เนื่องผมได้พึ่งพาและใช้ประโยชน์จากเว็บ pantip มาเยอะมากแล้ว ประกอบกับจขกท.ไปได้ไปเที่ยวภาคเหนือมากับพอมีเวลาว่าง จะลองค่อยๆ เล่าให้ฟังครับไม่เน้นรายละเอียดนะครับ เพราะเล่าไม่เก่งเน้นดูรูปไปละกัน ใครอยากรู้อะไรถามได้ครับ เผื่อใครกำลังคิดจะไปเที่ยวภาคเหนือในหน้าหนาวนี้
เส้นทางประมาณนี้ครับ
เริ่มต้นที่
วันที่ 4 กลางคืนวิ่งยาว กรุงเทพฯ - แม่สอด ผมพึ่งเคยไปแม่สอดครั้งแรก เส้นตาก แม่สอดช่วงเที่ยงคืนมืดมากมีแต่รถใหญ่วิ่ง ทางขึ้นลงเขาขดเคี้ยวพอสมควร ทำความเร็วได้ไม่มากอาศัยไฟหน้ารถเพียงอย่างเดียว พอถึงแม่สอดตกใจไฟสว่างไสว เมืองใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะเลย
ก่อนออกจากแม่สอดอยู่ๆ รถกระบะคู่ใจเจ้ากรรมดัน start ไม่ติด โชคดีเจอพี่ผู้หญิงที่กำลังจะเปิดกิจการร้านค้าอยู่แถวนั้นใจดีเป็นธุระไปหาช่างมาให้ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดราชการ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้และขอให้กิจการรุ่งเรืองครับ
วันที่ 5 ออกจากแม่สอดสายๆ เพื่อไปที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย และไปกางเต็นท์นอนที่ม่อนกิ่วลม
ที่อช.แม่เมยมีจุดชมวิวหลักๆ อยู่สามที่ ม่อนพูนสุดา ม่อนครูบาใส และสุดท้ายม่อนกิ่วลมที่จขกท.มากางเต็นท์นอน
ทางขึ้นจากที่ทำการอุทยานมาจนถึงกิ่วลมทางลาดยางตลอดแต่เป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก รถเก๋งไม่แนะนำ แต่ก็ยังเห็นมีคนขับเก๋งขึ้นมาหลายคัน ได้ยินแว่วๆ ว่ามาแล้วกลับตัวไม่ได้
ภาพช่วงเย็นบริเวณที่กางเต็นท์ ทางอช.มีการกั้นเขตกางเต็นท์ไว้ให้เป็นมุมถ่ายภาพไม่ให้ใครมาจับจองเป็นทำเลนอนไปกลุ่มเดียว ตรงนี้เป็นแนวคิดที่ดีครับ
บรรยากาศยามเย็น
จขกทขึ้นมาตอนบ่ายสาม เจอคนมากางเต็นท์ก่อนแค่กรุ๊ปเดียว แอบเหว่อ

จนพี่ที่มาก่อนเดินมาทักทายว่ามาคนเดียวเหรอครับ มากินข้าวด้วยกันมั้ย จริงๆ ก็อยากกินไม่น่าสั่งข้าวกล่องขึ้นมาจากข้างล่างเลย
แต่สักเย็นๆ ก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบเต็มลาน ไม่ต้องนอนคนเดียวแล้ววุ้ย
ตัดมาตอนเช้าเลยละกัน ตื่นมาตีห้าครึ่งด้วยเสียงรถที่ขับขึ้นมาจากข้างล่างเพื่อมาชมทะเลหมอก
วิวยามเช้าสำหรับคนไม่มีโชคกับทะเลหมอก
ใครบางคนว่าไว้ "พระอาทิตย์ขึ้นดูที่ไหนก็เหมือนกัน" จริงหรือไม่ คงต้องตัดสินด้วยตาตัวเองเท่านั้น
บางทีการมองในมุมที่เปลี่ยนไปก็อาจจะเห็นอะไรต่างออกไป
วิวระหว่างทางลง ถนนลอยฟ้า?
