บทที่ ๑๒
http://pantip.com/topic/31317192
ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึกที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้
บทที่ ๑๓
เปลวเพลิงสีส้มอมแดง แผดเผาทำลายอาคารที่พำนักชั้นบนของแม่ชีอัมพรทวีความร้อนแรงมากขึ้น โครงสร้างด้านบนซึ่งรองรับกระเบื้องหลังคาด้านหนึ่ง ทรุดตัวลงทำให้กระเบื้องแตกหักจนบางส่วนกระเด็นออกมานอกตัวอาคาร
ผู้ยืนดูเหตุการณ์รอบนอกขยับตัวหลบไปคนละทิศละทาง แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อต้นกับต่อพยุงร่างแม่ชีอัมพรพ้นจากช่องประตูออกมา ผู้ทรงศีลแปดชุดขาวหลายท่านก็ย้อนกลับเข้ามาหาสองหนุ่มอีกครั้ง
“มาทางนี้ หลบมาทางนี้ก่อน” ผู้สูงวัยท่านหนึ่งกวักมือร้องเรียก ใบหน้าดูตื่นตกใจ
ชายหนุ่มทั้งสองพาแม่ชีอัมพรไปยังอาคารหลังใกล้เคียง ย่อตัวลงประคองร่างของท่านให้นอนราบลงกับพื้น
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ดูเหมือนท่านจะสลบไปนะครับ” ต่อบอก
“ใครก็ได้เอายาดมมาเร็ว” แม่ชีร้องเรียกหาจ้าละหวั่น
“แล้วแม่หนูที่วิ่งเข้าไปทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบออกมา” แม่ชีวัยกลางคนถามขึ้น
ต้นกับต่อได้แต่เหลียวมองหน้ากัน ดังว่าตกตะลึงกับคำพูดของผู้ที่เอ่ยถาม
ไม่มีใครในที่นั้นล่วงรู้เลยว่า กัญญากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดข้างในอาคารหลังนั้น
หญิงสาวมุ่งมองไปยังช่องประตู หมายจะก้าวเดินออกไปให้พ้นเสียโดยไว หากนางกลอยกลับพุ่งเข้ากอดรัดร่างกัญญาจนทั้งคู่ล้มลงกับพื้น
“ตายอยู่ในนี้เถอะมึ-” นางกลอยหัวเราะลั่นดุจว่าสาแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง
กัญญาพยายามดิ้นรน หากไม่สามารถหลุดพ้นได้โดยง่าย คล้ายตัวหล่อนถูกมัดแน่นติดตรึงอยู่กับที่ ขณะนั้นหล่อนมองเห็นไม้จากบนเพดานร่วงลงมาหลายชิ้นพร้อมกับเสียงดังครืนที่ด้านบน หล่อนคาดว่าโครงสร้างด้านบนบางส่วนอาจเริ่มหักพังลงบ้างแล้ว และถ้าส่วนบนทั้งหมดยุบตัวลงมา ก็คงกระทบลงมาถึงชั้นล่าง ตัวหล่อนคงต้องตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“กูจะดูมึ-ทรมานเหมือนเมื่อครั้งที่มึ-ฆ่ากู” นางกลอยบอกเสียงกร้าว
กัญญาฟังถ้อยคำนั้นแล้วหลับตานิ่ง เลิกดิ้นรนใด ๆ เพราะหล่อนคิดว่า ถ้าชีวิตของหล่อนจะต้องจบสิ้นลงคราวนี้ ด้วยผลกรรมเก่าที่บัดนี้ไล่ล่าติดตามมาประชิดตัวแล้ว หล่อนคงไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะหลีกพ้นหรือต่อรองกับความตาย
มนุษย์ทุกผู้ทุกนามไม่ว่าต้อยต่ำหรือร่ำรวยล้นฟ้าสักเพียงใด ตราบเมื่อเงื้อมมือมัจจุราชกำลังจะกระชากวิญญาณผู้สิ้นอายุขัยออกจากร่างแล้วไซร้ เงินทองมากมายเท่าไรก็ไม่สามารถซื้อเวลาชีวิตให้ใครได้สักนาที ไม่มีผู้ใดใช้ทรัพย์สมบัติในโลกต่อรองความตายกับพญามัจจุราชได้เลยสักราย
หญิงสาวลืมตาขึ้นมองหน้าผีร้าย บอกตัวเองด้วยสติมั่นคง หล่อนจะไม่นำพาความโกรธแค้นใด ๆ ติดพันไปกับดวงวิญญาณอย่างเด็ดขาด
“ฉันขออโหสิกรรมทุกอย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ๆ กุศลผลบุญใดที่ฉันเคยกระทำ ขอให้เธอรับไว้เพื่อดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ” กัญญากล่าวแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ระลึกถึงบุญความดีที่ได้บำเพ็ญสั่งสมมา
ยามนั้นหล่อนมิได้รู้สึกถึงอำนาจแห่งความร้อนจากเปลวไฟ หากความรู้สึกเหมือนตัวหล่อนไร้น้ำหนักกำลังลอยอยู่ในอากาศด้วยความสงบเย็น หล่อนคิดว่าดวงวิญญาณของตัวเองกำลังพ้นจากสังขารแล้ว
“โยมกลอย อนุโมทนาบุญและอโหสิกรรมให้แก่กัน ดับไฟโทสะในใจโยมเสีย”
กัญญาไม่เข้าใจเลยว่า กระแสเสียงที่ดังขึ้นนั้นมาจากทิศทางใด หล่อนไม่รู้แน่ชัดแม้กระทั่งตัวเองได้ยินเสียงผ่านโสตประสาทหรืออย่างไร หากหล่อนรับรู้ได้เพียงเสียงนั้นช่างสงบเยือกเย็นเหลือเกิน
เพียงครู่เดียวหล่อนก็กลับมารับรู้ความร้อนของเปลวไฟอยู่ทั่วร่างกาย โดยมีความรู้สึกแสบในโพรงจมูกและลำคอร่วมด้วย จนหล่อนต้องสำลักลืมตาขึ้นมา จึงได้เห็นวิญญาณผีร้ายมิได้กอดรัดทับโถมอยู่บนร่างหล่อนอีกแล้ว หากได้ไปยืนอยู่ด้านขวามือของหล่อน และด้านซ้ายยังมีภิกษุร่างสูงซึ่งหล่อนคุ้นหน้าเป็นอย่างดียืนเผชิญหน้ากันอยู่
กลอยแลดูกัญญาที่นอนสำลักควันไฟอยู่บนพื้นด้วยอาการนิ่งเฉย
“เชื่ออาตมาเถอะโยม” ภิกษุกล่าวสำทับกับวิญญาณร้าย
กัญญาเห็นกลอยยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วหายตัวไปเสียเฉย ๆ ครั้นหล่อนมองไปที่ช่องประตูก็ไม่เห็นร่างของภิกษุรูปนั้นแล้ว กลับกลายเป็นต้นวิ่งผ่านเข้ามาภายใน
ชายหนุ่มถลันเข้ามาช่วยพยุงตัวหล่อนลุกขึ้นให้ก้าวเดินออกไปสู่ภายนอก
เสียงไซเรนดังขึ้นในความมืดท่ามกลางความเงียบสงัดของบริเวณวัด ไม่นานรถดับเพลิงแล่นเข้ามาในเขตที่พำนักของแม่ชี พนักงานดับเพลิงโดดลงจากรถลากสายดับเพลิงจ่ายน้ำเข้าทำการดับไฟอย่างรวดเร็ว
ครู่ใหญ่รถยนต์ของหน่วยกู้ภัยเปิดไซเรนติดตามเข้ามา เจ้าหน้าที่ชายหนุ่มสามคนพรวดพราดลงจากรถตรงมายังที่เกิดเหตุ
“มีผู้บาดเจ็บมั้ยครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้นทันที
“อยู่ด้านโน้นครับ” ต้นชี้มือบอก เจ้าหน้าที่จึงรีบรุดเข้าไปดูผู้บาดเจ็บ
กัญญาเดินตามไปช้า ๆ ยังไม่ทันถึงหน้าอาคาร เจ้าหน้าที่สองคนก็วิ่งย้อนไปยังรถเพื่อนำเปลพยาบาลกลับมา
“แม่ชีอัมพรเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” กัญญาถามชายหนุ่มข้างกาย
“ท่านนอนนิ่งยังไม่ได้สติเลย”
หญิงสาวรู้สึกกังวลขึ้นทันใด คิดว่าแม่ชีอัมพรอาจขาดอากาศหายใจจนหมดสติ หล่อนเร่งฝีเท้าไปยังอาคารที่แม่ชียืนรวมกันอยู่ด้านข้าง ได้เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยยกร่างแม่ชีอัมพรขึ้นไว้บนเปลพยาบาลก่อนที่จะนำตัวออกไป
กัญญาเดินตามด้วยความเป็นห่วง หล่อนเห็นสีหน้าเผือดซีดกับท่าทางที่นอนแน่นิ่งนั้นราวกับร่างไร้ลมหายใจ!
