สุขุม นวลสกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ และอดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง
ความจริงพรรคประชาธิปัตย์ มีตัวเลือกอยู่ แต่เลือกยาก เพราะหัวหน้าพรรคจะกลายเป็นการกำหนดท่าทีในทางการเมืองทันที
การจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะแสดงตัวเพื่อขอเป็นต่อไปหรือไม่ เพราะเมื่อแสดงตัวแล้วถ้าที่สุดไม่ได้รับเลือกก็จะมีปัญหาได้
ในมุมมองส่วนตัวจึงเห็นว่าหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงตัวแล้ว อย่างไรก็ต้องได้รับเลือก และที่ ผ่านมาหากจะพูดถึงบทบาทในฐานะหัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ก็ทำได้เต็มที่มาตลอด
และหากนายอภิสิทธิ์นั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อ ก็ต้องลุ้นคือการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส่วนตัวมองว่าการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแทบเป็นไปไม่ได้
ที่มีการเสนอชื่อกันตอนนี้คือ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ไม่มีอะไรเด่นไปกว่านายอภิสิทธิ์ และมองว่าเป็นการถอย เป็นเพียงแค่ทางเลือกหนึ่งที่มีการชูขึ้นมาเท่านั้น
ถามว่าการปรับโครงสร้างใหม่ ให้มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่มากกว่าเดิมจะส่งผลอย่างไรต่อการทำหน้าที่ของพรรคที่ช่วงหลังถูกวิจารณ์ค่อนข้างมากเรื่องค้านทุกเรื่องนั้น คนนอกคงไม่รู้ แต่เรื่องค้านก็เป็นธรรมชาติของพรรคนี้ แม้บางเรื่องเสียงส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยแต่ที่ผ่านมาก็ลาออกจากส.ส.ไปเคลื่อนไหวนอกสภา
ถามว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จะนำไปสู่การปฏิรูปพรรคได้จริงหรือไม่นั้น เท่าที่ทราบมีการเพิ่มในส่วนของรองหัวหน้าพรรคเข้ามา ซึ่งจะนำมาสู่การปฏิรูปหรือไม่เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ที่มองว่าคนไม่ได้สนใจ
แต่การก้าวทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์จากนี้เป็นเรื่องลำบาก เนื่องจากการปฏิรูปพรรคคนไม่ได้ฮือฮาไปด้วย แต่ประชาธิปัตย์ต้องเดินไปในภาพลักษณ์ที่มีเป้าหมายตรงข้ามกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคทางเลือกแต่เป็นคู่ต่อสู้
ซึ่งฝ่ายสนับสนุนก็มองว่าขณะนี้โอกาสเขาสูงขึ้น จากเดิมที่แทบไม่มีลุ้น
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
ระบอบประชาธิป ไตยพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านต้องมีความเข้มแข็ง เพื่อจะได้ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกันตลอดเวลา
ในกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เชื่อได้ว่าในอนาคตจะยังเป็นฝ่ายค้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ถ้ามีการปรับปรุงบุคลากรภายใน
การจะเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายไปสู่สิ่งใหม่ได้ การเปลี่ยนผู้นำของพรรคถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นคนเดิม แนวทางใหม่ๆ จะไม่เกิดขึ้นในทันที
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มานาน 8 ปี และในรอบ 22 ปีที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์อยู่ภายใต้หัวหน้าพรรคหลักๆ แค่ 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ และนายชวน หลีกภัย