ชักขี้เกียจทำภาพ
ปิดท้ายอช.แม่เมย จากนี้จะเดินทางเข้าแม่ฮ่องสอน
วันที่ 6 ออกจากอช.แม่เมย วิ่งไปทางเส้นแม่สอด-แม่สะเรียง ทางโหดร้ายทารุนมาก แคบ เปลี่ยว เป็นหลุมเป็นบ่อ

วิ่งไปบนสันเขาเลาะชายแดนไทย-พม่า ไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ได้สังเกตบางช่วงจะเป็นสันเขาจริงๆ แต่จะมีต้นไม้สูงบังตา แต่ผมลองมองลอดออกไปพบว่าซ้ายและขวาเป็นเหว

และการสวนกันแทบจะต้องหยุดรถเลยทีเดียว แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือเส้นนี้มีรถสองแถวประจำทางแม่สอด-แม่สะเรียง วิ่งมาเป็นระยะๆ ระยะทางประมาณ 150 กม. ใช้เวลาประมาณ 3 ชม.ถึงแม่สะเรียง (ไม่มีภาพนะครับ เนื่องจากขับรถคนเดียวเส้นทางไม่ค่อยเอื้อให้จอดถ่ายภาพ)
จากแม่สะเรียงแวะหาอะไรรองท้องและเติมน้ำมันเพื่อเข้าสู่ขุนยวมถิ่นดอกบัวตองนั่นเอง เส้นทางจากตัวอำเภอขุนยวมไปแม่อูคอประมาณ 30 กม. แต่สิบกม.หลังเป็นทางเขาและค่อนข้างแคบ แต่ทางลาดยางเรียบกริ้ป พอไปถึงก็เห็นภาพแบบนี้
แต่ดอกบัวตองเป็นแบบนี้
เลยไม่ได้ภาพอะไรเพิ่มเติม หลังจากนี้เข้าไปนอนตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกับครอบครัว
วันที่ 7 มุ่งหน้าสู่ห้วยน้ำดังที่ใครๆ ต่างยกย่องว่าเป็นสุดยอดทะเลหมอกเมืองไทยพอๆ กับภูชี้ฟ้า
ตัดมายามเย็น มีคนมารอชมพระอาทิตย์ตกเพียบ
หลังพระอาทิตย์ตก
ชักเหงาๆ แล้วสิเราไม่มีคู่มาด้วย
ย้อนกลับมาตอนที่กางเต็น พี่เต็นท์ข้างๆ ชวนกินข้าวด้วยกันอีกแล้ว คราวนี้ด้านได้อายอด

ตกลงครับพี่ หลังจากทานกันก็นั่งคุยกันพอเรื่อยๆ ท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ มิตรภาพก็ดำเนินของมันไปเรื่อยๆ
ก่อนนอนผมหมายมั่นว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้ถ่ายภาพยอดดอยหลวงเชียงดาวให้ได้
วันที่ 8 ปรากฎว่า
ฟ้าปิด

ได้ภาพพอดูได้มาภาพเดียว
ออกมากินมื้อเช้ากับพี่เอ๋ พี่เอก กินง่ายๆ สนทนากันตามประสาคนชอบเที่ยว แล้วก็แยกย้ายกับเก็บของเดินทางต่อ ไปต่อกันที่อช.ผ้าห่มปก
ทางขึ้น 18 กม. เป็นทางลูกรังล้วนและควรเป็นรถขับ 4 เท่านั้น (แต่จริงๆ ผมเห็นมีคนขับกระบะขับสองขึ้นมาด้วย) ส่วนมอไซต์คิดว่าขึ้นได้ทุกคันถ้าใจถึงพอ ทางลูกรังเกลี่ยเรียบกริป ตรงที่ชันมากๆ จะเทปูนไว้แล้ว
อันนี้เจอคู่หนุ่มสาวจอดถ่ายถาพที่จุดชมวิวทิวสน ระหว่างทางขึ้นยอดดอย
ขึ้นมาด้วยคันนี้
ตัดขึ้นมาชมวิวข้างบนเลยครับ เนื่องจากการขึ้นไปจุดชมวิวต้องเดินไป 3.5 กม. และควรมีเจ้าหน้าที่นำ คือคนนำทาง 300 บาท ผมก็ไปขอแชร์กับเต็นท์ข้างๆ เอา คนไทยใจดีครับ
