ตามหัวข้อเลยครับ แต่ละคนรับมือได้มากน้อยแค่ไหน เศร้านานเท่าไหร่ ฟื้นฟูสภาพจิตใจได้เร็วขนาดไหน และสิ่งที่ทำหรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำเพื่อไม่ให้คิดมากนั้นทำอะไรกันบ้าง
ขอยกตัวอย่างของผมเองนะครับมันเป็นแบบนี้ ความรักของผมเริ่มมาตั้งแต่ปี2547 มาสิ้นสุดลงเอาก็ปีนี้นี่เอง ผมจำต้องกลับสู่สถานภาพโสดอีกครั้ง กรณีของผมนั้นผมไม่ขอเรียกว่า "อกหัก" แต่จะเรียกว่า" ถูกทิ้ง" แทน เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีแม้แต่การบอกเลิกแม้แต่คำเดียวจากปากของทั้งเธอและผมแต่ผมก็พอจะเข้าใจและรับรู้ได้ว่ามันคือ "การจากลากัน" อย่างแน่นอน หลังจากนั้นผมเศร้าไป2เดือนเศษๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยแม้แต่วันเดียว
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ทำงานเห็นผิดสังเกตุก็เข้ามาถาม คำถามมีอะไรบ้างนั้นผมจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่คำตอบที่ผมตอบกลับไปคือ "มรสุมชีวิต ผมกำลังเผชิญหน้ากับมรสุมชีวิต" หลายๆคนก็มาให้กำลังใจบ้าง และในไม่กี่คนที่รู้จักกับผมมักจะพูดเป็นประโยคคล้ายๆกันว่า "ไม่เหมือนคนที่เคยรู้จัก" จากคนที่ทำโอทีแทบทุกวันก็ไม่ได้ทำ จากคนที่ช่างเจรจาก็เงียบขรึม จากคนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก็ซึมเศร้า (ในที่ทำงานนั้นผมจะขึ้นชื่อเรื่องความเพี้ยนและการกวนประสาท ผมจะกวนประสาทสุดๆ แกล้งแทบจะทุกคนที่ผมแกล้งได้จากสารพัดวิธี หลุดโลกไปวันๆ แต่งชุดแขกบ้าง ชุดจีนบ้าง แม้กระทั่งชุดลิเก ผมก็ยังเคยใส่ในที่ทำงาน)
หลังจากเกิดเรื่องเศร้าได้ไม่นานผมไม่อยากกลับบ้านครับ เพราะมันมีอะไรที่เรียกความทรงจำและน้ำตาได้เต็มไปหมด หลังเลิกงานเลยต้องไปนั่งพักและปล่อยอารมณ์อยู่ที่บ้านพี่คนหนึ่งแทบจะทุกวันเพราะพี่คนนี้เขามีความเป็นผู้ใหญ่สูงพอสมควรและให้คำปรึกษาผมได้ในหลายๆเรื่อง ก็นั่งคุยกันไปจนกระทั่งตกเย็นทำใจได้จึงกลับบ้าน วันไหนที่พี่คนนี้หยุดงานผมก็จะเคว้งเลยครับ แต่ยังพอมีสถานที่หนึ่งที่ผมมักจะไปเพื่อนั่งปล่อยอารมณ์คนเดียว ดูต้นไม้ดอกไม้ ดูรถไฟ ดูเรือ และที่สำคัญ "ดูคนมีคู่" ครับ ดูเขาสวีทกัน เดินคู่กัน จับมือกัน แล้วมาย้อนมองดูตัวเอง และหัวเราะออกมาเบาะๆพร้อมทั้งนึกในใจ " นี่แหละ!! ชีวิตมันต้องอย่างนี้ " ตอนนั้นทั้งสะใจและสมเภชตัวเองในเวลาเดียวกัน
