เนื่องจากทั้งสองฝ่ายต่างมีมวลประชาชนหนุนหลังแม้จำนวนจะไม่เท่ากัน แต่ย่อมก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ความวุ่นวาย และอาจลามไปสู่สงครามกลางเมือง บ้านเมืองย่อยยับ ที่สุดประเทศไทยหยุดพัฒนาและถอยหลังไปสู่ความล้าหลัง
เสนอให้ตั้งโต๊ะเจรจาเลยทั้งฝ่ายเผด็จการและฝ่ายประชาธิปไตย แบ่งกันปกครองประเทศเป็นระยะเวลาฝ่ายละสี่ปี วิธีการเบื้องต้น
ให้ยังคงมีพรรคการเมืองเหมือนเดิม โดยให้แต่ละพรรค ลงชื่อ หรือเข้าเพิ่ม หรือแก้ไขเพื่อเปลี่ยนข้าง ว่าต้องการระบอบการปกครองแบบไหน ซึ่งน่าจะมีพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย
ในครั้งเริ่มต้น เจรจาตกลงว่าจะให้ฝ่ายใดจะปกครองก่อน ตกลงกันได้แล้ว ก็ให้พรรคการเมืองในฝ่ายนั้นๆ หาเสียงเลือกตั้งกันเอง เช่นเป็นคิวการปกครองของเผด็จการ ก็ให้พรรคฝ่ายเผด็จการทั้งหมด หาเสียงแข่งกันเองระหว่างพรรคฝ่ายเผด็จการ พรรคใดเสียงข้างมาก ก็เข้าปกครองประเทศ
เมื่อเข้าปกครองประเทศครบสี่ปี ก็ถึงคิวฝ่ายประชาธิปไตย ให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย หาเสียงเลือกตั้ง พรรคใดคะแนนเสียงมาก ก็เข้าปกครองประเทศ
ผลัดกันไปเช่นนี้ทุกๆสี่ปี นับว่าเป็นการก้าวถอยหลังคนละก้าว และเมื่อคิวพรรคฝ่ายใดปกครองประเทศ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้วางมือจากการเมือง เพื่อให้ประเทศไทยยังคงอยู่ได้ด้วยการปองดองเข้าสู่ความสงบสุขต่อไป แม้ว่าจะสุดกู่อย่างสุดขั้วและเป็นระบอบการปกครองที่มีประเทศเดียวในโลก ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง
เมื่อได้ระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจจะตลอดไป เมื่อคนไทยรู้จักวิเคราะห์คิด ว่าสิ่งใดถูกผิด สิ่งใดสร้างความเจริญ สิ่งใดนำสู่ความเสียหาย ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ตามความต้องการของประชาชน
ความเห็นจากคนที่รักประชาธิปไตยคนหนึ่ง แต่ด้วยความรักชาติเช่นกัน ยอมถอยหลังให้หนึ่งก้าว เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ และไม่อยากเห็นสงคราม
ทางออกสุดท้ายถ้าไม่อยากเห็นสงครามกลางเมือง
เสนอให้ตั้งโต๊ะเจรจาเลยทั้งฝ่ายเผด็จการและฝ่ายประชาธิปไตย แบ่งกันปกครองประเทศเป็นระยะเวลาฝ่ายละสี่ปี วิธีการเบื้องต้น
ให้ยังคงมีพรรคการเมืองเหมือนเดิม โดยให้แต่ละพรรค ลงชื่อ หรือเข้าเพิ่ม หรือแก้ไขเพื่อเปลี่ยนข้าง ว่าต้องการระบอบการปกครองแบบไหน ซึ่งน่าจะมีพรรคการเมืองทั้งสองฝ่าย
ในครั้งเริ่มต้น เจรจาตกลงว่าจะให้ฝ่ายใดจะปกครองก่อน ตกลงกันได้แล้ว ก็ให้พรรคการเมืองในฝ่ายนั้นๆ หาเสียงเลือกตั้งกันเอง เช่นเป็นคิวการปกครองของเผด็จการ ก็ให้พรรคฝ่ายเผด็จการทั้งหมด หาเสียงแข่งกันเองระหว่างพรรคฝ่ายเผด็จการ พรรคใดเสียงข้างมาก ก็เข้าปกครองประเทศ
เมื่อเข้าปกครองประเทศครบสี่ปี ก็ถึงคิวฝ่ายประชาธิปไตย ให้พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย หาเสียงเลือกตั้ง พรรคใดคะแนนเสียงมาก ก็เข้าปกครองประเทศ
ผลัดกันไปเช่นนี้ทุกๆสี่ปี นับว่าเป็นการก้าวถอยหลังคนละก้าว และเมื่อคิวพรรคฝ่ายใดปกครองประเทศ พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามให้วางมือจากการเมือง เพื่อให้ประเทศไทยยังคงอยู่ได้ด้วยการปองดองเข้าสู่ความสงบสุขต่อไป แม้ว่าจะสุดกู่อย่างสุดขั้วและเป็นระบอบการปกครองที่มีประเทศเดียวในโลก ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง
เมื่อได้ระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจจะตลอดไป เมื่อคนไทยรู้จักวิเคราะห์คิด ว่าสิ่งใดถูกผิด สิ่งใดสร้างความเจริญ สิ่งใดนำสู่ความเสียหาย ทั้งสองฝ่ายก็ตกลงตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ตามความต้องการของประชาชน
ความเห็นจากคนที่รักประชาธิปไตยคนหนึ่ง แต่ด้วยความรักชาติเช่นกัน ยอมถอยหลังให้หนึ่งก้าว เพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ และไม่อยากเห็นสงคราม