หลังจากจัดที่ทางเรียบร้อยก็ไปเดินถ่ายภาพยามเย็นต่อ
เนื่องจากเรามาเดี่ยวเลยชอบมองคนมีคู่ ณ ศาลาชมวิวพระอาทิตย์ตก
ณ ความสูง 1,924 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ข้างๆ จุดชมวิว
เช้าวันที่ 9 ตื่นตีสามครึ่งเพื่อขึ้นไปให้ถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 3.5 กม. ในการไต่ระดับไปที่ 2,2xx เมตร ไม่ยากนักสำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ และเช้านี้ก็ไม่หนาวอย่างที่คิดประมาณ 12-13 องศาเท่านั้น
วันนี้ไม่มีดาวบนฟ้า มีแต่ดาวบนดิน
ลองหันมาอีกฝั่ง
เหนื่อยละ ลงดีกว่า ลองมาเต็นท์ข้างๆ ที่เดินขึ้นมาด้วยกันชวนกินข้าวเช้า สบายละ ได้สุกี้ร้อนๆ เป็นมื้อเช้าพร้อมโจ๊กกระป๋องที่เอามาเองนั่งคุยกันสักหน่อยเป็นที่สนุกสนาน
เสร็จแล้วก็เก็บข้างของมุ่งหน้าสู่ลำปาง ปลายทางที่อช.แจ้ซ้อน
ตัดมาเช้าวันที่ 10 เลย นอนสบายที่สุดตั้งแต่มาทริปนี้อากาศเย็นสบายๆ จนตอนตื่นนึกว่านอนอยู่บ้าน
วันนี้ไม่ต้องตื่นเช้ามากนักเพราะเราจะถ่ายแสงช่วงสายๆ หน่อย
ไปที่บ่อน้ำร้อนกันเลย
ขออนุญาตคุณพี่คนนี้ ตอนแรกแกขอให้ผมไปเป็นแบบ แต่ผมปฏิเสธไป สุดท้ายโดนผมแอบถ่าย
พี่เจ้าหน้าที่ขยันทำความสะอาดแต่เช้าเลย
สุดท้ายแล้วครับ
สิ้นสุดการเดินทางคนเดียวที่ยาวนานและไกลที่สุดครั้งนี้ ผมได้อะไรบางอย่างจากการเดินทางครั้งนี้คือคนไทยที่ใจดีและนิสัยดีมากยังมีอีกเยอะครับ
ขอบคุณ คุณพี่ที่ช่วยเหลือตอนรถเสีย รวมถึงช่างซ่อมที่จะไม่เก็บเงินผมด้วย (สุดท้ายผมให้เป็นค่าน้ำมันไป)
ขอบคุณ เพื่อนเต็นท์ข้างๆ ที่ชวนกินข้าว ด้วยอาจจะหน้าตาผมดูอนาถาก็เถอะ (ทำให้ผมไม่ต้องกินมาม่ากระป๋องทุกวัน)
สุดท้ายขอบคุณ คุณแฟนที่รักของผมเอง ที่ปล่อยผมไปบ้าๆ บอๆ ตามประสาโดนไม่ปริปากบ่น
หากใครชอบเดินทางท่องเที่ยวถ่ายภาพมาคุยกันได้ที่
https://www.facebook.com/nat.int
นัท
15 ธันวาคม 2556
[CR] หนีแฟนตะลุยเดี่ยวภาคเหนือ 2,174 กม. 5-10 ธันวาคม 2556
เส้นทางประมาณนี้ครับ
เริ่มต้นที่
วันที่ 4 กลางคืนวิ่งยาว กรุงเทพฯ - แม่สอด ผมพึ่งเคยไปแม่สอดครั้งแรก เส้นตาก แม่สอดช่วงเที่ยงคืนมืดมากมีแต่รถใหญ่วิ่ง ทางขึ้นลงเขาขดเคี้ยวพอสมควร ทำความเร็วได้ไม่มากอาศัยไฟหน้ารถเพียงอย่างเดียว พอถึงแม่สอดตกใจไฟสว่างไสว เมืองใหญ่กว่าที่คิดไว้เยอะเลย
ก่อนออกจากแม่สอดอยู่ๆ รถกระบะคู่ใจเจ้ากรรมดัน start ไม่ติด โชคดีเจอพี่ผู้หญิงที่กำลังจะเปิดกิจการร้านค้าอยู่แถวนั้นใจดีเป็นธุระไปหาช่างมาให้ทั้งๆ ที่เป็นวันหยุดราชการ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้และขอให้กิจการรุ่งเรืองครับ
