สมมุติว่ายิ่งลักษณ์อดทนต่อไปไม่ไหว เพราะความเป็นแม่เกิดสงสารลูกขึ้นมาจับใจ
ถูกผู้ใหญ่รังแกโดยไม่มีทางต่อสู้ตัดสินใจยอมลาออกจากการรักษาการ
ถามว่า มวลมหาประชาชนจะยุติการชุมนุมทันทีเลยหรือไม่
ถ้าเชื่อตามคำประกาศของท่านผู้นำก็เก็บข้าวของกลับบ้าน เพราะบรรลุวัตถุประสงค์
ได้ชัยชนะแล้ว เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง สภาผู้แทนฯก็ไม่มี รัฐบาลก็ไม่มี
ต้องหานายกรัฐมนตรีใหม่
ถามต่อว่า ใครจะทำหน้าที่ตรงนี้ คณะท่านผู้นำ หรือวุฒิสภาทาส
(จำนวนเท่าไหร่ไม่รู้) ที่ยังตกค้างอยู่
แต่ช้าก่อนต๋อย ลืมไป ท่านผู้นำบอกว่า
นายกฯลาออกไม่พอ ต้องประธานวุฒิสภาด้วย เพราะทำตัวเป็นขี้ข้าศัตรูประชาชน
ถ้าประธานวุฒิสภาทาสยังไม่ลาออกด้วย จะเก็บของกลับบ้านไปนอนด้วยความ
สบายใจได้อย่างไร
ไหนพวกสมาชิกวุฒิสภาขี้ข้าที่ยังอยู่อีกเล่า ยังไม่ได้ลาออกตามไปด้วยจะทำอย่างไร
จะต้องขับไล่ไสส่งให้พ้นไปเสียคราวเดียวกันเลยดีไหม ขออีกสักสองสามวันนะครับพี่น้อง
สมมุติต่อไปว่า ถ้าประธานและวุฒิสภาขี้ข้า เกิดสำนึกในความผิด
ยอมตัดสินใจลาออก แล้วยังไงต่อไป
กระบวนการหานายกรัฐมนตรีใหม่ รัฐบาลประชาชน สภาประชาชน
ระหว่างคณะท่านผู้นำ กับประธานวุฒิสภาผู้ทำหน้าที่แทนคนที่ลาออกไป
และวุฒิสมาชิกที่ยังเหลืออยู่ จะมีกระบวนการตัดสิน เพื่อเสนอชื่ออย่างไร
มวลมหาประชาชนมีโอกาสได้รับรู้และมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจบ้างหรือไม่ อย่างไร
เพียงแค่ว่าคณะท่านผู้นำที่มีบทบาทอำนาจในการตัดสินใจที่ชัดเจนเป็นใครบ้าง
จำนวนเท่าไร ยังเป็นเงารางๆ อยู่ในมุมมืด อีกส่วนหนึ่ง
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ยึดเอาอำนาจ สิทธิขาดของมวลมหาประชาชนอีกไพศาล
ไปทำการแทน ขอเวลาเพียง 1-2 ปี จัดระเบียบประเทศก่อนแล้วค่อยเลือกตั้ง
มวลมหาประชาชนจะเชื่อใจได้อย่างไรว่า เวลาเพียงแค่ปี สองปี
จะเพียงพอกับการปฏิรูปประเทศ ในเมื่อยังไม่ได้รับรู้เลยว่าจะปฏิรูปอะไร อย่างไร
จึงจะสามารถกะการเวลาได้ว่าจะเป็นไปตามที่ท่านผู้นำประกาศไว้จริงหรือไม่
ไม่มีขอขยายเวลาต่อไปไม่สิ้นสุด
ที่สำคัญ ก็ในเมื่ออำนาจกลับมาอยู่ในมือของประชาชน มีรัฐบาลของประชาชน
สภาของประชาชน ที่ดีที่สุดแล้ว จะคืนอำนาจกลับไปให้ประชาชนที่ไหนอีกทำไม
จะกลับไปเข้าทางศัตรูประชาชนเสียเปล่าๆ
เอ้าไม่ว่ากัน ท่านผู้นำบอกว่า ต้องเปลี่ยน แปลงให้ประชาชนคนดีคนอื่นๆ
เข้ามาสลับเปลี่ยนหมุนเวียนบ้าง แต้ต้องปฏิรูปก่อน
