ด้วยการโปรโมทว่าเป็นเจ้าของรางวัล Jury Prize จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีล่าสุด บวกด้วยป๋าสตีเว่น สปีลเบิร์ก ได้ติดต่อขอซื้อไปรีเมคในแบบฉบับฮอลลีวู้ดเป็นอันเรียบร้อย ก็มากเกินพอแล้ว สำหรับเหตุผลในการที่ผมจะตีตั๋วเข้าไปดูหนังซักเรื่องหนึ่ง
แต่เท่านั้นยังไม่พอ
(สำเนียง TV Direct) ยังรับประกันคุณภาพด้วยการเป็นผลงานการกำกับของ ฮิโรคาซู โคริเอดะ ที่มีผลงานคุณภาพผ่านตาคอหนังมาแล้วมากมาย ทั้ง Nobody Knows, Still Walking, I Wish และ Air Doll ซึ่งเสียงร่ำลือในคุณภาพอยู่ในระดับหนาหู
Like Father Like Son เป็นเรื่องราวของครอบครัวโนโนมิยะอันเพียบพร้อมที่ทราบข่าวร้ายว่า เคตะ ลูกชายที่พวกเขาเลี้ยงดูมา6ปีนั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆ ในขณะที่ลูกชายสายเลือดเดียวกันคือ ริวเซ ถูกสลับตัวไปเลี้ยงดูอยู่กับครอบครัวไซกิ เจ้าของร้านขายหลอดไฟเล็กๆในชนบท สองครอบครัวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงต้องมาร่วมมือกันหาทางออกจากปัญหานี้ ทว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อต้องเลือกระหว่างเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองกับความผูกพันธ์ที่ยาวนานถึง 6 ปี
พล็อตเด็กสลับตัว อาจดูธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมารวมกับวัฒนธรรมโครงสร้างครอบครัวของญี่ปุ่นและมุมมองในเรื่องความต่างชั้นทางสังคม ผ่านทัศนคติของตัวละครที่แตกต่างกัน ทำให้แม้หนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมง ก็สามารถนำเสนอได้อย่างไม่มีช่วงที่น่าเบื่อหรือชวนให้หลับเลย (แน่นอนว่าไม่มีช่วงตื่นเต้นลุ้นระทึกเช่นกัน ตามสไตล์หนังดราม่าครอบครัว)
โคริเอดะใช้การเล่าเรื่องแบบสบายๆ แต่แฝงใว้ด้วยรายละเอียด ค่อยๆสร้างความผูกพันธ์ระหว่างผู้ชมกับตัวละคร
ไม่เร่งจังหวะ ไม่เร้าอารมณ์ ดราม่า ฟูมฟายจนฟุ่มเฟือยเกินไป แต่ค่อยๆชักจูงให้สัมผัสบรรยากาศและปล่อยความรู้สึกไปตามกระแสของหนังทีละนิด และเมื่อผู้ชมเคลิ้มได้ที่ จังหวะที่ป๋าโคริเอดะตั้งใจกระทุ้งในตอนท้ายนั้น ก็ทำให้บ่อน้ำตาแตกได้ไม่ยาก แถมพอถึงเวลาปี่แตกแล้วเนี่ย ถึงอยากจะหยุดก็ไม่ง่ายด้วยด้วยอารมณ์ที่มันสะสมมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ที่นั่งข้างๆผมนี่ร้องซะเรียกว่าสะอึกสะอื้นเลยทีเดียว
มีต่อด้านล่างจ้ะ
[CR] Like Father Like Son : ลูกไม้ ใกล้ต้น
แต่เท่านั้นยังไม่พอ (สำเนียง TV Direct) ยังรับประกันคุณภาพด้วยการเป็นผลงานการกำกับของ ฮิโรคาซู โคริเอดะ ที่มีผลงานคุณภาพผ่านตาคอหนังมาแล้วมากมาย ทั้ง Nobody Knows, Still Walking, I Wish และ Air Doll ซึ่งเสียงร่ำลือในคุณภาพอยู่ในระดับหนาหู
Like Father Like Son เป็นเรื่องราวของครอบครัวโนโนมิยะอันเพียบพร้อมที่ทราบข่าวร้ายว่า เคตะ ลูกชายที่พวกเขาเลี้ยงดูมา6ปีนั้นไม่ใช่ลูกแท้ๆ ในขณะที่ลูกชายสายเลือดเดียวกันคือ ริวเซ ถูกสลับตัวไปเลี้ยงดูอยู่กับครอบครัวไซกิ เจ้าของร้านขายหลอดไฟเล็กๆในชนบท สองครอบครัวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จึงต้องมาร่วมมือกันหาทางออกจากปัญหานี้ ทว่าจะทำอย่างไร ในเมื่อต้องเลือกระหว่างเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองกับความผูกพันธ์ที่ยาวนานถึง 6 ปี
พล็อตเด็กสลับตัว อาจดูธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อมารวมกับวัฒนธรรมโครงสร้างครอบครัวของญี่ปุ่นและมุมมองในเรื่องความต่างชั้นทางสังคม ผ่านทัศนคติของตัวละครที่แตกต่างกัน ทำให้แม้หนังจะยาวถึง 2 ชั่วโมง ก็สามารถนำเสนอได้อย่างไม่มีช่วงที่น่าเบื่อหรือชวนให้หลับเลย (แน่นอนว่าไม่มีช่วงตื่นเต้นลุ้นระทึกเช่นกัน ตามสไตล์หนังดราม่าครอบครัว)
โคริเอดะใช้การเล่าเรื่องแบบสบายๆ แต่แฝงใว้ด้วยรายละเอียด ค่อยๆสร้างความผูกพันธ์ระหว่างผู้ชมกับตัวละคร
ไม่เร่งจังหวะ ไม่เร้าอารมณ์ ดราม่า ฟูมฟายจนฟุ่มเฟือยเกินไป แต่ค่อยๆชักจูงให้สัมผัสบรรยากาศและปล่อยความรู้สึกไปตามกระแสของหนังทีละนิด และเมื่อผู้ชมเคลิ้มได้ที่ จังหวะที่ป๋าโคริเอดะตั้งใจกระทุ้งในตอนท้ายนั้น ก็ทำให้บ่อน้ำตาแตกได้ไม่ยาก แถมพอถึงเวลาปี่แตกแล้วเนี่ย ถึงอยากจะหยุดก็ไม่ง่ายด้วยด้วยอารมณ์ที่มันสะสมมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ที่นั่งข้างๆผมนี่ร้องซะเรียกว่าสะอึกสะอื้นเลยทีเดียว
มีต่อด้านล่างจ้ะ