ลิงค์ตอนที่แล้ว (ภาค 3) :
http://pantip.com/topic/31362371
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ของผมเท่านั้น และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ
: Part 4 Diamond is Unbreakable" (ฉบับสมบูรณ์)
นักเขียนการ์ตูนหลายๆคนจะมีบางสิ่งที่เหมือนกันในการวางพล็อตการ์ตูน คือจะชอบ
อวยในที่สิ่งที่ตัวเองรักหรือโตมากับมันและเขียนมันด้วยทัศนคติที่มีแต่เรื่องดีๆ แล้วเอา
มาวางในพล็อตของตนเอง เช่นเรื่อง เพื่อนสมัยเด็กหรือคนในครอบครัว, สัตว์เลี้ยงตัว
โปรด ไม่ก็
"บ้านเกิด" ...ซึ่งก็คงจะไม่แปลกที่คนสร้างสรรค์ผลงานจะเอาของรักที่อยู่ใกล้ๆ
ตัวมาใช้ในงาน เพราะมันเป็นแรงบัลดาลใจง่ายๆใกล้มือ ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่นักเขียน
การ์ตูนรู้จักดีด้วยความรัก ^ ^ ซึ่งก็สมเหตุสมผลที่ อ.อารากิ อยากจะหวนคิดเรื่อง
"รักบ้านเกิด" ในผลงานของตัวเองบ้างจนเกิดเป็นฉากหลังและพล็อตหลักของ
โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 4 นี้เอง
หลังจากผจญภัยนอกบ้านมานาน 100 ปี ในภาค 4 อ.อารากิ ก็ขอกลับมาที่ญี่ปุ่นแบบ
เต็มๆซะที เพราะการเล่าเรื่องของชีวิตคนเมืองอันแสนสงบสุขนั้นต้องกลับมาเล่าในบ้าน
เกิดเหมาะสมที่สุดแล้ว จนในที่สุด อ.อารากิ ก็เอาสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาประกอบกับองค์
ประกอบเล็กๆน้อยๆ ต่างๆมาเสริมจนกลายเป็น "เมืองโมริโอ" เมืองที่แฟนๆโจโจ้อย่าง
เราๆอยากไปเยือนซักครั้งในชีวิต (ไปเมืองเซนไดน่าจะใกล้เคียงกับโมริโอที่สุดนะครับ
ฮ่าฮ่า ไปเดินแล้วคิดซะว่าเป็นโมริโอละกัน)
ในภาค 4 จะไม่เกี่ยวพันกับการต่อสู้ที่ส่งผลมาจากชะตากรรมของตระกูลในอดีตอีกแล้ว
แต่จะเป็นเรื่องราวของเหล่าคนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นมาปกป้องเมืองที่พวกเขารัก ด้วยความ
กล้าหาญและแข็งแกร่งดุจเพชรแท้ไม่มีวันสลาย!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Let's Go Hunting!
ถ้าเปรียบเทียบโจโจ้ภาคนี้เป็นกาแฟ (กาแฟอีกแล้ว ฮ่าฮ่า) ก็เป็นกาแฟแก้วที่ต่างกับ 3
แก้วก่อนๆพอสมควร เป็นกาแฟรสชาติเดียวกัน แต่มีความนุ่มนวลและหวานกว่ากันนิดหน่อย
ซึ่งก็เหมือนกับเรื่องราวชีวิตเด็กมัธยมในภาคนี้ที่เดินเรื่องแบบ
"เรื่องราวประจำวัน" ที่ไม่รีบ
ไม่เร่งเร้าเรื่องราว ปล่อยให้เรื่องมันเดินไปเรื่อยๆ ทำให้ภาค 4 มีบรรยากาศเอื้อยเจื้อยต่างจาก
ภาคก่อนๆมาก ...ด้านเนื้อหานั้นด้วยความที่ไม่มีอะไรติดพันมาจากภาคเก่ามากนัก ทำให้มีอิสระ
ที่จะเล่นประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจมากขึ้น เช่น การพบกับ