ถามอย่างเดิม ว่าปฏิรูปอะไร อย่างไร
ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการปกครอง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ
ก็ที่ผ่านมาล้วนมีพิมพ์เขียวมาแล้วทั้งสิ้น แต่เพราะแย่งกันเป็นใหญ่เลยไม่เคยสำเร็จ
จึงต้องมีรัฐบาลประชาชน สภาประชาชนมาจัดการแทน
แต่มีปัญหาวิธีการ "ขอข้าฯจัดการแทนเอง" ยังเต็มไปด้วยคำถามอีกมากมาย
เพียงแค่ข้อเดียว ปฏิรูปเดียว คือ ปฏิรูปสื่อ
ในเมื่อท่านผู้นำประกาศความเชื่อที่ถูกต้อง ที่ดีที่สุดไปแล้วว่า สื่อต้องเลือกข้าง
ความเป็นกลางไม่มี
สื่อต้องรายงานเฉพาะเรื่องราวของประชาชน เรื่องของศัตรูประชาชนรายงานไม่ได้
รายงานแต่เรื่องดีๆ โป๊ๆ เปลือยๆ ไม่เอา (ฮา)
เมื่อเป็นเช่นนั้น การทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเปิดเผยโปร่งใส
การรายงานความจริงอันหลากหลาย ตามปรัชญาวิชาชีพที่ควรจะเป็น ใครจะทำ
สิทธิ เสรีภาพในการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ เสนอความคิดเห็นต่าง
เสรีภาพของเสียงส่วนน้อย ยังคงมีอยู่หรือไม่ภายใต้แนวคิดสื่อต้องเลือกข้าง
ใครคิดต่าง เห็นต่าง ไม่ยอมทำตาม เชื่อตาม เป็นศัตรูประชาชน เป็นขี้ข้าศัตรูประชาชน
ท่านผู้นำจงเจริญ
ถามว่า แล้วทางเลือกหรือข้อเสนอของผมคืออะไร
บอกได้ว่า เมื่อมวลมหาประชาชนลุกขึ้นมาพิทักษ์สิทธิของตัวเองและส่วนรวมได้
มากมายขนาดนี้ ท่านผู้นำจะกกกอดอำนาจของพวกเขาเอาไว้จัดการแทนต่อไปทำไม
นั่นแสดงว่า ไม่เชื่อมั่นในพลังมวลมหาประชาชนอย่างที่ป่าวประกาศจริง
ฉะนั้น คืนอำนาจไปให้เขาตัดสินใจเองโดยตรง ให้ทุกคนแบกรับภาระความรับผิดชอบ
อนาคตร่วมกัน ไม่ต้องแบกรับไว้คนเดียว กลุ่มเดียว ชวนกันเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน
เสียเฉยๆ ไม่เห็นจะยากและเสียของตรงไหน เพราะที่ผ่านมาทำดีที่สุดแล้ว
ให้มวลมหาประชาชนตัดสินใจเลือก ระหว่างประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ กับ สภาประชาชน
รัฐบาลประชาชน เลือกผู้ว่าฯ ปฏิรูปตำรวจ จะเลือกของใหม่ที่ดีกว่า หรือของเก่าที่เน่าเฟะ
ให้มันรู้ไป ก็เท่านั้นเอง
หยุดคิดได้แล้ว ปฏิวัติทั้งทีอย่าให้เสียของ ไม่เสียของต้องเอาคนเลวไปตัดหัวให้หมดทั้ง
แผ่นดิน อย่างนั้นหรือ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ฉันใด
ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไม่ได้มาด้วยการบีบบังคับ ฉันนั้น
.............