วันที่ 5 ออกจากแม่สอดสายๆ เพื่อไปที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย และไปกางเต็นท์นอนที่ม่อนกิ่วลม
ที่อช.แม่เมยมีจุดชมวิวหลักๆ อยู่สามที่ ม่อนพูนสุดา ม่อนครูบาใส และสุดท้ายม่อนกิ่วลมที่จขกท.มากางเต็นท์นอน
ทางขึ้นจากที่ทำการอุทยานมาจนถึงกิ่วลมทางลาดยางตลอดแต่เป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมาก รถเก๋งไม่แนะนำ แต่ก็ยังเห็นมีคนขับเก๋งขึ้นมาหลายคัน ได้ยินแว่วๆ ว่ามาแล้วกลับตัวไม่ได้
ภาพช่วงเย็นบริเวณที่กางเต็นท์ ทางอช.มีการกั้นเขตกางเต็นท์ไว้ให้เป็นมุมถ่ายภาพไม่ให้ใครมาจับจองเป็นทำเลนอนไปกลุ่มเดียว ตรงนี้เป็นแนวคิดที่ดีครับ
บรรยากาศยามเย็น
จขกทขึ้นมาตอนบ่ายสาม เจอคนมากางเต็นท์ก่อนแค่กรุ๊ปเดียว แอบเหว่อ
แต่สักเย็นๆ ก็มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกือบเต็มลาน ไม่ต้องนอนคนเดียวแล้ววุ้ย
ตัดมาตอนเช้าเลยละกัน ตื่นมาตีห้าครึ่งด้วยเสียงรถที่ขับขึ้นมาจากข้างล่างเพื่อมาชมทะเลหมอก
วิวยามเช้าสำหรับคนไม่มีโชคกับทะเลหมอก
ใครบางคนว่าไว้ "พระอาทิตย์ขึ้นดูที่ไหนก็เหมือนกัน" จริงหรือไม่ คงต้องตัดสินด้วยตาตัวเองเท่านั้น
บางทีการมองในมุมที่เปลี่ยนไปก็อาจจะเห็นอะไรต่างออกไป
วิวระหว่างทางลง ถนนลอยฟ้า?
ชักขี้เกียจทำภาพ
ปิดท้ายอช.แม่เมย จากนี้จะเดินทางเข้าแม่ฮ่องสอน
วันที่ 6 ออกจากอช.แม่เมย วิ่งไปทางเส้นแม่สอด-แม่สะเรียง ทางโหดร้ายทารุนมาก แคบ เปลี่ยว เป็นหลุมเป็นบ่อ
จากแม่สะเรียงแวะหาอะไรรองท้องและเติมน้ำมันเพื่อเข้าสู่ขุนยวมถิ่นดอกบัวตองนั่นเอง เส้นทางจากตัวอำเภอขุนยวมไปแม่อูคอประมาณ 30 กม. แต่สิบกม.หลังเป็นทางเขาและค่อนข้างแคบ แต่ทางลาดยางเรียบกริ้ป พอไปถึงก็เห็นภาพแบบนี้
แต่ดอกบัวตองเป็นแบบนี้
เลยไม่ได้ภาพอะไรเพิ่มเติม หลังจากนี้เข้าไปนอนตัวเมืองแม่ฮ่องสอนกับครอบครัว
วันที่ 7 มุ่งหน้าสู่ห้วยน้ำดังที่ใครๆ ต่างยกย่องว่าเป็นสุดยอดทะเลหมอกเมืองไทยพอๆ กับภูชี้ฟ้า
ตัดมายามเย็น มีคนมารอชมพระอาทิตย์ตกเพียบ
หลังพระอาทิตย์ตก
ชักเหงาๆ แล้วสิเราไม่มีคู่มาด้วย
ย้อนกลับมาตอนที่กางเต็น พี่เต็นท์ข้างๆ ชวนกินข้าวด้วยกันอีกแล้ว คราวนี้ด้านได้อายอด
ก่อนนอนผมหมายมั่นว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้ถ่ายภาพยอดดอยหลวงเชียงดาวให้ได้
วันที่ 8 ปรากฎว่า
ฟ้าปิด