"ลูกธนูกับคันศร" อุปกรณ์ที่สามารถดึง
เอาความสามารถสแตนด์ออกมาได้ หรือเผยว่าระหว่างช่วง 50 วันที่พวกโจทาโร่ออกเดินทาง
นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในภาค 4 นี้จะเป็นเรื่องราวเรียบง่ายของบรรดาคนเมืองโมริโอที่ต้องเจอกับเรื่องราวแปลกๆที่เกิด
จากพลังของเหล่าผู้ใช้สแตนด์จนทำให้กลุ่มตัวเอกหัวใจทองคำต้องมาพิทักษ์ เป็นหูเป็นตา
และปกป้องเมืองที่รักของพวกเขา ...จะเห็นว่าพล็อตของภาค 4 ต่างจากภาคก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
ที่ไม่มีการผจญภัยอีกแล้ว แต่จะเป็นเหตุการณ์ที่ตัวละครพบกเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งตัวเอกอย่าง
"ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ" ก็ไม่ต้องแบกรับชะตากรรมของตระกูลแบบโจทาโร่ แต่จะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม
อายุ 16 ผู้อ่อนโยนและเลือดร้อนที่มีจิตใจที่จะใช้พลังที่ตนมีปกป้องทุกๆคน (อ.อารากิเคยบอก
ไว้ว่าเขาชอบโจสุเกะที่สุดในบรรดาโจสตาร์ตัวเอก เพราะสำหรับโจทาโร่นั้นเป็นเหมือนแอ็คชั่น
ฮีโร่ผู้ห้าวหาญกล้าแกร่ง แต่โจสุเกะจะเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนน้องชาย มากกว่า)
อาจจะดูเป็นการตั้งคำถามที่สิ้นคิดไปหน่อย แต่ในภาค 4 นั้น มันก็ตอบคำถามข้อหนึ่งได้ดีว่า
"ถ้าไม่มีชะตากรรมจากบรรพบุรุษ คนเราจะมาทำตัวเป็นฮีโร่ปกป้องเมืองไปทำไม?" ซึ่งการ
กระทำของโจสุเกะและพรรคพวกก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องมีอะไรมากมายกับตัว แค่มีหัวใจที่
ดีงามและไม่อ่อนข้อให้ความชั่วร้ายมันก็เป็นพลังที่จะเอาไว้พิทักษ์เมืองได้แล้ว (บางคนอาจ
จะเถียงว่า
"ถ้าไม่มีสแตนด์กับตัว เราจะไปทำอะไรได้?" แต่อย่าลืมนะครับว่า ฮายาโตะ ก็เป็น
แค่เด็กประถม เรมิจัง ก็เป็นแค่วิญญาณ แต่พวกเขาก็มีพลังใจพอๆกับเหล่าผู้ใช้สแตนด์ทั้งหลายเลย)
ยังจำที่เรมิจังพูดได้อย่างขึ้นใจเลยครับ ว่า
"หากคนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างพวกเธอไม่นำความภาค
ภูมิใจและความสงบสุขมาสู่เมือง แล้วใครจะเป็นคนทำ!" เป็นสิ่งที่พวกเรารู้กันดีว่า ไม่ว่าจะเกิด
เรื่องไม่ดียังไงกับส่วนรวม
"ความสามัคคี" ก็คือพลังสำคัญที่สุด มันไม่ใช่หน้าที่แต่มันคือความ
รับผิดชอบที่เราทุกคนมีส่วนร่วมกัน (ขอยืมคำมาจากลุงเบน พาร์คเกอร์ นิดๆ XD)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Town Guardian Spirits
สิ่งที่ อ.อารากิ เริ่มจะเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆเวลาเขียนโจโจ้ออกมาใหม่แต่ละภาคอีกอย่าง