(ที่มา:มติชนรายวัน 19 ธ.ค.2556)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1387452337&grpid=&catid=02&subcatid=0207
ไม่อยากเห็น ใครมาบอกว่า นี่เป็น "มติชิน" แต่อยากเห็นการโต้แย้งด้วยเหตุผล
และข้อมูล ทำกันได้ไหม มิตรสหายต่างอุดมการณ์
เราผ่านประชาธิปไตยทางลัดมาหลายรอบแล้ว
ไม่รู้คิดกันได้อย่างไร จะต้องพัฒนาประชาธิปไตย ด้วยการปิดเทอม นักการเมือง
เว้นวรรค การเลือกตั้ง เหมือนกับว่า พอเปิดเทอม ปุ๊บ จะกลายเป็นประชาธิปไตยทันที
แล้วอีกไม่กี่ปี ก็จะขอเว้นวรรค กันอีก ก็เลยเป็นประเทศด้อยพัฒนาประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง
แถม ให้อีก 1 คอลัมน์ จาก "ไทยรัฐ"
เจ็บแสบ ...... แม่ลูกจันทร์ ไทยรัฐออนไลน์
เก่าในขวดใหม่” ที่มีขนาดใหญ่กว่าขวดเก่า
เพิ่ม กก.บริหารพรรคจาก 19 คน เป็น 35 คน เพิ่มตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
รองเลขาธิการพรรค และเพิ่มตัวแทนสาขาพรรคตามโครงสร้างพรรคที่ปฏิรูปใหม่
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง กก.บริหารพรรคหลายตำแหน่ง
แต่อำนาจตัดสินใจยังรวมศูนย์อยู่ที่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่
1, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในฐานะผู้นำพรรคโดยตำแหน่ง
2, สุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงลาออกไปแล้ว แต่ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในพรรคประชาธิปัตย์
เปลี่ยนโครงสร้างพรรคใหม่ แต่ศูนย์อำนาจในพรรคยังไม่เปลี่ยน
“อภิสิทธิ์–สุเทพ” ยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการกำหนดอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์
จะเลี้ยวซ้าย? หรือเลี้ยวขวา? จะเดินหน้า? หรือถอยหลัง? จะลงเลือกตั้ง?
หรือไม่ลงเลือกตั้ง? อยู่ที่การตัดสินใจของ “สุเทพ–อภิสิทธิ์”
“แม่ลูกจันทร์” เอาโผ กก.บริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ มาเปรียบเทียบกับ
กก.บริหารชุดเก่า
สรุปว่าจุดแข็งของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่คือการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคจาก
“เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็น “จุติ ไกรฤกษ์” ซึ่งเก๋าเกมกว่า
แต่จุดอ่อนของคณะ กก.บริหารพรรคชุดใหม่ คือการหายไปของขุนพลคนสำคัญ
กรณ์ จาติกวณิช ที่ประกาศเว้นวรรค ไม่รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค และ
กก.บริหารพรรคชุดใหม่
รวมทั้ง “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” อดีตเลขาธิการอาเซียน ที่ขอถอนตัวไม่รับ
ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค อีกคนหนึ่ง
เพราะ “กรณ์” และ “ดร.สุรินทร์” มีศักยภาพสูงเด่นที่จะขึ้นมาเป็น
ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่
ทั้ง 2 คน เป็น “จุดขาย” ของพรรคประชาธิปัตย์