ออกมากินมื้อเช้ากับพี่เอ๋ พี่เอก กินง่ายๆ สนทนากันตามประสาคนชอบเที่ยว แล้วก็แยกย้ายกับเก็บของเดินทางต่อ ไปต่อกันที่อช.ผ้าห่มปก
ทางขึ้น 18 กม. เป็นทางลูกรังล้วนและควรเป็นรถขับ 4 เท่านั้น (แต่จริงๆ ผมเห็นมีคนขับกระบะขับสองขึ้นมาด้วย) ส่วนมอไซต์คิดว่าขึ้นได้ทุกคันถ้าใจถึงพอ ทางลูกรังเกลี่ยเรียบกริป ตรงที่ชันมากๆ จะเทปูนไว้แล้ว
อันนี้เจอคู่หนุ่มสาวจอดถ่ายถาพที่จุดชมวิวทิวสน ระหว่างทางขึ้นยอดดอย
ขึ้นมาด้วยคันนี้
ตัดขึ้นมาชมวิวข้างบนเลยครับ เนื่องจากการขึ้นไปจุดชมวิวต้องเดินไป 3.5 กม. และควรมีเจ้าหน้าที่นำ คือคนนำทาง 300 บาท ผมก็ไปขอแชร์กับเต็นท์ข้างๆ เอา คนไทยใจดีครับ
หลังจากจัดที่ทางเรียบร้อยก็ไปเดินถ่ายภาพยามเย็นต่อ
เนื่องจากเรามาเดี่ยวเลยชอบมองคนมีคู่ ณ ศาลาชมวิวพระอาทิตย์ตก
ณ ความสูง 1,924 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
ข้างๆ จุดชมวิว
เช้าวันที่ 9 ตื่นตีสามครึ่งเพื่อขึ้นไปให้ถึงยอดก่อนพระอาทิตย์ขึ้น 3.5 กม. ในการไต่ระดับไปที่ 2,2xx เมตร ไม่ยากนักสำหรับคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ และเช้านี้ก็ไม่หนาวอย่างที่คิดประมาณ 12-13 องศาเท่านั้น
วันนี้ไม่มีดาวบนฟ้า มีแต่ดาวบนดิน
ลองหันมาอีกฝั่ง
เหนื่อยละ ลงดีกว่า ลองมาเต็นท์ข้างๆ ที่เดินขึ้นมาด้วยกันชวนกินข้าวเช้า สบายละ ได้สุกี้ร้อนๆ เป็นมื้อเช้าพร้อมโจ๊กกระป๋องที่เอามาเองนั่งคุยกันสักหน่อยเป็นที่สนุกสนาน
เสร็จแล้วก็เก็บข้างของมุ่งหน้าสู่ลำปาง ปลายทางที่อช.แจ้ซ้อน
ตัดมาเช้าวันที่ 10 เลย นอนสบายที่สุดตั้งแต่มาทริปนี้อากาศเย็นสบายๆ จนตอนตื่นนึกว่านอนอยู่บ้าน
วันนี้ไม่ต้องตื่นเช้ามากนักเพราะเราจะถ่ายแสงช่วงสายๆ หน่อย
ไปที่บ่อน้ำร้อนกันเลย
ขออนุญาตคุณพี่คนนี้ ตอนแรกแกขอให้ผมไปเป็นแบบ แต่ผมปฏิเสธไป สุดท้ายโดนผมแอบถ่าย
พี่เจ้าหน้าที่ขยันทำความสะอาดแต่เช้าเลย
สุดท้ายแล้วครับ
สิ้นสุดการเดินทางคนเดียวที่ยาวนานและไกลที่สุดครั้งนี้ ผมได้อะไรบางอย่างจากการเดินทางครั้งนี้คือคนไทยที่ใจดีและนิสัยดีมากยังมีอีกเยอะครับ
ขอบคุณ คุณพี่ที่ช่วยเหลือตอนรถเสีย รวมถึงช่างซ่อมที่จะไม่เก็บเงินผมด้วย (สุดท้ายผมให้เป็นค่าน้ำมันไป)
ขอบคุณ เพื่อนเต็นท์ข้างๆ ที่ชวนกินข้าว ด้วยอาจจะหน้าตาผมดูอนาถาก็เถอะ (ทำให้ผมไม่ต้องกินมาม่ากระป๋องทุกวัน)
สุดท้ายขอบคุณ คุณแฟนที่รักของผมเอง ที่ปล่อยผมไปบ้าๆ บอๆ ตามประสาโดนไม่ปริปากบ่น
หากใครชอบเดินทางท่องเที่ยวถ่ายภาพมาคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/nat.int
นัท
15 ธันวาคม 2556