“ไม่ต้องตามไปหรอกโยม” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นทัดทานให้หญิงสาวต้องชะงัก ด้วยเสียงนั้นคือเสียงของผู้ที่ช่วยเหลือหล่อนไว้ในนาทีวิกฤตเมื่อครู่
กัญญาหมุนตัวกลับมาเห็นภิกษุหนุ่มใหญ่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“ใครแข็งแรงดีก็ไปกับเจ้าหน้าที่ดูอาการแม่ชีอัมพรด้วยอีกสักคน” ท่านกล่าวกับกลุ่มแม่ชีที่เดินออกมาจากตัวอาคาร
“อิฉันไปเองเจ้าค่ะ ท่านชยุต” แม่ชีวัยกลางคนพูดขึ้น เดินอย่างว่องไวติดตามเจ้าหน้าที่ก้าวขึ้นรถ แล้วรถกู้ภัยก็ได้ขับเคลื่อนออกไปทันที
หญิงสาวยังฉงนอยู่ในใจ เหตุใดภิกษุรูปนี้ถึงได้ออกมาจากที่พำนักของแม่ชีอัมพรอย่างรวดเร็วนัก หล่อนนั่งย่อตัวประนมมือน้อมเคารพในเมตตาจิตที่ท่านได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้รอดพ้นจากวิญญาณร้าย
ท่านชยุตก้าวเดินต่อไปยืนดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงโดยมิได้พูดอะไรออกมา
ผีล่ากรรม ( บทที่ ๑๓ )
ขอบคุณทุกเสียง ทุกความรู้สึกที่ส่งผ่านมาถึงผู้เขียนเรื่องนี้
เปลวเพลิงสีส้มอมแดง แผดเผาทำลายอาคารที่พำนักชั้นบนของแม่ชีอัมพรทวีความร้อนแรงมากขึ้น โครงสร้างด้านบนซึ่งรองรับกระเบื้องหลังคาด้านหนึ่ง ทรุดตัวลงทำให้กระเบื้องแตกหักจนบางส่วนกระเด็นออกมานอกตัวอาคาร
ผู้ยืนดูเหตุการณ์รอบนอกขยับตัวหลบไปคนละทิศละทาง แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อต้นกับต่อพยุงร่างแม่ชีอัมพรพ้นจากช่องประตูออกมา ผู้ทรงศีลแปดชุดขาวหลายท่านก็ย้อนกลับเข้ามาหาสองหนุ่มอีกครั้ง
“มาทางนี้ หลบมาทางนี้ก่อน” ผู้สูงวัยท่านหนึ่งกวักมือร้องเรียก ใบหน้าดูตื่นตกใจ
ชายหนุ่มทั้งสองพาแม่ชีอัมพรไปยังอาคารหลังใกล้เคียง ย่อตัวลงประคองร่างของท่านให้นอนราบลงกับพื้น
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ ดูเหมือนท่านจะสลบไปนะครับ” ต่อบอก
“ใครก็ได้เอายาดมมาเร็ว” แม่ชีร้องเรียกหาจ้าละหวั่น
“แล้วแม่หนูที่วิ่งเข้าไปทำอะไรอยู่ ทำไมยังไม่รีบออกมา” แม่ชีวัยกลางคนถามขึ้น
ต้นกับต่อได้แต่เหลียวมองหน้ากัน ดังว่าตกตะลึงกับคำพูดของผู้ที่เอ่ยถาม
ไม่มีใครในที่นั้นล่วงรู้เลยว่า กัญญากำลังเผชิญอยู่กับสิ่งใดข้างในอาคารหลังนั้น
หญิงสาวมุ่งมองไปยังช่องประตู หมายจะก้าวเดินออกไปให้พ้นเสียโดยไว หากนางกลอยกลับพุ่งเข้ากอดรัดร่างกัญญาจนทั้งคู่ล้มลงกับพื้น
“ตายอยู่ในนี้เถอะมึ-” นางกลอยหัวเราะลั่นดุจว่าสาแก่ใจเป็นอย่างยิ่ง