เป็นผู้มีศักยภาพโดดเด่นเหนือกว่า ส.ส.ประชาธิปัตย์คนอื่นๆที่จะขึ้นสู่ตำแหน่ง
“หัวหน้าพรรคคนใหม่”
แต่คนที่ “แม่ลูกจันทร์” เสียดายที่สุด คือ “อลงกรณ์ พลบุตร” ขุนพลใหญ่
ที่รับใช้พรรคประชาธิปัตย์มาอย่างซื่อสัตย์
“อลงกรณ์” เป็นหัวหอกที่ลุกขึ้นเรียกร้องให้มีการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ครั้งใหญ่
เป็นขุนพลคนเดียวที่กล้าพูดเปิดเผยว่าก่อนจะคิดถึงการปฏิรูปประเทศไทย
พรรคประชาธิปัตย์ต้องปฏิรูปตัวเองเสียก่อน
“อลงกรณ์” ย้ำว่า ระบบพรรคการเมือง 2 ขั้ว ทำให้ประชาธิปัตย์จำเป็นต้องปรับตัว
ให้เป็น “ทางเลือก” ที่ดีกว่า
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์คิดจะชนะพรรคเพื่อไทย ต้องเปิดกว้างให้คนนอกเข้ามา
ร่วมกำหนดนโยบายพรรค และปฏิรูปพรรคทั้งระบบ
ถ้าไม่อยากพ่ายแพ้พรรคเพื่อไทยซ้ำซาก พรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่ปิดตัวเองอย่างเก่า
“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าข้อเสนอปฏิรูปพรรคของ “อลงกรณ์” เป็นมุมมองที่ถูกต้อง
และตรงไปตรงมาที่สุด
เพียงแต่การออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปพรรคเป็นการแหกม่านประเพณีพรรค
ที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
ผลของความปรารถนาดีต่อพรรคประชาธิปัตย์ของ “อลงกรณ์” จึงถูกมองว่า
เป็นการโจมตีพรรคไปซะฉิบ
ด้วยเหตุฉะนี้ “อลงกรณ์” จึงโดนเชือดหลุดตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคใน
การปฏิรูปโครงสร้างพรรคใหม่
คนที่เรียกร้องให้ปฏิรูปพรรคกลายเป็นเหยื่อปฏิรูปพรรคอย่างเจ็บแสบ
การเมืองเค้าเล่นกันโหดอย่างนี้แหละ
ใครทนไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่พรรคอื่น.
"แม่ลูกจันทร์"
http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/390300
วันนี้ เหล้าเก่า ออกตัวแรง เดินสาย เกลี้ยกล่อมพรรคการเมือง
เลื่อนการเลือกตั้ง ...เหอะ
พร้อมๆกับกปปส. เดินสายตามท้องถนน ไล่รัฐบาล เว้นวรรค การเลือกตั้ง
ประชาธิปไตย(ทางลัด) จงเจริญ โดย สมหมาย ปาริจฉัตต์ มติชนออนไลน์ .... เจ็บแสบ ... แม่ลูกจันทร์ ไทยรัฐออนไลน์
ถูกผู้ใหญ่รังแกโดยไม่มีทางต่อสู้ตัดสินใจยอมลาออกจากการรักษาการ
ถามว่า มวลมหาประชาชนจะยุติการชุมนุมทันทีเลยหรือไม่
ถ้าเชื่อตามคำประกาศของท่านผู้นำก็เก็บข้าวของกลับบ้าน เพราะบรรลุวัตถุประสงค์
ได้ชัยชนะแล้ว เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมือง สภาผู้แทนฯก็ไม่มี รัฐบาลก็ไม่มี
ต้องหานายกรัฐมนตรีใหม่
ถามต่อว่า ใครจะทำหน้าที่ตรงนี้ คณะท่านผู้นำ หรือวุฒิสภาทาส
(จำนวนเท่าไหร่ไม่รู้) ที่ยังตกค้างอยู่
แต่ช้าก่อนต๋อย ลืมไป ท่านผู้นำบอกว่า
นายกฯลาออกไม่พอ ต้องประธานวุฒิสภาด้วย เพราะทำตัวเป็นขี้ข้าศัตรูประชาชน
ถ้าประธานวุฒิสภาทาสยังไม่ลาออกด้วย จะเก็บของกลับบ้านไปนอนด้วยความ
สบายใจได้อย่างไร
ไหนพวกสมาชิกวุฒิสภาขี้ข้าที่ยังอยู่อีกเล่า ยังไม่ได้ลาออกตามไปด้วยจะทำอย่างไร
จะต้องขับไล่ไสส่งให้พ้นไปเสียคราวเดียวกันเลยดีไหม ขออีกสักสองสามวันนะครับพี่น้อง
สมมุติต่อไปว่า ถ้าประธานและวุฒิสภาขี้ข้า เกิดสำนึกในความผิด
ยอมตัดสินใจลาออก แล้วยังไงต่อไป
กระบวนการหานายกรัฐมนตรีใหม่ รัฐบาลประชาชน สภาประชาชน
ระหว่างคณะท่านผู้นำ กับประธานวุฒิสภาผู้ทำหน้าที่แทนคนที่ลาออกไป
และวุฒิสมาชิกที่ยังเหลืออยู่ จะมีกระบวนการตัดสิน เพื่อเสนอชื่ออย่างไร
มวลมหาประชาชนมีโอกาสได้รับรู้และมีส่วนร่วมคิด ร่วมตัดสินใจบ้างหรือไม่ อย่างไร
เพียงแค่ว่าคณะท่านผู้นำที่มีบทบาทอำนาจในการตัดสินใจที่ชัดเจนเป็นใครบ้าง
จำนวนเท่าไร ยังเป็นเงารางๆ อยู่ในมุมมืด อีกส่วนหนึ่ง
ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ยึดเอาอำนาจ สิทธิขาดของมวลมหาประชาชนอีกไพศาล
ไปทำการแทน ขอเวลาเพียง 1-2 ปี จัดระเบียบประเทศก่อนแล้วค่อยเลือกตั้ง
มวลมหาประชาชนจะเชื่อใจได้อย่างไรว่า เวลาเพียงแค่ปี สองปี
จะเพียงพอกับการปฏิรูปประเทศ ในเมื่อยังไม่ได้รับรู้เลยว่าจะปฏิรูปอะไร อย่างไร
จึงจะสามารถกะการเวลาได้ว่าจะเป็นไปตามที่ท่านผู้นำประกาศไว้จริงหรือไม่
ไม่มีขอขยายเวลาต่อไปไม่สิ้นสุด
ที่สำคัญ ก็ในเมื่ออำนาจกลับมาอยู่ในมือของประชาชน มีรัฐบาลของประชาชน
สภาของประชาชน ที่ดีที่สุดแล้ว จะคืนอำนาจกลับไปให้ประชาชนที่ไหนอีกทำไม
จะกลับไปเข้าทางศัตรูประชาชนเสียเปล่าๆ
เอ้าไม่ว่ากัน ท่านผู้นำบอกว่า ต้องเปลี่ยน แปลงให้ประชาชนคนดีคนอื่นๆ
เข้ามาสลับเปลี่ยนหมุนเวียนบ้าง แต้ต้องปฏิรูปก่อน
ถามอย่างเดิม ว่าปฏิรูปอะไร อย่างไร
ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปการปกครอง ปฏิรูปเศรษฐกิจ ปฏิรูปกองทัพ ปฏิรูปตำรวจ
ก็ที่ผ่านมาล้วนมีพิมพ์เขียวมาแล้วทั้งสิ้น แต่เพราะแย่งกันเป็นใหญ่เลยไม่เคยสำเร็จ
จึงต้องมีรัฐบาลประชาชน สภาประชาชนมาจัดการแทน
แต่มีปัญหาวิธีการ "ขอข้าฯจัดการแทนเอง" ยังเต็มไปด้วยคำถามอีกมากมาย
เพียงแค่ข้อเดียว ปฏิรูปเดียว คือ ปฏิรูปสื่อ
ในเมื่อท่านผู้นำประกาศความเชื่อที่ถูกต้อง ที่ดีที่สุดไปแล้วว่า สื่อต้องเลือกข้าง
ความเป็นกลางไม่มี
สื่อต้องรายงานเฉพาะเรื่องราวของประชาชน เรื่องของศัตรูประชาชนรายงานไม่ได้
รายงานแต่เรื่องดีๆ โป๊ๆ เปลือยๆ ไม่เอา (ฮา)
เมื่อเป็นเช่นนั้น การทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบเพื่อให้เกิดความเปิดเผยโปร่งใส
การรายงานความจริงอันหลากหลาย ตามปรัชญาวิชาชีพที่ควรจะเป็น ใครจะทำ
สิทธิ เสรีภาพในการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ เสนอความคิดเห็นต่าง
เสรีภาพของเสียงส่วนน้อย ยังคงมีอยู่หรือไม่ภายใต้แนวคิดสื่อต้องเลือกข้าง
ใครคิดต่าง เห็นต่าง ไม่ยอมทำตาม เชื่อตาม เป็นศัตรูประชาชน เป็นขี้ข้าศัตรูประชาชน
ท่านผู้นำจงเจริญ
ถามว่า แล้วทางเลือกหรือข้อเสนอของผมคืออะไร
บอกได้ว่า เมื่อมวลมหาประชาชนลุกขึ้นมาพิทักษ์สิทธิของตัวเองและส่วนรวมได้