ชี้ให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยน แปลงไม่ได้ หากไม่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ สิ่งที่ตามมาคือคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ตอบสนองประชาชนในการเลือกตั้ง
ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่ยืนยง จะตอบสนองต่อประชาชน ทั้งแผ่นดิน เราจึงต้องการพรรคการเมืองที่เผชิญหน้ากับพรรคเพื่อไทยได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพ แต่ต้องสู้ในระบบรัฐสภาไม่ใช่บนท้องถนน
เราคงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ หากยังเป็นผู้นำคนเดิม ยกตัวอย่างว่าเพราะเหตุใดบริษัทหนึ่งจึงมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กร เหตุผลเพราะผู้นำคนเดิมอาจมีวิธีการจัดการปัญหาแบบเดิมๆ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดิมๆ
หรือตัวอย่างของประเทศเวียดนามที่เมื่อเปลี่ยน นโยบาย ก็เปลี่ยนคณะกรรมการบริหารประเทศชุดใหญ่ เปลี่ยนวิธีคิดในการมองประเทศอื่นเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าเป็นองค์กรหนึ่ง ถ้าไม่มีใครเทียบรัศมีนายอภิสิทธิ์ และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะเหมือนองค์กรที่มีผู้สืบอำนาจ 20 ปี โดยที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เติบโต
เว้นแต่จะมีการปฏิวัติภายในองค์กร ซึ่งมีให้เห็นในช่วงสั้นๆ แต่ปรากฏว่าคนที่ลุกขึ้นมาเสนอแนวทางปฏิรูปองค์กรมีแนวโน้มที่จะแย่ลง
หากผู้นำองค์กรอย่างนายอภิสิทธิ์ นายชวน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยอมถ่ายเลือดให้คนอีกกลุ่ม และยอมรับความเจ็บปวดว่าตัวเองเป็นสิ่งตกค้างทางการเมือง จะเป็นสิ่งที่ดีมากต่อการเปลี่ยนแปลงของพรรค
คนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้นำพรรคต้องไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของคนกลุ่มนี้ พรรคประชาธิปัตย์จึงจะเติบโตสู่ท้องฟ้าได้
แต่สิ่งที่เห็นในวันนี้คนที่ต้องการปฏิรูปพรรคยังไร้พลัง สมาชิกพรรคคนอื่นๆ ยังไม่กล้าแสดงพลัง เพราะสมาชิกที่อยู่ในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลางขาดกำลัง พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่สามารถทะยานสู่ภาคเหนือและภาคอีสานได้
ชี้ให้เห็นว่าวิธีคิดของกลุ่มผู้นำในพรรคประชาธิปัตย์เป็นวิธีคิดที่ยึดกุมชัยชนะในภาคใต้ และกทม. สอดคล้องกับการที่ผู้นำพรรคต้องมาจากภาคใต้ และกทม.เท่านั้น ดังนั้น คาดหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยอมประนีประนอมเพื่ออนาคตของพรรค
การเปลี่ยนแปลงตัวหัวหน้าพรรคแม้จะไม่ใช่คนที่มีบารมี แต่เชื่อว่าถ้าเปลี่ยนแปลงได้ 1 ตำแหน่ง จะนำไปสู่กระบวนการสรรหาคนที่มีความสามารถได้ในท้ายที่สุด จะเกิดกระบวนการเลื่อนไหลของคน
การเปลี่ยนตัวนายอภิสิทธิ์จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ออกจากวังวนได้ ทั้งหมดเป็นความคาดหวังที่สูงแต่ดูเหมือนริบหรี่
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในพรรครวมทั้งการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค ถือเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่ควรทำ
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนแปลง คือการเปลี่ยนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากหัวหน้าพรรค
