"อองซาน ซูจี" ส่งสัญญาณบอยคอตเลือกตั้งพม่าปี 2558
หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับทหารที่ห้ามนางเป็นประธานาธิบดีเหตุเพราะมีสามี-ลูกเป็นคนต่างชาติ ระบุใครก็ไม่ควรลงชิงชัยในการเลือกตั้งที่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม
นางซูจีประกาศท่าทีดังกล่าวระหว่างการเดินสายรณรงค์เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขตพะโคเมื่อวันอาทิตย์ โดยถ้อยแถลงของนางที่กล่าวต่อหน้าผู้สนับสนุนหลายพันคน ณ ที่ทำการพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ในเมืองทารยารวดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในสื่อท้องถิ่นของพม่าและทางเฟซบุ๊กของพรรค ซึ่งสื่อต่างประเทศหลายสำนักรวมถึงวอลสตรีทเจอร์นัลนำมารายงานเมื่อวันพุธที่ 18 ธันวาคม
"ใครก็ไม่ควรเข้าร่วมในการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม" คำกล่าวของผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยจนถูกรัฐบาลทหารกักขังนานรวม 15 ปี จากช่วง 21 ปีก่อนที่นางจะได้รับอิสรภาพในปี 2553 นางซูจีระบุด้วยว่า นักการเมือง "ที่มีเกียรติทางศีลธรรม" ก็ไม่ควรมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะมีขึ้นในปี 2558
ด้านยาน วิน โฆษกเอ็นแอลดี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารว่า ถึงขณะนี้พรรคยังไม่ตัดสินใจว่าจะส่งผู้สมัครหรือไม่
รัฐธรรมนูญฉบับปัญหานี้ร่างขึ้นในสมัยรัฐบาลทหารเมื่อปี 2551 ซึ่งมีมาตราที่ห้ามบุคคลที่มีคู่สมรสและบุตรเป็นชาวต่างชาติเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง นางซูจีนั้นสมรสกับชาวอังกฤษและมีบุตรสัญชาติอังกฤษด้วยกัน 2 คน อย่างไรก็ดี ภายหลังจัดการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ซึ่งพรรคเอ็นแอลดีไม่ส่งผู้สมัคร พม่าก็มีรัฐบาลพลเรือนในนามซึ่งนำโดยประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่ผลักดันการปฏิรูปการเมืองและสังคม และทำให้เอ็นแอลดียอมส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งซ่อมในปี 2553 ซึ่งพรรคชนะที่นั่งถึง 43 จาก 45 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งต่อไปในอีก 2 ปีข้างหน้า เอ็นแอลดียังมีโอกาสสูงที่จะชนะเสียงข้างมาก และมีความเป็นไปได้ที่พรรคจะเลือกนางซูจีเป็นประธานาธิบดีหากนางสามารถนั่งเก้าอี้นี้ได้
หลังจากมีอิสรเสรีในการเดินทางหลังได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ที่ทำให้สหรัฐและหลายชาติตะวันตกระงับการคว่ำบาตรพม่า นางซูจีได้เดินสายเยือนหลายประเทศในยุโรป และได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปที่ประชุมกันที่กรุงบรัสเซลส์สัปดาห์นี้เพิ่งจะออกมาเรียกร้องผ่านแถลงการณ์ร่วม ขอให้พม่าเดินหน้าปฏิรูประบบการเลือกตั้งต่อไป และว่ารัฐธรรมนูญควร "สอดคล้องกับความต้องการของประชาธิปไตยสมัยใหม่"
เดวิด สไตน์เบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า สมมติว่าการเลือกตั้งปี 2558 มีความเสรีและยุติธรรม แต่ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำถามสำคัญก็คือ ปฏิกิริยาด้านนโยบายของสหรัฐจะเป็นอย่างไร เขาเสริมด้วยว่า สหรัฐอาจทบทวนการแซงก์ชั่นพม่าก็เป็นได้
เมื่อเดือนกรกฎาคม รัฐบาลพลเรือนของพม่าได้ตั้งคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนฯ 109 คน ขึ้นมาทบทวนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนอกจากการห้ามนางซูจีดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ยังมีการกันโควตา 25% ไว้สำหรับกองทัพ คาดว่าร่างข้อเสนอเบื้องต้นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำเสนอต่อสาธารณะได้ภายในสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า แต่ฝ่ายที่ปรึกษาของนางซูจีบางคนยังกลัวว่ากระบวนการจะถูกลากยาวออกไป หรืออาจจะคลุมเครือ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผนหาเสียงของนางซูจี
นอกจากนี้ตัวแทนในส่วนของพรรคในคณะกรรมาธิการยังมีแค่ 7 คน และทำให้นางซูจีพยายามผลักดันให้พรรคมีปากมีเสียงมากขึ้นในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยการเสนอขอนัดหารือ 4 ฝ่าย เมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยประกอบด้วย ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ผู้บัญชาการทหารบก และตัวนาง แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ
อดีตนายพลบางคนในพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา ซึ่งขึ้นเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2553 ที่เอ็นแอลดีบอยคอต เคยออกมากล่าวเตือนอย่างเปิดเผยถึงการเร่งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานด้วยว่า กองทัพพม่ายังไม่ได้แสดงท่าทีแน่ชัดว่าจะสนับสนุนให้นางซูจีลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ แต่ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อของพม่าว่าพวกตนสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของประเทศและจะทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน
"ยังมีคนที่วิตกเกี่ยวกับการที่พรรคของเราจะขึ้นสู่อำนาจในการบริหารประเทศ" ซูจีกล่าว "พวกเขาวิตกว่าเราจะเข้าไปแก้แค้นหากเรามีอำนาจ แต่เราจะไม่ทำเช่นนั้น".
http://www.thaipost.net/news/191213/83604
ออง ซาน ซูจี ผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย
หากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับทหารที่ห้ามนางเป็นประธานาธิบดีเหตุเพราะมีสามี-ลูกเป็นคนต่างชาติ ระบุใครก็ไม่ควรลงชิงชัยในการเลือกตั้งที่ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม
นางซูจีประกาศท่าทีดังกล่าวระหว่างการเดินสายรณรงค์เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เขตพะโคเมื่อวันอาทิตย์ โดยถ้อยแถลงของนางที่กล่าวต่อหน้าผู้สนับสนุนหลายพันคน ณ ที่ทำการพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ในเมืองทารยารวดี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ถูกตีพิมพ์เผยแพร่ในสื่อท้องถิ่นของพม่าและทางเฟซบุ๊กของพรรค ซึ่งสื่อต่างประเทศหลายสำนักรวมถึงวอลสตรีทเจอร์นัลนำมารายงานเมื่อวันพุธที่ 18 ธันวาคม
"ใครก็ไม่ควรเข้าร่วมในการแข่งขันที่จัดขึ้นโดยให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้เปรียบอย่างไม่ยุติธรรม" คำกล่าวของผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพจากการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยจนถูกรัฐบาลทหารกักขังนานรวม 15 ปี จากช่วง 21 ปีก่อนที่นางจะได้รับอิสรภาพในปี 2553 นางซูจีระบุด้วยว่า นักการเมือง "ที่มีเกียรติทางศีลธรรม" ก็ไม่ควรมีส่วนร่วมในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าที่จะมีขึ้นในปี 2558
ด้านยาน วิน โฆษกเอ็นแอลดี ให้สัมภาษณ์เมื่อวันอังคารว่า ถึงขณะนี้พรรคยังไม่ตัดสินใจว่าจะส่งผู้สมัครหรือไม่
รัฐธรรมนูญฉบับปัญหานี้ร่างขึ้นในสมัยรัฐบาลทหารเมื่อปี 2551 ซึ่งมีมาตราที่ห้ามบุคคลที่มีคู่สมรสและบุตรเป็นชาวต่างชาติเข้ารับตำแหน่งทางการเมือง นางซูจีนั้นสมรสกับชาวอังกฤษและมีบุตรสัญชาติอังกฤษด้วยกัน 2 คน อย่างไรก็ดี ภายหลังจัดการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ซึ่งพรรคเอ็นแอลดีไม่ส่งผู้สมัคร พม่าก็มีรัฐบาลพลเรือนในนามซึ่งนำโดยประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ที่ผลักดันการปฏิรูปการเมืองและสังคม และทำให้เอ็นแอลดียอมส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งซ่อมในปี 2553 ซึ่งพรรคชนะที่นั่งถึง 43 จาก 45 ที่นั่ง
การเลือกตั้งครั้งต่อไปในอีก 2 ปีข้างหน้า เอ็นแอลดียังมีโอกาสสูงที่จะชนะเสียงข้างมาก และมีความเป็นไปได้ที่พรรคจะเลือกนางซูจีเป็นประธานาธิบดีหากนางสามารถนั่งเก้าอี้นี้ได้
หลังจากมีอิสรเสรีในการเดินทางหลังได้รับเลือกตั้งเข้าเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ ที่ทำให้สหรัฐและหลายชาติตะวันตกระงับการคว่ำบาตรพม่า นางซูจีได้เดินสายเยือนหลายประเทศในยุโรป และได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปที่ประชุมกันที่กรุงบรัสเซลส์สัปดาห์นี้เพิ่งจะออกมาเรียกร้องผ่านแถลงการณ์ร่วม ขอให้พม่าเดินหน้าปฏิรูประบบการเลือกตั้งต่อไป และว่ารัฐธรรมนูญควร "สอดคล้องกับความต้องการของประชาธิปไตยสมัยใหม่"
เดวิด สไตน์เบิร์ก ผู้เชี่ยวชาญด้านพม่าจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ในกรุงวอชิงตัน กล่าวว่า สมมติว่าการเลือกตั้งปี 2558 มีความเสรีและยุติธรรม แต่ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คำถามสำคัญก็คือ ปฏิกิริยาด้านนโยบายของสหรัฐจะเป็นอย่างไร เขาเสริมด้วยว่า สหรัฐอาจทบทวนการแซงก์ชั่นพม่าก็เป็นได้
เมื่อเดือนกรกฎาคม รัฐบาลพลเรือนของพม่าได้ตั้งคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนฯ 109 คน ขึ้นมาทบทวนแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งนอกจากการห้ามนางซูจีดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ยังมีการกันโควตา 25% ไว้สำหรับกองทัพ คาดว่าร่างข้อเสนอเบื้องต้นของการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะนำเสนอต่อสาธารณะได้ภายในสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า แต่ฝ่ายที่ปรึกษาของนางซูจีบางคนยังกลัวว่ากระบวนการจะถูกลากยาวออกไป หรืออาจจะคลุมเครือ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผนหาเสียงของนางซูจี
นอกจากนี้ตัวแทนในส่วนของพรรคในคณะกรรมาธิการยังมีแค่ 7 คน และทำให้นางซูจีพยายามผลักดันให้พรรคมีปากมีเสียงมากขึ้นในกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยการเสนอขอนัดหารือ 4 ฝ่าย เมื่อเดือนพฤศจิกายน โดยประกอบด้วย ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง, ประธานสภาผู้แทนราษฎร, ผู้บัญชาการทหารบก และตัวนาง แต่ข้อเสนอนี้ถูกปฏิเสธ
อดีตนายพลบางคนในพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา ซึ่งขึ้นเป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้งปี 2553 ที่เอ็นแอลดีบอยคอต เคยออกมากล่าวเตือนอย่างเปิดเผยถึงการเร่งรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญ ขณะที่วอลสตรีทเจอร์นัลรายงานด้วยว่า กองทัพพม่ายังไม่ได้แสดงท่าทีแน่ชัดว่าจะสนับสนุนให้นางซูจีลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีหรือไม่ แต่ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อของพม่าว่าพวกตนสนับสนุนกระบวนการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของประเทศและจะทำตามเจตนารมณ์ของประชาชน
"ยังมีคนที่วิตกเกี่ยวกับการที่พรรคของเราจะขึ้นสู่อำนาจในการบริหารประเทศ" ซูจีกล่าว "พวกเขาวิตกว่าเราจะเข้าไปแก้แค้นหากเรามีอำนาจ แต่เราจะไม่ทำเช่นนั้น".
http://www.thaipost.net/news/191213/83604