า จะนำไปสู๋การขัดแย้ง รุนแรง จะไม่เกิดประโยน์กับฝ่ายใด
และเห็นว่า หากเกิดเหตุแบบนี้ ฝ่ายอำนาจรัฐจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์ และทำให้เกิดความโกรธแค้นมากขึ้น เพราะการจะจับกุมผมจริงๆ ก็เป็นแค่ข้อหาบุกรุกสถานที่ราชการ หรือ อย่างเก่งก็ตามที่ดีเอสไอ ตั้งข้อหาว่าเป็นกบฏ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่อาชญากรรมที่มีความร้ายแรง และไม่ว่าจะเป็นคดีไหน ก็จะใช้ความรุนแรงแบบนี้ไม่ได้ และผมก็อยู่ในสื่อตลอดเวลาว่าไม่ได้หลบนี้ และขึ้นเวทีปราศรัยชัดเจนว่าจะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
เหตุที่เกิดผมฟันธงว่า เป็นเพราะผมออกมาเคลื่อนไหว เป็นแกนนำ นำมวลชนต่อสู่คัดค้านเรื่องการเมือง ในขณะที่อีกฝ่ายต้องการรักษาอำนาจรัฐ และผมเชื่อว่า ถ้าทำสำเร็จ ก็คงมุ่งหมายถึงเอาชีวิต เพราะก่อนหน้านี้ ได้รับสัญญาณ และการข่าว ก็ระบุว่า จะมีการดำเนินการกับผมและ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ให้เสร็จก่อนวันที่ 30 ธันวาคม ซึ่งแปลว่ามีความพยายามจะทำทุกวิถีทาง โดยมีความเชื่อว่าถ้าไม่มี ผมเป็นแกนนำ ไม่มีนายสุเทพเป็นแกนนำ การชุมนุมก็คงจะยุติได้ แต่นั่นเป็นการคิดที่ผิด และจะทำให้ภาคประชาชนเกลีดยดชัง รัฐบาล และถ้ายิ่งถ้าแกนนำเป็นอะไร ถึงตอนนั้น ประชาชน จะมีวิธีจัดการที่หลากหลาย จัดกับรัฐบาลที่เป็นเผด็จการ ไม่เคารพกฎหาย และทำให้ยากแก่การควบคุมประชาชน และฝ่ายที่ต้องประสบชะตากรรม คือนางสาวยิ่งลัษณ์ ชินวัตร และพรรคพวก ที่น่าคิดว่าจะมีโอกาสได้อยู่บนแผ่นดินนี้หรือไม่ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ผมคิดว่า ทุกครั้งเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐ ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ทางประชาชนก็จะจดจำ แต่ประชาชนจะมีความอดทน และเคารพกฎหมายมากกว่า และคิดว่าอำนาจรัฐ จะย้อนศร กลับมาทำกับอำนาจรัฐเอง
จากนี้ การสู้ต่อ จะมอบหมายให้ทนายความดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีหาตัวผู้ก่อการ และคิดว่าผมจะสู้ในวิถีทางกฎหมาย แต่หลังจากนี้ จะเพิ่มมาตรการในการดูแลตัวเองมากขึ้น และหากมาวิธีการแบบเหตุนี้อีก ก็คิดว่าจะต้องดำเนินการบางอย่างกลับไปเช่นเดียวกัน
จาก https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=742152699146932&id=650492968312906