เพราะที่ผ่านมาบทบาทการเป็นหัวหน้าพรรคหรือบทบาทนายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ มีข้อผิดพลาดในเรื่องการบริหารอย่างมาก อีกทั้งมีคดี 99 ศพติดตัวอยู่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค
ส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสมในการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ขณะนี้คงเป็นใครก็ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มักบอกอยู่เสมอว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแต่คนดี ดังนั้น ใครจะมาเป็นต่อก็ได้ เป็นเรื่องภายในของพรรค
อีกประการสำคัญ ที่พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องมีการปฏิรูป คือ เน้นการนำเสนอด้านนโยบาย ควรเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เช่น ต้องหาเหตุผลมาชี้แจงว่าทำไมประเทศไทยจึงยังไม่ควรมีรถไฟความ เร็วสูง
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ หรือส.ว. ต้องมาจากการสรรหาเท่านั้น พรรคประชา ธิปัตย์ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจให้ได้ และควรต้องลดการโจมตีพรรคเพื่อไทย แต่ควรหาสิ่งที่ดีกว่ามากลบสิ่งที่เพื่อไทยเสนอ
นโยบายของพรรคต้องลดความเป็นฝ่ายขวาจัด เลิกพฤติกรรม ที่อนุรักษนิยมแบบสุดโต่ง แต่ควรมาเล่นบทบาทที่เป็นฝ่ายกลาง เพราะหากยังไม่มีการปฏิรูปต่อให้ชนะการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลก็จะไม่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศมากนัก
เรื่องฐานเสียงของพรรคขึ้นอยู่กับพรรคเองว่าจะปฏิรูป ได้ดีแค่ไหน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่าเป็นพรรคที่มีระบบการจัดการภายในดีอยู่แล้ว แต่ในการปฏิรูปก็ควรมีประเด็นที่กล่าวไป หากจะทำให้เสียงส่วนใหญ่ยอมรับ
ไอ้กร๊วก โบกกรัก อดีต อธิการบ่อดี มหาวิทยาลัยราชประสงค์
ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ จากพรรคที่หยาบคาย เล่นการเมืองข้างถนน เอาดีใส่ตัว
แต่กลับโยนความชั่วให้คนอื่น มาเป็นพรรคที่เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา ไม่โกหกหลอกลวงประชาชน ใช้เหตุใช้ผล มากกว่า
การเลือกที่จะโยนความผิด
ใช้วิธีการแสดงผลงานตัวเอง แทนที่จะไปโจมตีคนอื่นว่าเลว และ หานโยบายดี ๆ ที่ทำให้ประเทศชาติก้าวหน้ามานำเสนอ
ประชาชน
ต้องทำให้ประชาชนได้รู้ว่า "ปวงชนชาวไทย" มันยิ่งใหญ่กว่า "มวลมหาประชาชน" ที่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของคนไทยทั้งประเทศ
เพื่อแสดงการไม่เห็นด้วยกับ นายสุเทพ ที่ต้องการให้มีสภาประชาชนที่มาจากการแต่งตั้ง
พรรคยังมีคนเก่งที่เป็นตัวเลือกอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็น นายศุภชัย พานิชภักดิ์ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ หรือ คนหัวก้าวหน้าของพรรค
อย่าง นายอลงกรณ์ พลบุตร
พรรคควรตระหนักว่า นายอภิสิทธิ์ แสดงตนได้ดีเฉพาะวาทะเท่านั้น แต่เรื่องแนวความคิด แนวทางการบริหารประเทศ ยังเหมือน
ผู้เยาว์ ที่คอยแต่จะกัดกร่อนคะแนนเสียงของพรรคให้น้อยลงไปทุกวัน
ผมเชื่อเหลือเกินว่า ถ้ายังปล่อยให้ นายอภิสิทธิ์ คุมบังเหียนพรรคอีกต่อไป จำนวน สส. พรรค มีแต่จะลดลง ความชื่นชมของ
ประชาชนที่มีต่อพรรค จะหดหาย
ที่สำคัญที่สุด ต้องสนับสนุนประชาธิปไตย โดยให้พรรคสมัครรับเลือกตั้งที่จะมีในวันที่ 2 กพ. 2557
17 ธันวาคม 2556 เราหวังที่จะให้ ปชป. ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางดี จากการเลือก หน. พรรค และ กก.บห. พรรคชุดใหม่