กัญญาพยายามดิ้นรน หากไม่สามารถหลุดพ้นได้โดยง่าย คล้ายตัวหล่อนถูกมัดแน่นติดตรึงอยู่กับที่ ขณะนั้นหล่อนมองเห็นไม้จากบนเพดานร่วงลงมาหลายชิ้นพร้อมกับเสียงดังครืนที่ด้านบน หล่อนคาดว่าโครงสร้างด้านบนบางส่วนอาจเริ่มหักพังลงบ้างแล้ว และถ้าส่วนบนทั้งหมดยุบตัวลงมา ก็คงกระทบลงมาถึงชั้นล่าง ตัวหล่อนคงต้องตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“กูจะดูมึ-ทรมานเหมือนเมื่อครั้งที่มึ-ฆ่ากู” นางกลอยบอกเสียงกร้าว
กัญญาฟังถ้อยคำนั้นแล้วหลับตานิ่ง เลิกดิ้นรนใด ๆ เพราะหล่อนคิดว่า ถ้าชีวิตของหล่อนจะต้องจบสิ้นลงคราวนี้ ด้วยผลกรรมเก่าที่บัดนี้ไล่ล่าติดตามมาประชิดตัวแล้ว หล่อนคงไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะหลีกพ้นหรือต่อรองกับความตาย
มนุษย์ทุกผู้ทุกนามไม่ว่าต้อยต่ำหรือร่ำรวยล้นฟ้าสักเพียงใด ตราบเมื่อเงื้อมมือมัจจุราชกำลังจะกระชากวิญญาณผู้สิ้นอายุขัยออกจากร่างแล้วไซร้ เงินทองมากมายเท่าไรก็ไม่สามารถซื้อเวลาชีวิตให้ใครได้สักนาที ไม่มีผู้ใดใช้ทรัพย์สมบัติในโลกต่อรองความตายกับพญามัจจุราชได้เลยสักราย
หญิงสาวลืมตาขึ้นมองหน้าผีร้าย บอกตัวเองด้วยสติมั่นคง หล่อนจะไม่นำพาความโกรธแค้นใด ๆ ติดพันไปกับดวงวิญญาณอย่างเด็ดขาด
“ฉันขออโหสิกรรมทุกอย่างที่ผ่านมา ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ๆ กุศลผลบุญใดที่ฉันเคยกระทำ ขอให้เธอรับไว้เพื่อดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ” กัญญากล่าวแล้วหลับตาลงอีกครั้ง ระลึกถึงบุญความดีที่ได้บำเพ็ญสั่งสมมา
ยามนั้นหล่อนมิได้รู้สึกถึงอำนาจแห่งความร้อนจากเปลวไฟ หากความรู้สึกเหมือนตัวหล่อนไร้น้ำหนักกำลังลอยอยู่ในอากาศด้วยความสงบเย็น หล่อนคิดว่าดวงวิญญาณของตัวเองกำลังพ้นจากสังขารแล้ว
“โยมกลอย อนุโมทนาบุญและอโหสิกรรมให้แก่กัน ดับไฟโทสะในใจโยมเสีย”
กัญญาไม่เข้าใจเลยว่า กระแสเสียงที่ดังขึ้นนั้นมาจากทิศทางใด หล่อนไม่รู้แน่ชัดแม้กระทั่งตัวเองได้ยินเสียงผ่านโสตประสาทหรืออย่างไร หากหล่อนรับรู้ได้เพียงเสียงนั้นช่างสงบเยือกเย็นเหลือเกิน
เพียงครู่เดียวหล่อนก็กลับมารับรู้ความร้อนของเปลวไฟอยู่ทั่วร่างกาย โดยมีความรู้สึกแสบในโพรงจมูกและลำคอร่วมด้วย จนหล่อนต้องสำลักลืมตาขึ้นมา จึงได้เห็นวิญญาณผีร้ายมิได้กอดรัดทับโถมอยู่บนร่างหล่อนอีกแล้ว หากได้ไปยืนอยู่ด้านขวามือของหล่อน และด้านซ้ายยังมีภิกษุร่างสูงซึ่งหล่อนคุ้นหน้าเป็นอย่างดียืนเผชิญหน้ากันอยู่
กลอยแลดูกัญญาที่นอนสำลักควันไฟอยู่บนพื้นด้วยอาการนิ่งเฉย