กว่าที่ผมจะกลับมาเหมือนเดิมได้ก็เล่นเอาแย่ครับ ปาเข้าไปเกือบ4เดือนที่เสียเวาลาไปเศร้า เสียเวลาไปทำใจ (ตรงนี้สำคัญเสียรายได้ที่ไม่ได้ทำโอที

) พอเริ่มกลับมาเป็นคนเดิมได้ เพื่อนๆพี่ๆน้องๆก็เข้ามาแสดงความยินดีด้วยกับผมที่สามารถผ่านช่วงเวลาเหตุการณ์นั้นมาได้ และผู้คนเหล่านั้นจำนวนหนึ่งจะพูดประโยคที่คล้ายๆกันว่า "ไอ้(ชื่อผม)กลับมาแล้ว" หรือไม่ก็ "นี่สิคนที่พวกเรารู้จัก"
ทุกวันนี้ผมดีขึ้นกว่าเดิมมาก และสามารถกลับไปทำกิจกรรมหลุดโลกได้ตามปกติ ถ้าหากช่วงเวลานั้นไม่มีพี่ๆเหล่านั้นมาคอยช่วยประคอง ทำกิจกรรมหลายๆอย่าง ป่านนี้ผมคงสติแตกไปแล้วครับ(เพราะผมรักและฝังใจกับเธอมากแม้กระทั่งล็อกเก็ตเงินบรรจุรูปหน้าของเธอที่ผมสั่งทำขึ้นมาเองห้อยติดตัวตลอดทุกวันยังไม่อยากถอดเลยครับแต่ไม่นานมานี้ต้องถอดครับเพราะหูคล้องกับสร้อยเงินขาด) แต่จะมีก็บางช่วงเท่านั้นที่จิตตกเพราะเหตุการณ์ สถานที่ หรือเรื่องราวความทรงจำต่างๆนามาชวนให้เศร้าแต่ก็ดีกว่าวันแรกๆที่เริ่มเป็น จากเหตุการณ์นั้นผมก็เลยตั้งปณิธานอันแน่วแน่กับตนเองใ้ว้ว่า "จะไม่เอาชิวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงตายกับเรื่องแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง"
และนี่คือประสบการณ์ของผมครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดราม่ากันนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าใว้ ณ ที่นี้นะครับ "ขอบคุณครับ"
<DRAMA> ขอเชิญสมาชิกทุกท่านมาแบ่งปันประสบการณ์ อกหักหรือถูกทิ้งกันหน่อยครับ พร้อมทั้งการรับมือหลังจากนั้น
ขอยกตัวอย่างของผมเองนะครับมันเป็นแบบนี้ ความรักของผมเริ่มมาตั้งแต่ปี2547 มาสิ้นสุดลงเอาก็ปีนี้นี่เอง ผมจำต้องกลับสู่สถานภาพโสดอีกครั้ง กรณีของผมนั้นผมไม่ขอเรียกว่า "อกหัก" แต่จะเรียกว่า" ถูกทิ้ง" แทน เพราะเหตุการณ์ในวันนั้นไม่มีแม้แต่การบอกเลิกแม้แต่คำเดียวจากปากของทั้งเธอและผมแต่ผมก็พอจะเข้าใจและรับรู้ได้ว่ามันคือ "การจากลากัน" อย่างแน่นอน หลังจากนั้นผมเศร้าไป2เดือนเศษๆ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยแม้แต่วันเดียว
เพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ทำงานเห็นผิดสังเกตุก็เข้ามาถาม คำถามมีอะไรบ้างนั้นผมจำไม่ค่อยได้แล้ว แต่คำตอบที่ผมตอบกลับไปคือ "มรสุมชีวิต ผมกำลังเผชิญหน้ากับมรสุมชีวิต" หลายๆคนก็มาให้กำลังใจบ้าง และในไม่กี่คนที่รู้จักกับผมมักจะพูดเป็นประโยคคล้ายๆกันว่า "ไม่เหมือนคนที่เคยรู้จัก" จากคนที่ทำโอทีแทบทุกวันก็ไม่ได้ทำ จากคนที่ช่างเจรจาก็เงียบขรึม จากคนที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะก็ซึมเศร้า (ในที่ทำงานนั้นผมจะขึ้นชื่อเรื่องความเพี้ยนและการกวนประสาท ผมจะกวนประสาทสุดๆ แกล้งแทบจะทุกคนที่ผมแกล้งได้จากสารพัดวิธี หลุดโลกไปวันๆ แต่งชุดแขกบ้าง ชุดจีนบ้าง แม้กระทั่งชุดลิเก ผมก็ยังเคยใส่ในที่ทำงาน)
หลังจากเกิดเรื่องเศร้าได้ไม่นานผมไม่อยากกลับบ้านครับ เพราะมันมีอะไรที่เรียกความทรงจำและน้ำตาได้เต็มไปหมด หลังเลิกงานเลยต้องไปนั่งพักและปล่อยอารมณ์อยู่ที่บ้านพี่คนหนึ่งแทบจะทุกวันเพราะพี่คนนี้เขามีความเป็นผู้ใหญ่สูงพอสมควรและให้คำปรึกษาผมได้ในหลายๆเรื่อง ก็นั่งคุยกันไปจนกระทั่งตกเย็นทำใจได้จึงกลับบ้าน วันไหนที่พี่คนนี้หยุดงานผมก็จะเคว้งเลยครับ แต่ยังพอมีสถานที่หนึ่งที่ผมมักจะไปเพื่อนั่งปล่อยอารมณ์คนเดียว ดูต้นไม้ดอกไม้ ดูรถไฟ ดูเรือ และที่สำคัญ "ดูคนมีคู่" ครับ ดูเขาสวีทกัน เดินคู่กัน จับมือกัน แล้วมาย้อนมองดูตัวเอง และหัวเราะออกมาเบาะๆพร้อมทั้งนึกในใจ " นี่แหละ!! ชีวิตมันต้องอย่างนี้ " ตอนนั้นทั้งสะใจและสมเภชตัวเองในเวลาเดียวกัน
กว่าที่ผมจะกลับมาเหมือนเดิมได้ก็เล่นเอาแย่ครับ ปาเข้าไปเกือบ4เดือนที่เสียเวาลาไปเศร้า เสียเวลาไปทำใจ (ตรงนี้สำคัญเสียรายได้ที่ไม่ได้ทำโอที
ทุกวันนี้ผมดีขึ้นกว่าเดิมมาก และสามารถกลับไปทำกิจกรรมหลุดโลกได้ตามปกติ ถ้าหากช่วงเวลานั้นไม่มีพี่ๆเหล่านั้นมาคอยช่วยประคอง ทำกิจกรรมหลายๆอย่าง ป่านนี้ผมคงสติแตกไปแล้วครับ(เพราะผมรักและฝังใจกับเธอมากแม้กระทั่งล็อกเก็ตเงินบรรจุรูปหน้าของเธอที่ผมสั่งทำขึ้นมาเองห้อยติดตัวตลอดทุกวันยังไม่อยากถอดเลยครับแต่ไม่นานมานี้ต้องถอดครับเพราะหูคล้องกับสร้อยเงินขาด) แต่จะมีก็บางช่วงเท่านั้นที่จิตตกเพราะเหตุการณ์ สถานที่ หรือเรื่องราวความทรงจำต่างๆนามาชวนให้เศร้าแต่ก็ดีกว่าวันแรกๆที่เริ่มเป็น จากเหตุการณ์นั้นผมก็เลยตั้งปณิธานอันแน่วแน่กับตนเองใ้ว้ว่า "จะไม่เอาชิวิตตนเองเข้าไปเสี่ยงตายกับเรื่องแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง"
และนี่คือประสบการณ์ของผมครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านจนจบและร่วมแบ่งปันประสบการณ์ดราม่ากันนะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าใว้ ณ ที่นี้นะครับ "ขอบคุณครับ"