หนึ่งคือ การเพิ่มตัวละครเยอะๆลงไป และทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีความน่าสนใจ และ
น่าจดจำไม่ว่าตัวละครตัวนั้นจะมีบทน้อยยังไง ก็ยังมีเอกลักษณ์ให้คนอ่านจำได้ ซึ่งใน
ภาคนี้จุดเด่นตรงนี้ก็ชัดเจนขึ้นมาก เพราะ อ.อารากิ สามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่น่าสน
ใจขึ้นมาหลายตัวแม้ตัวนั้นจะไม่ใช่ตัวเอก เช่น กุ๊กโทนิโอ, ชิเงจี้, โอยานางิ เค็น,
มินาโมโต้ เทรุโนะสึเกะ ฯลฯ
ในภาคก่อนๆ สโคปเนื้อหาใหญ่และเดินเรื่องเป็นเส้นเดียว ทำให้ตัวละครไม่ค่อยมีเวลาจะ
ได้เจอเรื่องปกติๆแบบชาวบ้านกันมากนัก ในภาค 4 จึงถือเป็นโอกาศที่ดี ที่ อ.อารากิ จะให้
ตัวละครได้เจอกับปัญหาที่คนเราเจอในชีวิตปกติๆบ้าง การต่อสู้หลายๆครั้งในภาคนี้จึงมัก
จะเกิดขึ้นจากเรื่องหยุมหยิม (แต่ในเวลาตอนนั้นเราจะรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาใหญ่มากกกก)
เช่น เรื่องเงินเก็บ, รักวัยรุ่น, ครอบครัวที่ห่างเหิน, การท้าพนัน หรือแม้แต่เรื่องกิน ...นอกจากนี้
เรายังได้พบว่า สแตนด์นั้นไม่ได้มีเอาไว้ต่อสู้เพียงอย่างเดียว แต่สามารถเอาไปประกอบอาชีพ
ทำมาหากินได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือร้านเสริมสวย หรือแม้แต่เอาไปรีดไถชาวบ้าน
ก็ทำได้ เป็นหารให้ความหมายของความสามารถสแตนด์อีกอย่างหนึ่งคือไม่ใช่แค่พลังพิเศษ
ในทางสู้รบเท่านั้น แต่เป็นพรสววรรค์ประจำตัวของแต่ละคน เหมือน Talent พวกศิลปะ
เขียนการ์ตูน อะไรพวกนี้ ...จะให้กุ๊กโทนิโอมีสแตนด์สายบู๊แบบเครซี่ D มันก็ไม่ใช่เรื่องนะครับ
มันอยู่ที่พรสวรรค์ของคนๆนั้นด้วยว่าเขาควรจะมีสแตนด์แบบไหนดี)
และสำหรับฉากหลังในภาคนี้อย่าง
"เมืองโมริโอ" นั้น เป็นอีกครั้งที่ อ.อารากิ สร้างเมือง
สมมุตรขึ้นมาเป็นฉากหลัง ซึ่งจะต่างจากกรณี
"เมืองวินไนท์" ในภาค 1 ที่ใช้แป๊บเดียว
เพราะเมืองโมริโอเปรียบเสมือนกับตัวละครตัวหนึ่งที่อยู่เป็นฉากหลังของภาค 4 ไปจนจบ
ภาค ที่ อ.อารากิ ใส่รายละเอียดลงไปทั้งรายละเอียดแผนที่และองค์ประกอบเมือง จนทำ
ให้เมืองโมริโอ มีความเป็นเมืองจริงๆมาก
การต่อสู้ในภาคนี้ก็ปรับเปลี่ยนไปอีก คือเป็นลูกผสมระหว่างฉากบู๊แหลกลาญในภาค 3 กับการ
ใช้ไหวพริบในการต่อสู้ในภาค 2 คือมีความสมดุลระหว่างการใช้กำลังกับการใช้ไหวพริบ ด้วย
ความสบายๆเบาๆในภาคนี้ทำให้เราไม่ได้เจอกับฉากต่อสู้อย่างเดียวแล้ว แต่จะมีเรื่องราวและ
เหตุการ์ณแปลกๆตั้งแต่ขำๆไปจนถึงคอขาดบาดตาย ...ซึ่งก็จริงที่มันทำให้โทนเรื่องดูจืดลง
กว่าภาคก่อน แต่ก็ทำให้เรื่องมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องบู๊ๆอีกต่อไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลมาภึงภาคหลังๆด้วย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