“เชื่ออาตมาเถอะโยม” ภิกษุกล่าวสำทับกับวิญญาณร้าย
กัญญาเห็นกลอยยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วหายตัวไปเสียเฉย ๆ ครั้นหล่อนมองไปที่ช่องประตูก็ไม่เห็นร่างของภิกษุรูปนั้นแล้ว กลับกลายเป็นต้นวิ่งผ่านเข้ามาภายใน
ชายหนุ่มถลันเข้ามาช่วยพยุงตัวหล่อนลุกขึ้นให้ก้าวเดินออกไปสู่ภายนอก
เสียงไซเรนดังขึ้นในความมืดท่ามกลางความเงียบสงัดของบริเวณวัด ไม่นานรถดับเพลิงแล่นเข้ามาในเขตที่พำนักของแม่ชี พนักงานดับเพลิงโดดลงจากรถลากสายดับเพลิงจ่ายน้ำเข้าทำการดับไฟอย่างรวดเร็ว
ครู่ใหญ่รถยนต์ของหน่วยกู้ภัยเปิดไซเรนติดตามเข้ามา เจ้าหน้าที่ชายหนุ่มสามคนพรวดพราดลงจากรถตรงมายังที่เกิดเหตุ
“มีผู้บาดเจ็บมั้ยครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถามขึ้นทันที
“อยู่ด้านโน้นครับ” ต้นชี้มือบอก เจ้าหน้าที่จึงรีบรุดเข้าไปดูผู้บาดเจ็บ
กัญญาเดินตามไปช้า ๆ ยังไม่ทันถึงหน้าอาคาร เจ้าหน้าที่สองคนก็วิ่งย้อนไปยังรถเพื่อนำเปลพยาบาลกลับมา
“แม่ชีอัมพรเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ” กัญญาถามชายหนุ่มข้างกาย
“ท่านนอนนิ่งยังไม่ได้สติเลย”
หญิงสาวรู้สึกกังวลขึ้นทันใด คิดว่าแม่ชีอัมพรอาจขาดอากาศหายใจจนหมดสติ หล่อนเร่งฝีเท้าไปยังอาคารที่แม่ชียืนรวมกันอยู่ด้านข้าง ได้เห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยยกร่างแม่ชีอัมพรขึ้นไว้บนเปลพยาบาลก่อนที่จะนำตัวออกไป
กัญญาเดินตามด้วยความเป็นห่วง หล่อนเห็นสีหน้าเผือดซีดกับท่าทางที่นอนแน่นิ่งนั้นราวกับร่างไร้ลมหายใจ!
“ไม่ต้องตามไปหรอกโยม” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นทัดทานให้หญิงสาวต้องชะงัก ด้วยเสียงนั้นคือเสียงของผู้ที่ช่วยเหลือหล่อนไว้ในนาทีวิกฤตเมื่อครู่
กัญญาหมุนตัวกลับมาเห็นภิกษุหนุ่มใหญ่ยืนอยู่เบื้องหลัง
“ใครแข็งแรงดีก็ไปกับเจ้าหน้าที่ดูอาการแม่ชีอัมพรด้วยอีกสักคน” ท่านกล่าวกับกลุ่มแม่ชีที่เดินออกมาจากตัวอาคาร
“อิฉันไปเองเจ้าค่ะ ท่านชยุต” แม่ชีวัยกลางคนพูดขึ้น เดินอย่างว่องไวติดตามเจ้าหน้าที่ก้าวขึ้นรถ แล้วรถกู้ภัยก็ได้ขับเคลื่อนออกไปทันที
หญิงสาวยังฉงนอยู่ในใจ เหตุใดภิกษุรูปนี้ถึงได้ออกมาจากที่พำนักของแม่ชีอัมพรอย่างรวดเร็วนัก หล่อนนั่งย่อตัวประนมมือน้อมเคารพในเมตตาจิตที่ท่านได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือให้รอดพ้นจากวิญญาณร้าย
ท่านชยุตก้าวเดินต่อไปยืนดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงโดยมิได้พูดอะไรออกมา