แดนมิคสัญญี

นิทานก่อนนอน นิทานไร้สาระ แต่งเล่นก่อนนอนจริงๆ
คำเตือน: อาจมีเนื้อหาแทงใจผู้ฝักใฝ่ทางการเมือง...

นิทานก่อนนอน ตอน: แดนมิคสัญญี
มนุษย์ทุกผู้เมื่อไฟชีวิตมอบดับลงก็จะล่วงเข้าสู่ดินแดนอันเรียกว่ามิคสัญญี วิญญาณทั้งหมดหลั่งไหลมารวมกันเพื่อรอฟังคำพิพากษา ผู้ใดสั่งสมความดีไว้มากมายกุศลผลบุญก็จะนำพาให้ได้ไปอยู่ในดินแดนที่มีแต่ความสุข ผู้ใดทำความชั่วก็จะถูกทรมานด้วยไฟเผาผลาญและได้รับทุกขเวทนาในนรกขุมต่างๆ สำหรับเหล่าผู้ที่มีทั้งกรรมดี...และกรรมเลวปะปนกันจะได้ไปอยู่ที่ไหนนั้น พวกเขาเหล่านั้นจะถูกตัดสินที่ดินแดนมิคสัญญีแห่งนี้

วาบ... หลังจากสิ้นแสงสว่างวาบ ภาพเบื้องหน้าปรากฎผู้คนมากมายรอคอยอย่างใจจดใจจ่อภายในลานโล่งกว้างที่มีแสงสลัวจากแท่นคบเพลิงที่ตั้งอยู่รายรอบ รอบด้านมีเพียงป่าทึบมืดสนิท ต่างคนต่างยังไม่เข้าใจว่าตนเองมาอยู่ในที่แห่งนี้ทำไม

ครู่หนึ่งผ่านไป แต่สำหรับผู้ที่รอคอยอย่างไร้จุดหมาย พวกเขารู้สึกว่านั่นเป็นช่วงเวลาที่นานแสนนาน ผู้คนจำนวนหนึ่งเริ่มกระวนกระวายใจและร้อนรน บ้างก็มีท่าทีกระสับกระส่าย บ้างก็นิ่งสงบ บ้างก็ทำตัวสบายๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างที่ว่า ต่างคนต่างกรรม

ไม่นานนักหลังจากนั้น ปรากฏแสงสว่างสีทองเรืองรองขึ้นเหนือหัวพวกเขา พร้อมเสียงอันดังกังวานและชัดเจนว่า "พวกเจ้าที่ทำแต่กรรมดี จงไปอยู่กับเราเถิด"
ทันใดนั้น คนจำนวนหนึ่งในกลุ่มพวกเขาบังเกิดแสงรัศมีเรืองรองอยู่รอบตัว เสื้อผ้าแปรเปลี่ยนเป็นอาภรณ์อันวิจิตรงดงาม พวกเขาหลั่งน้ำตาด้วยความปีติ พร้อมกับลอยล่องขึ้นเหนือพื้นดินตามเจ้าของเสียงนั้นและสูงขึ้นๆ จนลับตาไป

ต่อมามีผู้มาปรากฏอยู่เหนือแผ่นฟ้าอีก และคนกลุ่มใหม่ก็บังเกิดมีรัศมีเปล่งปลั่งและลอยขึ้นตามเสียงนั้นไปอีก เวียนวนเช่นนี้ หลายต่อหลายครา

ขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์งดงามเดินออกมาทุกทิศทุกทางจากเงามืดของป่าที่อยู่รายรอบ และเริ่มพูดชักชวนผู้คนที่อยู่ในลานกว้างให้ออกไปด้วยกัน

หลายคนทยอยเดินตามคนเหล่านั้นออกไปจากลานกว้าง และหายไปทีละกลุ่มๆ บางคนก็ลุกเดินออกไปในป่าเพียงลำพัง จากนั้นก็มีผู้คนกลุ่มใหม่ผลัดเปลี่ยนออกมาชักชวนผู้คนให้ติดตามออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครเลยที่ย้อนกลับมา

ผู้คนเริ่มสงสัยว่าคนเหล่านั้นเดินไปที่ไหนหรือลอยไปที่ไหน ข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วทั้งกลุ่ม บ้างก็ว่าพวกเขาไปยังดินแดนสุขาวดี บ้างก็ว่าไปสวรรค์ บ้างก็ว่าถูกลวงไปฆ่า หรือต่างต่างนานาสุดแต่จะคาดเดากันไป

ทว่า ในจำนวนนั้นมีอยู่สองกลุ่มที่ดูโดดเด่นที่สุด

กลุ่มหนึ่ง ผู้ที่เข้ามาชักชวนได้โฆษณาว่า "พ่อแม่พี่น้อง หากมากับผม จะมีแต่ความสุขสบาย พวกท่านจะมีบ้าน มีรถ มีเงินใช้ หมู่บ้านที่ผมอยู่มีสวัสดิการพรั่งพร้อม น้ำฟรี ไฟฟรี รักษาพยาบาลฟรี โปรโมชั่นดีๆ แบบนี้ หาที่ไหนไม่ได้แล้ว มาเลยครับ มาเลย เราจะก้าวไปด้วยกันครับ" พูดจบ เขาก็เดินนำหน้าไปยังช่องเล็กๆ ของผืนป่าที่อยู่ตรงหน้า

คนกลุ่มใหญ่พากันกรูเข้าไปหาเขาเมื่อได้ยินคำว่ามีบ้าน มีรถ สวัสดิการและความร่ำรวย บางคนยังลังเลไม่แน่ใจ บางคนก็หันไปถามความเห็นจากคนข้างๆ บางคนก็ทำท่าทางเหมือนรู้ทัน แต่หลายคนก็ยังทยอยกันเข้าไปร่วมขบวนนั้นจนแถวยาวเหยียด

ข้างๆ กันนั้น ผู้นำกลุ่มอีกคนหนึ่งร้องตะโกนโหวกเหวกเรียกคนที่อยู่ในกลุ่มของตนที่มีทีท่าว่าจะเดินตามกลุ่มนั้นไป ได้ยินแผ่วๆ ว่า "พี่น้องเอ๊ย... อย่าตามมันไป มันเป็นพวกโกหกหลอกลวง อย่าไปหลงเชื่อมัน ไม่อย่างนั้นพวกคุณจะโดนหลอกจนไม่เหลืออะไรเลย ผมรู้ดี พวกคุณดูนี่ ผมจะให้พวกคุณดูอะไร" พูดจบ เขาก็หยิบกล้องส่องทางไกลออกมาแจกให้ทุกคนในกลุ่ม แล้วให้พวกเขาส่องตามไปดูจุดหมายปลายทางของคนกลุ่มที่ยาวเหยียดนั้น

"เอ้า พี่น้องทั้งหลาย มองตามที่ผมชี้ นั่น เห็นไหม เจ้าคนเดินนำหน้านั้นมันชื่อทักกี้ มันเป็นยมทูตแปลงกายมา ทางนั้นมันคือทางไปนรก"

คนในกลุ่มแต่ละคนหูผึ่งและหันลำกล้องของกล้องส่องทางไกลมองตามไป พวกเขามองเห็นชายคนเดิมที่เคยเห็นว่าเป็นชายหนุ่มท่าทางดีแต่ตอนนี้ช่างมีรูปร่างท่าทางเหมือนเป็นยมทูต

นอกจากนั้นที่ตรงกลางทาง พวกเขามองเห็นป้ายที่มีตัวหนังสือรางๆ เขียนไว้ว่า “นรกขุมที่ 3”

พวกเขาถึงกับขนลุกซู่ หันกลับมามองหน้ากันเลิกลั่ก พลางกระซิบบอกกันว่า "ปลายทางนั้นก็คือนรกขุมที่สาม"

บางคนร้องตะโกนเรียกเหล่าผู้คนที่กำลังเดินตามไปให้กลับมา “นี่ พวกคุณ กลับมาเถอะ พวกคุณกำลังโดนหลอก เจ้าคนนั้นที่นำหน้าพวกคุณมันเป็นยมทูต มันจะพาพวกคุณไปนรก” บ้างก็พยายามเดินเข้าไปฉุดดึงหลายๆ คนออกมา

เหล่าคนที่เดินตามขบวนนั้นไปรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินคำทักที่ไม่สร้างสรรค์แบบนั้น บางคนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงคิดว่า "พวกนี้มันคอยขัดขวางพวกเรา ไม่เห็นเหรอว่าความสุขอยู่ข้างหน้า มันถ่วงความเจริญจริงๆ" หลายคนออกมาตอบโต้ และพยายามผลักดันกลุ่มคนเหล่านี้ให้กลับออกไป เพราะเกรงว่าจะนำพาพวกตนและคนอื่นๆ ให้ล้าหลังคนอื่นๆ

พวกเขาเริ่มใช้ความรุนแรงกับอีกฝ่ายและพยายามผลักดันพวกพ้องของตนให้เร่งเดินไปข้างหน้า

เมื่อหัวหน้าของกลุ่มที่สองเห็นว่าสถานการณ์เริ่มมีการใช้ความรุนแรงต่อฝ่ายตน ก็บอกให้โต้ตอบกลับไป "อย่าไปกลัวมัน พี่น้อง ไอ้พวกโง่ๆ พวกนี้ ปล่อยมันไปตายให้หมด" พลางเร่งเร้าให้สมาชิกในกลุ่มโห่ร้องขับไล่กลุ่มที่กำลังทยอยออกไปว่า "พวกโง่ ควาย ฯลฯ"

หลังจากนั้นหัวหน้ากลุ่มที่สองก็ได้ประกาศกับมวลมหาสมาชิกของเขาว่า "พี่น้อง ไปกับผม ผมจะพาพวกท่านไปให้ถึงฝั่งฝัน ไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง มาเถอะครับพี่น้อง ดูนั่น ป่าละเมาะข้างหน้าคือจุดหมายแรกของเรา นั่นจะเป็นก้าวแรกของพวกเรา" พูดจบ เหล่ามวลมหาสมาชิกก็เฮขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงกันและทยอยกันเดินตามหลังผู้นำไปยังป่าละเมาะที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อถึงป่าละเมาะแล้ว ผู้นำของพวกเขาก็หันกลับมาชูมือแล้วพูดว่า "พวกเราทำสำเร็จแล้ว เราผ่านมาได้ขั้นหนึ่งแล้วพี่น้อง ไปกันต่อครับ นั่นไง เนินเขาข้างหน้า ถ้าผ่านตรงนั้นไปเราก็ไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว" มวลมหาสมาชิกส่งเสียงเซ็งแซ่อีกครั้ง พวกเขาเร่งรีบเดินไปให้ถึงจุดหมายตามคำแนะนำของผู้นำกลุ่มโดยพร้อมเพรียงกัน

"ใครไม่ไหวช่วยกันครับ พยุงกันขึ้นมา แล้วไปกันต่อ จุดหมายของเราอยู่อีกไม่ไกล" ผู้นำกลุ่มพูดขึ้นเมื่อใกล้ถึงเนิน "พวกเราจะไปพักกันตรงนั้น เมื่อถึงแล้วมากินเลี้ยงกันให้สำราญ เก็บแรงไว้ให้พร้อม"

“เฮ.....” เสียงโห่ร้องดังอื้ออึงตามหลังมาเป็นระยะๆ

หลังจากพวกเขาหยุดพักที่เนินเขาแล้ว พวกเขาเดินผ่านเนินเขานั้นพร้อมกับความหวังของจุดหมายปลายทางข้างหน้า ผู้นำกลุ่มชี้ให้ดูซุ้มประตูขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางทาง "พี่น้องครับ ผ่านตรงนั้นไป เราจะเข้าเขตพื้นที่ของพวกเราแล้ว จุดหมายของเราอยู่ในนั้นครับ"

พวกเขาเดินไปใกล้กับซุ้มประตู มีม่านแสงบางๆ กั้นไว้เป็นอาณาเขต พวกเขาเดินผ่านม่านแสงนั้นเข้าไป พลางรู้สึกหนาวยะเยือก ขนลุกซู่ขณะเดินผ่านไปนั้น พวกเขาเริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ หลังจากเดินผ่านประตูนั้นเข้ามา เส้นทางข้างหน้ายังมีอยู่ แต่พวกเขายังไม่รู้สึกถึงเป้าหมายที่รออยู่ข้างหน้า มีเพียงเสียงผู้นำที่คอยพร่ำบอกว่า "พี่น้องครับ พวกเราใกล้จะไปถึงเส้นชัยกันแล้ว อดทนกับผมอีกนิด แล้วเราจะไปถึงที่หมายแน่นอนครับ"

หลังจากเดินทางลัดเลาะป่าเขา ข้ามห้วย ฝ่าดง พวกเขาก็มาถึงที่หมาย สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขาคือท้องทุ่งเขียวขจี มีกลิ่นหอมหวนของดอกไม้ป่า ตรงกลางมีเนินซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่

"พี่น้องครับ พวกเราเร่งเดินไปที่ต้นไม้นั้นกันเถอะ ตอนนี้ผมจะนำไปก่อน แล้วเราไปเจอกันที่นั่นครับ" เหล่ามวลมหาสมาชิกโห่ร้องยินดีกับความหวังที่จะได้เห็นเป้าหมายที่อยู่หลังต้นไม้ต้นนั้น ความเหนื่อยอ่อนหายไปราวปลิดทิ้ง

พวกเขาเร่งรีบเดินทางไปยังต้นไม้ใหญ่นั้นและไปหยุดยืนรวมกลุ่มอยู่รอบๆ เนื่องจากว่า เมื่อไปถึงที่หมาย พวกเขาพบว่าที่นั่นเป็นเพียงทุ่งโล่ง ไม่มีดินแดนสวยงาม ไม่มีเหล่ากวีออกมาร้องรำทำเพลงต้อนรับเหมือนกับที่พวกเขาคิดไว้ พวกเขามองหาผู้นำ หวังว่าจะได้พบเขาอยู่ที่นั่น

“พี่น้องครับ...” เสียงผู้นำดังมาจากด้านบนต้นไม้นั้น

แต่เมื่อพวกเขาแหงนหน้ามองขึ้นไป ผู้นำของพวกเขากลับมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปกลายเป็นยมทูตอีกตนหนึ่ง

ยมฑูตแสยะยิ้ม แล้วพูดว่า “พวกเจ้ารู้ไหม ว่าข้าพาพวกเจ้ามาที่นี่ทำไม...” เขาเปลี่ยนเป็นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

กลุ่มคนที่เดินทางมาด้วยกันถึงกับสั่นสะท้าน กลุ่มคนแตกฮือ พยายามวิ่งหนีเพื่อเอาตัวรอด แต่อนิจจา ท้องทุ่งสีเขียวขจีที่เคยเห็นบัดนี้แปรสภาพเป็นพื้นหินแข็งขรุขระ เปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นไม่ต่างไปจากภาพที่เขาเห็นที่ปลายทางของยมทูตทักกี้

“พวกเจ้าไม่ต้องหนีไปไหน ไม่มีทางไหนให้พวกเจ้าหนีอีกแล้ว ข้าคือยมทูตเทือก ผู้คุมนรกขุมที่ห้า พวกเจ้าอยู่ที่นี่ทำงานรับใช้ข้าไปชั่วกัปชั่วกัลป์ก็แล้วกัน ฮ่าๆๆๆๆๆ

วิญญาณที่หลงผิดเหล่านั้นต่างต้องทนทุกข์ทรมานไปจนกว่าจะสิ้นกรรมแล้วกลับมาเกิดใหม่เป็นมนุษย์ หลังจากร่างกายมนุษย์เสื่อมสลายวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นก็ได้กลับมายังแดนมิคสัญญีนี้อีก พวกเขาไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลยว่าตนเองเคยแวะเวียนมายังนรกขุมต่างๆ เหล่านี้มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะความหลงมัวเมา เชื่อมั่นในสิ่งที่ตาเห็นและได้ยินโดยไม่ยั้งคิด ทำให้พวกเขาต้องวนเวียนอยู่ในวัฏจักรนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตราบจนชั่วกัลปวสาน.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่