[JOJO] บทความพิเศษ : เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ : Part 4 Diamond is Unbreakable" (ฉบับสมบูรณ์)
หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ของผมเท่านั้น และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
: Part 4 Diamond is Unbreakable" (ฉบับสมบูรณ์)
นักเขียนการ์ตูนหลายๆคนจะมีบางสิ่งที่เหมือนกันในการวางพล็อตการ์ตูน คือจะชอบ
อวยในที่สิ่งที่ตัวเองรักหรือโตมากับมันและเขียนมันด้วยทัศนคติที่มีแต่เรื่องดีๆ แล้วเอา
มาวางในพล็อตของตนเอง เช่นเรื่อง เพื่อนสมัยเด็กหรือคนในครอบครัว, สัตว์เลี้ยงตัว
โปรด ไม่ก็ "บ้านเกิด" ...ซึ่งก็คงจะไม่แปลกที่คนสร้างสรรค์ผลงานจะเอาของรักที่อยู่ใกล้ๆ
ตัวมาใช้ในงาน เพราะมันเป็นแรงบัลดาลใจง่ายๆใกล้มือ ที่สำคัญคือมันเป็นสิ่งที่นักเขียน
การ์ตูนรู้จักดีด้วยความรัก ^ ^ ซึ่งก็สมเหตุสมผลที่ อ.อารากิ อยากจะหวนคิดเรื่อง
"รักบ้านเกิด" ในผลงานของตัวเองบ้างจนเกิดเป็นฉากหลังและพล็อตหลักของ
โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ภาค 4 นี้เอง
หลังจากผจญภัยนอกบ้านมานาน 100 ปี ในภาค 4 อ.อารากิ ก็ขอกลับมาที่ญี่ปุ่นแบบ
เต็มๆซะที เพราะการเล่าเรื่องของชีวิตคนเมืองอันแสนสงบสุขนั้นต้องกลับมาเล่าในบ้าน
เกิดเหมาะสมที่สุดแล้ว จนในที่สุด อ.อารากิ ก็เอาสิ่งที่เขาคุ้นเคยมาประกอบกับองค์
ประกอบเล็กๆน้อยๆ ต่างๆมาเสริมจนกลายเป็น "เมืองโมริโอ" เมืองที่แฟนๆโจโจ้อย่าง
เราๆอยากไปเยือนซักครั้งในชีวิต (ไปเมืองเซนไดน่าจะใกล้เคียงกับโมริโอที่สุดนะครับ
ฮ่าฮ่า ไปเดินแล้วคิดซะว่าเป็นโมริโอละกัน)
ในภาค 4 จะไม่เกี่ยวพันกับการต่อสู้ที่ส่งผลมาจากชะตากรรมของตระกูลในอดีตอีกแล้ว
แต่จะเป็นเรื่องราวของเหล่าคนหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นมาปกป้องเมืองที่พวกเขารัก ด้วยความ
กล้าหาญและแข็งแกร่งดุจเพชรแท้ไม่มีวันสลาย!
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Let's Go Hunting!
ถ้าเปรียบเทียบโจโจ้ภาคนี้เป็นกาแฟ (กาแฟอีกแล้ว ฮ่าฮ่า) ก็เป็นกาแฟแก้วที่ต่างกับ 3
แก้วก่อนๆพอสมควร เป็นกาแฟรสชาติเดียวกัน แต่มีความนุ่มนวลและหวานกว่ากันนิดหน่อย
ซึ่งก็เหมือนกับเรื่องราวชีวิตเด็กมัธยมในภาคนี้ที่เดินเรื่องแบบ "เรื่องราวประจำวัน" ที่ไม่รีบ
ไม่เร่งเร้าเรื่องราว ปล่อยให้เรื่องมันเดินไปเรื่อยๆ ทำให้ภาค 4 มีบรรยากาศเอื้อยเจื้อยต่างจาก
ภาคก่อนๆมาก ...ด้านเนื้อหานั้นด้วยความที่ไม่มีอะไรติดพันมาจากภาคเก่ามากนัก ทำให้มีอิสระ