ความจริงพรรคประชาธิปัตย์ มีตัวเลือกอยู่ แต่เลือกยาก เพราะหัวหน้าพรรคจะกลายเป็นการกำหนดท่าทีในทางการเมืองทันที
การจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายอภิสิทธิ์ ว่าจะแสดงตัวเพื่อขอเป็นต่อไปหรือไม่ เพราะเมื่อแสดงตัวแล้วถ้าที่สุดไม่ได้รับเลือกก็จะมีปัญหาได้
ในมุมมองส่วนตัวจึงเห็นว่าหากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงตัวแล้ว อย่างไรก็ต้องได้รับเลือก และที่ ผ่านมาหากจะพูดถึงบทบาทในฐานะหัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ก็ทำได้เต็มที่มาตลอด
และหากนายอภิสิทธิ์นั่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อ ก็ต้องลุ้นคือการตัดสินใจเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ส่วนตัวมองว่าการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแทบเป็นไปไม่ได้
ที่มีการเสนอชื่อกันตอนนี้คือ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ ไม่มีอะไรเด่นไปกว่านายอภิสิทธิ์ และมองว่าเป็นการถอย เป็นเพียงแค่ทางเลือกหนึ่งที่มีการชูขึ้นมาเท่านั้น
ถามว่าการปรับโครงสร้างใหม่ ให้มีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ที่มากกว่าเดิมจะส่งผลอย่างไรต่อการทำหน้าที่ของพรรคที่ช่วงหลังถูกวิจารณ์ค่อนข้างมากเรื่องค้านทุกเรื่องนั้น คนนอกคงไม่รู้ แต่เรื่องค้านก็เป็นธรรมชาติของพรรคนี้ แม้บางเรื่องเสียงส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยแต่ที่ผ่านมาก็ลาออกจากส.ส.ไปเคลื่อนไหวนอกสภา
ถามว่าการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ของพรรคประชาธิปัตย์จะนำไปสู่การปฏิรูปพรรคได้จริงหรือไม่นั้น เท่าที่ทราบมีการเพิ่มในส่วนของรองหัวหน้าพรรคเข้ามา ซึ่งจะนำมาสู่การปฏิรูปหรือไม่เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ที่มองว่าคนไม่ได้สนใจ
แต่การก้าวทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์จากนี้เป็นเรื่องลำบาก เนื่องจากการปฏิรูปพรรคคนไม่ได้ฮือฮาไปด้วย แต่ประชาธิปัตย์ต้องเดินไปในภาพลักษณ์ที่มีเป้าหมายตรงข้ามกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่พรรคทางเลือกแต่เป็นคู่ต่อสู้
ซึ่งฝ่ายสนับสนุนก็มองว่าขณะนี้โอกาสเขาสูงขึ้น จากเดิมที่แทบไม่มีลุ้น
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต
ระบอบประชาธิป ไตยพรรคการเมืองไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านต้องมีความเข้มแข็ง เพื่อจะได้ตรวจสอบถ่วงดุลอำนาจกันตลอดเวลา
ในกรณีของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยเป็นทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน เชื่อได้ว่าในอนาคตจะยังเป็นฝ่ายค้านแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลได้ ถ้ามีการปรับปรุงบุคลากรภายใน
การจะเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายไปสู่สิ่งใหม่ได้ การเปลี่ยนผู้นำของพรรคถือว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นคนเดิม แนวทางใหม่ๆ จะไม่เกิดขึ้นในทันที
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มานาน 8 ปี และในรอบ 22 ปีที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์อยู่ภายใต้หัวหน้าพรรคหลักๆ แค่ 2 คน คือ นายอภิสิทธิ์ และนายชวน หลีกภัย