มากมายขนาดนี้ ท่านผู้นำจะกกกอดอำนาจของพวกเขาเอาไว้จัดการแทนต่อไปทำไม
นั่นแสดงว่า ไม่เชื่อมั่นในพลังมวลมหาประชาชนอย่างที่ป่าวประกาศจริง
ฉะนั้น คืนอำนาจไปให้เขาตัดสินใจเองโดยตรง ให้ทุกคนแบกรับภาระความรับผิดชอบ
อนาคตร่วมกัน ไม่ต้องแบกรับไว้คนเดียว กลุ่มเดียว ชวนกันเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน
เสียเฉยๆ ไม่เห็นจะยากและเสียของตรงไหน เพราะที่ผ่านมาทำดีที่สุดแล้ว
ให้มวลมหาประชาชนตัดสินใจเลือก ระหว่างประชาธิปไตยทุนนิยมสามานย์ กับ สภาประชาชน
รัฐบาลประชาชน เลือกผู้ว่าฯ ปฏิรูปตำรวจ จะเลือกของใหม่ที่ดีกว่า หรือของเก่าที่เน่าเฟะ
ให้มันรู้ไป ก็เท่านั้นเอง
หยุดคิดได้แล้ว ปฏิวัติทั้งทีอย่าให้เสียของ ไม่เสียของต้องเอาคนเลวไปตัดหัวให้หมดทั้ง
แผ่นดิน อย่างนั้นหรือ
กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ฉันใด
ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ไม่ได้มาด้วยการบีบบังคับ ฉันนั้น
.............
(ที่มา:มติชนรายวัน 19 ธ.ค.2556)
ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊กกับมติชนออนไลน์
www.facebook.com/MatichonOnline
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1387452337&grpid=&catid=02&subcatid=0207
ไม่อยากเห็น ใครมาบอกว่า นี่เป็น "มติชิน" แต่อยากเห็นการโต้แย้งด้วยเหตุผล
และข้อมูล ทำกันได้ไหม มิตรสหายต่างอุดมการณ์
เราผ่านประชาธิปไตยทางลัดมาหลายรอบแล้ว
ไม่รู้คิดกันได้อย่างไร จะต้องพัฒนาประชาธิปไตย ด้วยการปิดเทอม นักการเมือง
เว้นวรรค การเลือกตั้ง เหมือนกับว่า พอเปิดเทอม ปุ๊บ จะกลายเป็นประชาธิปไตยทันที
แล้วอีกไม่กี่ปี ก็จะขอเว้นวรรค กันอีก ก็เลยเป็นประเทศด้อยพัฒนาประชาธิปไตยอยู่นั่นเอง
แถม ให้อีก 1 คอลัมน์ จาก "ไทยรัฐ"
เจ็บแสบ ...... แม่ลูกจันทร์ ไทยรัฐออนไลน์
เก่าในขวดใหม่” ที่มีขนาดใหญ่กว่าขวดเก่า
เพิ่ม กก.บริหารพรรคจาก 19 คน เป็น 35 คน เพิ่มตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค
รองเลขาธิการพรรค และเพิ่มตัวแทนสาขาพรรคตามโครงสร้างพรรคที่ปฏิรูปใหม่
“แม่ลูกจันทร์” กราบเรียนว่าถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง กก.บริหารพรรคหลายตำแหน่ง
แต่อำนาจตัดสินใจยังรวมศูนย์อยู่ที่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่
1, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในฐานะผู้นำพรรคโดยตำแหน่ง
2, สุเทพ เทือกสุบรรณ ถึงลาออกไปแล้ว แต่ยังเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในพรรคประชาธิปัตย์
เปลี่ยนโครงสร้างพรรคใหม่ แต่ศูนย์อำนาจในพรรคยังไม่เปลี่ยน
“อภิสิทธิ์–สุเทพ” ยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการกำหนดอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์
จะเลี้ยวซ้าย? หรือเลี้ยวขวา? จะเดินหน้า? หรือถอยหลัง? จะลงเลือกตั้ง?