ที่จะเล่นประเด็นอื่นๆที่น่าสนใจมากขึ้น เช่น การพบกับ "ลูกธนูกับคันศร" อุปกรณ์ที่สามารถดึง
เอาความสามารถสแตนด์ออกมาได้ หรือเผยว่าระหว่างช่วง 50 วันที่พวกโจทาโร่ออกเดินทาง
นั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ในภาค 4 นี้จะเป็นเรื่องราวเรียบง่ายของบรรดาคนเมืองโมริโอที่ต้องเจอกับเรื่องราวแปลกๆที่เกิด
จากพลังของเหล่าผู้ใช้สแตนด์จนทำให้กลุ่มตัวเอกหัวใจทองคำต้องมาพิทักษ์ เป็นหูเป็นตา
และปกป้องเมืองที่รักของพวกเขา ...จะเห็นว่าพล็อตของภาค 4 ต่างจากภาคก่อนๆอย่างสิ้นเชิง
ที่ไม่มีการผจญภัยอีกแล้ว แต่จะเป็นเหตุการณ์ที่ตัวละครพบกเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งตัวเอกอย่าง
"ฮิงาชิคาตะ โจสุเกะ" ก็ไม่ต้องแบกรับชะตากรรมของตระกูลแบบโจทาโร่ แต่จะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม
อายุ 16 ผู้อ่อนโยนและเลือดร้อนที่มีจิตใจที่จะใช้พลังที่ตนมีปกป้องทุกๆคน (อ.อารากิเคยบอก
ไว้ว่าเขาชอบโจสุเกะที่สุดในบรรดาโจสตาร์ตัวเอก เพราะสำหรับโจทาโร่นั้นเป็นเหมือนแอ็คชั่น
ฮีโร่ผู้ห้าวหาญกล้าแกร่ง แต่โจสุเกะจะเป็นเหมือนเพื่อน เหมือนน้องชาย มากกว่า)
อาจจะดูเป็นการตั้งคำถามที่สิ้นคิดไปหน่อย แต่ในภาค 4 นั้น มันก็ตอบคำถามข้อหนึ่งได้ดีว่า
"ถ้าไม่มีชะตากรรมจากบรรพบุรุษ คนเราจะมาทำตัวเป็นฮีโร่ปกป้องเมืองไปทำไม?" ซึ่งการ
กระทำของโจสุเกะและพรรคพวกก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ต้องมีอะไรมากมายกับตัว แค่มีหัวใจที่
ดีงามและไม่อ่อนข้อให้ความชั่วร้ายมันก็เป็นพลังที่จะเอาไว้พิทักษ์เมืองได้แล้ว (บางคนอาจ
จะเถียงว่า "ถ้าไม่มีสแตนด์กับตัว เราจะไปทำอะไรได้?" แต่อย่าลืมนะครับว่า ฮายาโตะ ก็เป็น
แค่เด็กประถม เรมิจัง ก็เป็นแค่วิญญาณ แต่พวกเขาก็มีพลังใจพอๆกับเหล่าผู้ใช้สแตนด์ทั้งหลายเลย)
ยังจำที่เรมิจังพูดได้อย่างขึ้นใจเลยครับ ว่า "หากคนที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างพวกเธอไม่นำความภาค
ภูมิใจและความสงบสุขมาสู่เมือง แล้วใครจะเป็นคนทำ!" เป็นสิ่งที่พวกเรารู้กันดีว่า ไม่ว่าจะเกิด
เรื่องไม่ดียังไงกับส่วนรวม "ความสามัคคี" ก็คือพลังสำคัญที่สุด มันไม่ใช่หน้าที่แต่มันคือความ
รับผิดชอบที่เราทุกคนมีส่วนร่วมกัน (ขอยืมคำมาจากลุงเบน พาร์คเกอร์ นิดๆ XD)
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
Town Guardian Spirits
สิ่งที่ อ.อารากิ เริ่มจะเก่งกาจขึ้นเรื่อยๆเวลาเขียนโจโจ้ออกมาใหม่แต่ละภาคอีกอย่าง
หนึ่งคือ การเพิ่มตัวละครเยอะๆลงไป และทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีความน่าสนใจ และ