ชี้ให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยน แปลงไม่ได้ หากไม่เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค เพราะเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ สิ่งที่ตามมาคือคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ตอบสนองประชาชนในการเลือกตั้ง
ไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่ยืนยง จะตอบสนองต่อประชาชน ทั้งแผ่นดิน เราจึงต้องการพรรคการเมืองที่เผชิญหน้ากับพรรคเพื่อไทยได้ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพ แต่ต้องสู้ในระบบรัฐสภาไม่ใช่บนท้องถนน
เราคงไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ หากยังเป็นผู้นำคนเดิม ยกตัวอย่างว่าเพราะเหตุใดบริษัทหนึ่งจึงมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำองค์กร เหตุผลเพราะผู้นำคนเดิมอาจมีวิธีการจัดการปัญหาแบบเดิมๆ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดิมๆ
หรือตัวอย่างของประเทศเวียดนามที่เมื่อเปลี่ยน นโยบาย ก็เปลี่ยนคณะกรรมการบริหารประเทศชุดใหญ่ เปลี่ยนวิธีคิดในการมองประเทศอื่นเป็นมิตรไม่ใช่ศัตรูทางการเมือง
เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าเป็นองค์กรหนึ่ง ถ้าไม่มีใครเทียบรัศมีนายอภิสิทธิ์ และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดเดิมได้ พรรคประชาธิปัตย์ก็จะเหมือนองค์กรที่มีผู้สืบอำนาจ 20 ปี โดยที่คนอื่นไม่มีโอกาสได้เติบโต
เว้นแต่จะมีการปฏิวัติภายในองค์กร ซึ่งมีให้เห็นในช่วงสั้นๆ แต่ปรากฏว่าคนที่ลุกขึ้นมาเสนอแนวทางปฏิรูปองค์กรมีแนวโน้มที่จะแย่ลง
หากผู้นำองค์กรอย่างนายอภิสิทธิ์ นายชวน นายบัญญัติ บรรทัดฐาน และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยอมถ่ายเลือดให้คนอีกกลุ่ม และยอมรับความเจ็บปวดว่าตัวเองเป็นสิ่งตกค้างทางการเมือง จะเป็นสิ่งที่ดีมากต่อการเปลี่ยนแปลงของพรรค
คนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้นำพรรคต้องไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของคนกลุ่มนี้ พรรคประชาธิปัตย์จึงจะเติบโตสู่ท้องฟ้าได้
แต่สิ่งที่เห็นในวันนี้คนที่ต้องการปฏิรูปพรรคยังไร้พลัง สมาชิกพรรคคนอื่นๆ ยังไม่กล้าแสดงพลัง เพราะสมาชิกที่อยู่ในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลางขาดกำลัง พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่สามารถทะยานสู่ภาคเหนือและภาคอีสานได้
ชี้ให้เห็นว่าวิธีคิดของกลุ่มผู้นำในพรรคประชาธิปัตย์เป็นวิธีคิดที่ยึดกุมชัยชนะในภาคใต้ และกทม. สอดคล้องกับการที่ผู้นำพรรคต้องมาจากภาคใต้ และกทม.เท่านั้น ดังนั้น คาดหวังว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยอมประนีประนอมเพื่ออนาคตของพรรค
การเปลี่ยนแปลงตัวหัวหน้าพรรคแม้จะไม่ใช่คนที่มีบารมี แต่เชื่อว่าถ้าเปลี่ยนแปลงได้ 1 ตำแหน่ง จะนำไปสู่กระบวนการสรรหาคนที่มีความสามารถได้ในท้ายที่สุด จะเกิดกระบวนการเลื่อนไหลของคน
การเปลี่ยนตัวนายอภิสิทธิ์จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ออกจากวังวนได้ ทั้งหมดเป็นความคาดหวังที่สูงแต่ดูเหมือนริบหรี่
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ คณะอักษรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ด้วยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในพรรครวมทั้งการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรค ถือเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่ควรทำ
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปลี่ยนแปลง คือการเปลี่ยนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ออกจากหัวหน้าพรรค
เพราะที่ผ่านมาบทบาทการเป็นหัวหน้าพรรคหรือบทบาทนายกฯ ของนายอภิสิทธิ์ มีข้อผิดพลาดในเรื่องการบริหารอย่างมาก อีกทั้งมีคดี 99 ศพติดตัวอยู่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรค
ส่วนบุคคลที่มีความเหมาะสมในการรับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ขณะนี้คงเป็นใครก็ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มักบอกอยู่เสมอว่าพรรคประชาธิปัตย์มีแต่คนดี ดังนั้น ใครจะมาเป็นต่อก็ได้ เป็นเรื่องภายในของพรรค
อีกประการสำคัญ ที่พรรคประชาธิปัตย์จำเป็นต้องมีการปฏิรูป คือ เน้นการนำเสนอด้านนโยบาย ควรเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เช่น ต้องหาเหตุผลมาชี้แจงว่าทำไมประเทศไทยจึงยังไม่ควรมีรถไฟความ เร็วสูง
การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่กระทำไม่ได้ หรือส.ว. ต้องมาจากการสรรหาเท่านั้น พรรคประชา ธิปัตย์ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจให้ได้ และควรต้องลดการโจมตีพรรคเพื่อไทย แต่ควรหาสิ่งที่ดีกว่ามากลบสิ่งที่เพื่อไทยเสนอ
นโยบายของพรรคต้องลดความเป็นฝ่ายขวาจัด เลิกพฤติกรรม ที่อนุรักษนิยมแบบสุดโต่ง แต่ควรมาเล่นบทบาทที่เป็นฝ่ายกลาง เพราะหากยังไม่มีการปฏิรูปต่อให้ชนะการเลือกตั้งมาเป็นรัฐบาลก็จะไม่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศมากนัก
เรื่องฐานเสียงของพรรคขึ้นอยู่กับพรรคเองว่าจะปฏิรูป ได้ดีแค่ไหน เพราะพรรคประชาธิปัตย์ก็ถือว่าเป็นพรรคที่มีระบบการจัดการภายในดีอยู่แล้ว แต่ในการปฏิรูปก็ควรมีประเด็นที่กล่าวไป หากจะทำให้เสียงส่วนใหญ่ยอมรับ
ไอ้กร๊วก โบกกรัก อดีต อธิการบ่อดี มหาวิทยาลัยราชประสงค์
ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่ พรรคประชาธิปัตย์ จะเปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ จากพรรคที่หยาบคาย เล่นการเมืองข้างถนน เอาดีใส่ตัว
แต่กลับโยนความชั่วให้คนอื่น มาเป็นพรรคที่เชื่อมั่นในระบอบรัฐสภา ไม่โกหกหลอกลวงประชาชน ใช้เหตุใช้ผล มากกว่า
การเลือกที่จะโยนความผิด
ใช้วิธีการแสดงผลงานตัวเอง แทนที่จะไปโจมตีคนอื่นว่าเลว และ หานโยบายดี ๆ ที่ทำให้ประเทศชาติก้าวหน้ามานำเสนอ
ประชาชน
ต้องทำให้ประชาชนได้รู้ว่า "ปวงชนชาวไทย" มันยิ่งใหญ่กว่า "มวลมหาประชาชน" ที่เป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของคนไทยทั้งประเทศ
เพื่อแสดงการไม่เห็นด้วยกับ นายสุเทพ ที่ต้องการให้มีสภาประชาชนที่มาจากการแต่งตั้ง
พรรคยังมีคนเก่งที่เป็นตัวเลือกอีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็น นายศุภชัย พานิชภักดิ์ นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ หรือ คนหัวก้าวหน้าของพรรค
อย่าง นายอลงกรณ์ พลบุตร
พรรคควรตระหนักว่า นายอภิสิทธิ์ แสดงตนได้ดีเฉพาะวาทะเท่านั้น แต่เรื่องแนวความคิด แนวทางการบริหารประเทศ ยังเหมือน
ผู้เยาว์ ที่คอยแต่จะกัดกร่อนคะแนนเสียงของพรรคให้น้อยลงไปทุกวัน
ผมเชื่อเหลือเกินว่า ถ้ายังปล่อยให้ นายอภิสิทธิ์ คุมบังเหียนพรรคอีกต่อไป จำนวน สส. พรรค มีแต่จะลดลง ความชื่นชมของ
ประชาชนที่มีต่อพรรค จะหดหาย
ที่สำคัญที่สุด ต้องสนับสนุนประชาธิปไตย โดยให้พรรคสมัครรับเลือกตั้งที่จะมีในวันที่ 2 กพ. 2557