หรือไม่ลงเลือกตั้ง? อยู่ที่การตัดสินใจของ “สุเทพ–อภิสิทธิ์”
“แม่ลูกจันทร์” เอาโผ กก.บริหารพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่ มาเปรียบเทียบกับ
กก.บริหารชุดเก่า
สรุปว่าจุดแข็งของกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่คือการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคจาก
“เฉลิมชัย ศรีอ่อน” เป็น “จุติ ไกรฤกษ์” ซึ่งเก๋าเกมกว่า
แต่จุดอ่อนของคณะ กก.บริหารพรรคชุดใหม่ คือการหายไปของขุนพลคนสำคัญ
กรณ์ จาติกวณิช ที่ประกาศเว้นวรรค ไม่รับตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค และ
กก.บริหารพรรคชุดใหม่
รวมทั้ง “ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ” อดีตเลขาธิการอาเซียน ที่ขอถอนตัวไม่รับ
ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค อีกคนหนึ่ง
เพราะ “กรณ์” และ “ดร.สุรินทร์” มีศักยภาพสูงเด่นที่จะขึ้นมาเป็น
ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่
ทั้ง 2 คน เป็น “จุดขาย” ของพรรคประชาธิปัตย์
เป็นผู้มีศักยภาพโดดเด่นเหนือกว่า ส.ส.ประชาธิปัตย์คนอื่นๆที่จะขึ้นสู่ตำแหน่ง
“หัวหน้าพรรคคนใหม่”
แต่คนที่ “แม่ลูกจันทร์” เสียดายที่สุด คือ “อลงกรณ์ พลบุตร” ขุนพลใหญ่
ที่รับใช้พรรคประชาธิปัตย์มาอย่างซื่อสัตย์
“อลงกรณ์” เป็นหัวหอกที่ลุกขึ้นเรียกร้องให้มีการปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ครั้งใหญ่
เป็นขุนพลคนเดียวที่กล้าพูดเปิดเผยว่าก่อนจะคิดถึงการปฏิรูปประเทศไทย
พรรคประชาธิปัตย์ต้องปฏิรูปตัวเองเสียก่อน
“อลงกรณ์” ย้ำว่า ระบบพรรคการเมือง 2 ขั้ว ทำให้ประชาธิปัตย์จำเป็นต้องปรับตัว
ให้เป็น “ทางเลือก” ที่ดีกว่า
ถ้าพรรคประชาธิปัตย์คิดจะชนะพรรคเพื่อไทย ต้องเปิดกว้างให้คนนอกเข้ามา
ร่วมกำหนดนโยบายพรรค และปฏิรูปพรรคทั้งระบบ
ถ้าไม่อยากพ่ายแพ้พรรคเพื่อไทยซ้ำซาก พรรคประชาธิปัตย์ต้องไม่ปิดตัวเองอย่างเก่า
“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่าข้อเสนอปฏิรูปพรรคของ “อลงกรณ์” เป็นมุมมองที่ถูกต้อง
และตรงไปตรงมาที่สุด
เพียงแต่การออกมาเรียกร้องให้ปฏิรูปพรรคเป็นการแหกม่านประเพณีพรรค
ที่ไม่มีใครกล้าทำมาก่อน
ผลของความปรารถนาดีต่อพรรคประชาธิปัตย์ของ “อลงกรณ์” จึงถูกมองว่า
เป็นการโจมตีพรรคไปซะฉิบ
ด้วยเหตุฉะนี้ “อลงกรณ์” จึงโดนเชือดหลุดตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคใน
การปฏิรูปโครงสร้างพรรคใหม่
คนที่เรียกร้องให้ปฏิรูปพรรคกลายเป็นเหยื่อปฏิรูปพรรคอย่างเจ็บแสบ
การเมืองเค้าเล่นกันโหดอย่างนี้แหละ
ใครทนไม่ได้ก็ย้ายไปอยู่พรรคอื่น.
"แม่ลูกจันทร์"
http://www.thairath.co.th/column/pol/greenhead/390300
วันนี้ เหล้าเก่า ออกตัวแรง เดินสาย เกลี้ยกล่อมพรรคการเมือง
เลื่อนการเลือกตั้ง ...เหอะ
พร้อมๆกับกปปส. เดินสายตามท้องถนน ไล่รัฐบาล เว้นวรรค การเลือกตั้ง