น่าจดจำไม่ว่าตัวละครตัวนั้นจะมีบทน้อยยังไง ก็ยังมีเอกลักษณ์ให้คนอ่านจำได้ ซึ่งใน
ภาคนี้จุดเด่นตรงนี้ก็ชัดเจนขึ้นมาก เพราะ อ.อารากิ สามารถสร้างคาแรคเตอร์ที่น่าสน
ใจขึ้นมาหลายตัวแม้ตัวนั้นจะไม่ใช่ตัวเอก เช่น กุ๊กโทนิโอ, ชิเงจี้, โอยานางิ เค็น,
มินาโมโต้ เทรุโนะสึเกะ ฯลฯ
ในภาคก่อนๆ สโคปเนื้อหาใหญ่และเดินเรื่องเป็นเส้นเดียว ทำให้ตัวละครไม่ค่อยมีเวลาจะ
ได้เจอเรื่องปกติๆแบบชาวบ้านกันมากนัก ในภาค 4 จึงถือเป็นโอกาศที่ดี ที่ อ.อารากิ จะให้
ตัวละครได้เจอกับปัญหาที่คนเราเจอในชีวิตปกติๆบ้าง การต่อสู้หลายๆครั้งในภาคนี้จึงมัก
จะเกิดขึ้นจากเรื่องหยุมหยิม (แต่ในเวลาตอนนั้นเราจะรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาใหญ่มากกกก)
เช่น เรื่องเงินเก็บ, รักวัยรุ่น, ครอบครัวที่ห่างเหิน, การท้าพนัน หรือแม้แต่เรื่องกิน ...นอกจากนี้
เรายังได้พบว่า สแตนด์นั้นไม่ได้มีเอาไว้ต่อสู้เพียงอย่างเดียว แต่สามารถเอาไปประกอบอาชีพ
ทำมาหากินได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารหรือร้านเสริมสวย หรือแม้แต่เอาไปรีดไถชาวบ้าน
ก็ทำได้ เป็นหารให้ความหมายของความสามารถสแตนด์อีกอย่างหนึ่งคือไม่ใช่แค่พลังพิเศษ
ในทางสู้รบเท่านั้น แต่เป็นพรสววรรค์ประจำตัวของแต่ละคน เหมือน Talent พวกศิลปะ
เขียนการ์ตูน อะไรพวกนี้ ...จะให้กุ๊กโทนิโอมีสแตนด์สายบู๊แบบเครซี่ D มันก็ไม่ใช่เรื่องนะครับ
มันอยู่ที่พรสวรรค์ของคนๆนั้นด้วยว่าเขาควรจะมีสแตนด์แบบไหนดี)
และสำหรับฉากหลังในภาคนี้อย่าง "เมืองโมริโอ" นั้น เป็นอีกครั้งที่ อ.อารากิ สร้างเมือง
สมมุตรขึ้นมาเป็นฉากหลัง ซึ่งจะต่างจากกรณี "เมืองวินไนท์" ในภาค 1 ที่ใช้แป๊บเดียว
เพราะเมืองโมริโอเปรียบเสมือนกับตัวละครตัวหนึ่งที่อยู่เป็นฉากหลังของภาค 4 ไปจนจบ
ภาค ที่ อ.อารากิ ใส่รายละเอียดลงไปทั้งรายละเอียดแผนที่และองค์ประกอบเมือง จนทำ
ให้เมืองโมริโอ มีความเป็นเมืองจริงๆมาก
การต่อสู้ในภาคนี้ก็ปรับเปลี่ยนไปอีก คือเป็นลูกผสมระหว่างฉากบู๊แหลกลาญในภาค 3 กับการ
ใช้ไหวพริบในการต่อสู้ในภาค 2 คือมีความสมดุลระหว่างการใช้กำลังกับการใช้ไหวพริบ ด้วย
ความสบายๆเบาๆในภาคนี้ทำให้เราไม่ได้เจอกับฉากต่อสู้อย่างเดียวแล้ว แต่จะมีเรื่องราวและ
เหตุการ์ณแปลกๆตั้งแต่ขำๆไปจนถึงคอขาดบาดตาย ...ซึ่งก็จริงที่มันทำให้โทนเรื่องดูจืดลง
กว่าภาคก่อน แต่ก็ทำให้เรื่องมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องบู๊ๆอีกต่อไป
ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลมาภึงภาคหลังๆด้วย
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -