[JOJO] บทความพิเศษ : เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ : Part 3 Stardust Crusaders" (ฉบับสมบูรณ์)

ลิงค์ตอนที่แล้ว (ภาค 2) : http://pantip.com/topic/31313122

หมายเหตุ : เนื้อหาในบทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัว
ของผมเท่านั้น และในเนื้อหามีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญในการ์ตูน


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -




เจาะลึก "โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ
: Part 3 Stardust Crusaders" (ฉบับสมบูรณ์)



หลังจากผ่านเรื่องดราม่าในครอบครัว กับการต่อสู้ระหว่างนักรบพลังคลื่นมนตรา
กับเหล่าแวมไพร์และสุดยอดสิ่งมีชีวิตมา 2 ภาค ในที่สุด โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ
ก็มาถึงจุดพลิกครั้งสำคัญที่ทำให้โจโจ้กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างภาคนี้กันแล้วนะครับ
...และตอนนี้อนิเมะซีซั่น 2 ก็กำลังจะฉายในปีหน้าแล้วด้วย ถือว่าเป็นการทบทวน
ความจำเพื่อโหมโรงเดินหน้าเข้าสู่ตำนานที่ยิ่งใหญ่หน้านี้กันไปเลยนะครับ


ถ้าจะมีคนเชื่อว่า ภาค 1-2 ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อจะใช้เป็นอารัมภบทมาสู่ภาค 3
ก็คงจะไม่ผิดเลยนะครับ เพราะดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างจะถูกเขียนขึ้นมาเพื่อส่ง
เสริมประเด็นในภาค 3 ได้ลงตัวจบในสามภาคมากๆ ที่สำคัญก็คือทุกๆคนคงจะ
ทราบดีว่า นี่คือภาคที่ทำให้โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ กลายเป็นการ์ตูนฮิตในวง
กว้างได้สำเร็จ และยังสร้างความคลาสสิคมาประดับวงการการ์ตูนไว้ 2 อย่างคือ
พลังพิเศษสุดพิศดารอย่าง "แสตนด์" และพระเอกโจโจ้อันดับ 1 ตลอดกาลอย่าง
"คูโจ โจทาโร่" ด้วยนั่นเอง


เหตุที่ภาค 3 เป็นโจโจ้ภาคที่ฮิตมากๆมาจนถึงบัดนี้คนก็ยังยกให้ภาค 3 เป็นภาคที่ดัง
ที่สุดอยู่ ไม่ใช่เพราะเป็นภาคที่มีคุณค่าทางศิลปะหรือมีความลุ่มลึกในระดับปรัชญา
อะไรเลย แต่เพราะมันมีความ "เรียบง่าย" ในแบบที่ทุกๆคนสามารถสนุกได้เกือบหมด
และอยู่ในยุคที่การ์ตูนแอ็คชั่นผจญภัยกำลังนิยมพอดี เรียกได้ว่า "ยิ่งเรียบง่าย ยิ่งคลาสสิค"


และ ...จริงๆผมทราบนะครับว่า "ชื่อภาค" ของภาค 1-5 นั้น อ.อารากิ แกมาตั้งทีหลัง
ตอนที่เขียนภาค 6 นู่นเลย สมัยก่อนโจโจ้จะเดินเรื่องในซีรีย์ชุดเดียวไม่มีการแยกชื่อ
มานานกว่า 63 เล่ม แต่ก็ยังอดวิเคราะห์ไม่ได้อยู่ดีว่า ชื่อภาค "Stardust Crusaders"
นั้นหมายความว่าอย่างไร? (แต่ภาค 3 เปิดเรื่องครั้งแรกโดยใช้คำว่า "Heritage to the Future"
หรือ "มรดกสู่อนาคต") Crusaders น่าจะหมายความถึง "นักรบ" หรือ "ผู้กล้า" ที่เผชิญ
กองทัพและอาวุธนับพันในสงคราม ถ้าเหมาความหมายโดยรวมคงจะแปลตามตัวมัน
แหละครับว่า "นักรบแห่งดวงดาว" ที่ออกเดินทางสู่ศึกที่เดิมพันด้วยมรดกสู่อนาคต..


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


"Battle Apprentice!"


ภาค 3 ยังคงเดินเรื่องด้วยพล็อตเบสิคคือ เหล่าพระเอกและผองเพื่อนออกเดินทาง
ผจญภัยไปปราบบอสในดินแดนห่างไกลเพื่อช่วยโลกและชีวิตของแม่ ซึ่งระหว่างทาง
โจทาโร่และพรรคพวกก็ต้องเจอกับเหล่าศัตรูตามรายทางมากมายและฝ่าฟันไปจนถึง
ด่านสุดท้าย ถ้าเปรียบเทียบก็เป็นเหล่าผู้กล้าในเกม RPG ยังไงยังงั้น (กลุ่มตัวละคร
หลากหลายหลากที่มาทั้ง หนุ่ม ม.ปลาย ชาวญี่ปุ่น 2 คน, สิงห์เฒ่าชาวอังกฤษ,
หมอดูชาวอียิปต์, หนุ่มชาวฝรั่งเศษ, หมาตัวนึง)  


นับเป็นพล็อตที่มังงะใช้กันดาดดื่นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการเดินเรื่องแล้วว่าจะ
เฉียบคมจนสามารถดึงคนอ่านให้ติดหนับได้มั๊ย? เพราะโจโจ้นั้นส่วนใหญ่จะไม่มีพล็อตรอง
ดำเนินเรื่องด้วยพล็อตหลักไปเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้ความสนุกของแต่ละภาคเดินไป
อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งภาค 3 ถือว่าเป็นต่อมากในเรื่องการเดินเรื่องด้วยความสนุกไปตลอด
จนจบ เพราะเนื้อหาง่ายๆแต่องค์ประกอบรายรอบที่สนุกและน่าสนใจ อีกทั้งอย่างที่เคยคือ
อ.อารากิ ได้สอดแทรกความรู้ต่างๆระหว่างทางลงไปไม่ให้คนอ่านเบื่อเลยซักนิด


(ขอบอกว่าผมเป็นเด็กที่ได้ความรู้เรื่องต่างแดนจากโจโจ้เยอะมากเลยครับ เพราะ อ.อารากิ
พาเราไปทัวร์กันยาวตั้งแต่ฮ่องกง, สิงคโปร์, อินเดีย, อียิปต์ เหมือนได้เที่ยวเองเลยทีเดียว
...ที่ประทับใจมากอย่างหนึ่งคือการได้รู้ตัวเลขของอียิปต์นี่เอง ถือเป็นความรู้นอกห้อง
เรียนที่ดีมากๆนะครับสำหรับเด็กประถมในตอนนั้น ...เห็นมั๊ย ใครว่าการ์ตูนไร้สาระ)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


"The Stand Warriors"


ในภาค 3 นี้ก็เป็นภาคที่ตัวละครหลักแต่ละคนเริ่มมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น
มีบทบาทของตนเองมากขึ้น (ซึ่งเป็นการลบข้อด้อยในภาค 1-2 ตรงนี้ ที่ตัวละคร
รองๆมีบทบาทเดี่ยวๆของตัวเองน้อยไปหน่อยจนไม่สะใจ มาคราวนี้บทบาทของ
เพื่อนๆในกลุ่มตัวเอกเลยมีมากขึ้นกว่าเดิม) และอย่างที่รู้กันดีว่า ตัวเอกในภาคนี้
ถือเป็นพระเอกมังงะระดับตำนานยุค 80 อีกคน นั่นคือ "คูโจ โจทาโร่" นั่นเอง


โจทาโร่ ถูกวางบทให้เป็นลักษณะของแอ็คชั่นฮีโร่ แบบเดียวกับโจนาธานกับโจเซฟ
แต่จะเป็นฮีโร่ที่ผ่านการกลั่นกรองของยุคสมัยมาแล้ว ทำให้โจทาโร่เป็นตัวเอกที่มี
บุคลิกแบบพระเอกเต็มๆ แต่ก็ซ่อนความเป็นพระเอกอันนี้เอาไว้ภายใน คือไม่ใช่พวก
สุภาพบุรุษอย่างชัดเจนแบบโจนาธาน แต่เป็นคนที่เก็บความรู้สึกห่วงใย อ่อนโยน
เอาไว้ในใจ และลุยแหลกด้วยความสุขุมเข้าหาศัตรู ...ไม่แปลกเลยที่โจทาโร่จะครอง
ใจแฟนๆมายาวนาน จนแทบจะเป็นสัญลักษณ์ของการ์ตูนเรื่องนี้ไปเลย (แม้แต่ปกเกม
All Star Battle ก็ยังเป็นโจทาโร่เลย) ผมเองก็ชอบโจทาโร่นะครับ แต่ไม่ได้ชอบที่สุด
แต่ถือว่าประทับใจกับทุกๆอย่างที่โจทาโร่เป็น แบบเดียวกับแฟนๆคนอื่นๆ


ประโยคสุดท้ายที่โจทาโร่พูดกับดีโอว่า "เพราะแกบังอาจทำให้ข้าโกรธไงล่ะ" นั้น
...นอกจากจะเท่ห์สุดๆแล้ว สิ่งที่ทำให้โจทาโร่ชนะและพูดประโยคนั้นออกมานั้น
มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ เขามั่นใจว่าเขาคือธรรมะ และดีโอคืออธรรม และเขา
ก็ต้องชนะ แม้ในตอนนั้นดีโอจะอยู่สภาพฟิตเปรี๊ยะสุดๆ แต่ไม่มีเหตุผลที่ความชั่วจะ
สามารถเอาเอาชนะความถูกต้องได้!!!


ส่วนบอสอย่างดีโอนั้นถือว่าเป็นการเพิ่มสเน่ห์ให้กับบอสที่เคยปรากฏมาแล้ว ให้กลับมา
น่าสนใจได้อย่างน่าประหลาดเลยนะครับ เพราะแม้เราจะได้รู้จักกับดีโอมาเป็นอย่างดีใน
ภาค 1 แต่การกลับมา 100 ปีให้หลังครั้งนี้กลับเพิ่มความน่าสนใจให้ดีโอได้มากกว่าเดิม
ทั้งการปรากฏตัวในเงามืดหรือการปกปิดความสามารถของดีโอเอาไว้ ช่วยสร้างความลึกลับ
และน่าค้นหา ให้กับดีโอได้เป็นอย่างดี (รวมทั้งความฮาด้วยรึเปล่าไม่แน่ใจ) รวมทั้งการฉาก
สู้ระดับตำนานในตอนท้ายระหว่างโจทาโร่กับดีโอ ที่ไม่ได้งงงวยหรือมีชั้นเชิงอะไรมากเท่า
ฉากสู้บอสในภาคหลังๆ แต่มันเปี่ยมพลังและทรงพลัง จนหลายคนยกให้โจโจ้เล่ม 28
เป็นเล่มที่สนุกที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้ ถ้าคิดแบบเว่อร์ๆมันเหมือนกับว่าดีโอหลับไหลไป
100 ปี เพื่อที่จะตื่นขึ้นมาเผชิญหน้ากับโจทาโร่ยังไงยังงั้น


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


"The Evil Spirit's Identity "


พูดถึงเรื่อง "สแตนด์" กันบ้างดีกว่า ....การตัดสินใจที่จะตัดพลังคลื่นมนตราที่เคยใช้เป็น
พลังหลักในการต่อสู้ในภาค 1-2 ออกไป และใส่พลังพิเศษอย่างสแตนด์เข้ามาแทน
ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้โจโจ้ ได้รับการจดจำมากกว่าจะเป็นแค่การ์ตูนแอ็คชั่นโชเนนทั่วๆไป


(เหมือน "เซนต์เซย่า" ที่ถูกจดจำเรื่อง "ชุดคลอธ" ได้พอๆกับความเป็นการ์ตูนแอ็คชั่น และ
"หมัดดาวเหนือ" ที่ตัวละครกับสารพัดวิชาต่อสู้สุดพิศดารเป็นที่จดจำพอๆกับความเป็นการ์ตูน
แอ็คชั่น ...สเน่ห์ของการ์ตูนยุค 80 มันเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง)


ปกติแล้วการสร้างเงื่อนไขในการต่อสู้ในการ์ตูนเรื่องนั้นๆมันจะมีกฏของมันเองอยู่แล้ว
คือถ้าแหวกมากไปจนหลุดกรอบมันก็จะกลายเป็นออกทะเลไปแทน ...แต่กับไอเดียต่างๆใน
โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ นั้น คำว่าออกทะเลนั้นใช้ไม่ได้เลยครับ เพราะพลังสแตนด์นั้นถือเป็น
พลังพิเศษในการ์ตูนมังงะที่สร้างสรรค์มากที่สุดอย่างหนึ่งเลย เพราะด้วยขอบเขตที่ อ.อารากิ
วางไว้เพียงว่า "1 คนจะมีเพียง 1 ความสามารถที่ต่างกันออกไป" ทำให้การสร้างความสามารถ
หรือฉากต่อสู้แปลกๆใหม่ๆ สร้างสรรค์ สามารถทำได้อย่างหลากหลายและอิสระมากๆ แม้แต่
ภาคที่ไม่ค่อยมีความสามารถแปลกๆอย่างภาค 3 นี้ ก็ยังมีซีนแปลกๆให้เราได้เห็นกันเยอะแยะเช่น
ฉากที่คะเคียวอิงโดน เดธ 13 โจมตีในความฝันก็สุดจะประหลาดล้ำ, ฉากที่โปลนาเรฟกลาย
เป็นเด็ก หรือซีนในตำนานอย่างตอนหยุดเวลาของดีโอ ที่ไม่ค่อยได้เห็นในการ์ตูนเรื่องอื่นๆบ่อยนัก


(ปกติการ์ตูนมังงะมักจะเล่นพลังพื้นฐาน ดิน น้ำ ลม ไฟ แต่โจโจ้เลือกใช้พลังอย่าง หยุดเวลา ลบเวลา
ลบมวลสาร ฝังเสียง ฯลฯ มาใช้ จนเกิดความสนุกแบบแปลกๆขึ้นมา จนการ์ยุคหลังเอาไปทำตาม
กันมากมาย ....ความจริงถ้าใครจำได้ พวกพลังดินน้ำลมไฟ อ.อารากิ แกก็เคยเอามาใช้แบบเต็มๆ
กับพวกบุรุษเสาหินนะครับ แต่ก็อย่างที่เห้นว่าหลักการมันออกมาต่างกับในการ์ตูนเรื่องอื่นๆไปเลย)
....แม้ในช่วงแรกๆหลักการสแตนด์จะยังไม่ลงตัวนัก แต่พอดำเนินเรื่องมาซักพักทุกอย่างก็จะกลับ
เข้ารูปของมันเองจนลงตัวในที่สุด


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


"The Long Journey Ends, Goodbye My Friends "


"การผจญภัย, การต่อสู้ด้วยกำลังต่อกำลัง, พลังมิตรภาพ" คือสิ่งที่อยู่ในสายเลือดลูก
ผู้ชายทุกคน เด็กผู้ชายก็ต้องใฝ่หาความตื่นเต้นเป็นธรรมดา โจโจ้ภาค 3 นี้เลยเป็นภาค
ที่มีความเป็นการ์ตูนโชเนนอยู่เต็มเปี่ยมทุกอณู ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนขั้นคลั่ก
...แต่ความลูกผู้ชายเต็มเปี่ยมของภาค 3 มันก็สร้างภาพจำให้กับโจโจ้ไปเหมือนกันนะครับ
พอสไตส์การทำงานของ อ.อารากิ เปลี่ยนมาเป็นตัวของเองขึ้นในภาคหล้งๆ หลายๆ
ท่านก็สลัดภาพความเป็นโชเนนเต็มขั้นแบบในภาค 3 ไปไม่ได้ ...ซึ่งก็ว่าไม่ได้นะครับ
เพราะมันเป็นเรื่องปกติที่ผลงานในอดีตจะเป็นตัวเปรียบเทียบกับความเปลี่ยนแปลงที่
เกิดขึ้นในผลงานที่เปลี่ยนไปในยุคนี้ ...ยังไงก็ตามก็ถือว่า แม้จะเป็นภาคที่มีเนื้อหาสูตร
สำเร็จที่สุด แต่ก็เป็นโจโจ้ในยุคโชเนนที่สนุกคลาสสิคมาจนถึงบัดนี้ ในแบบที่ไม่มีภาค
ไหนจะล้มได้ง่ายๆ


อย่างที่รู้นะครับว่า โจโจ้ภาค 3 นั้นเคยถูกสร้างเป็นอนิเมชั่น OVA มาแล้วในอดีต ซึ่งถือเป็น
OVA คลาสสิคอีกเรื่อง ที่มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ (แต่ส่วนตัวผมออกไปทางก้ำกึ่งครับ
คือชอบในคุณภาพงานและความพิถีพิถัน แต่ก็ไม่ชอบที่ OVA ดึงความเป็นโจโจ้แบบใน
มังงะออกมาไม่ได้เลย โดยเฉพาะสิ่งที่ควรจะมีในภาค 3 อย่างมุขตลกระหว่างทาง แต่ OVA
กับตัดมุขฮาๆออกไปจนไม่เหลือ) ซึ่งเราก้ต้องมาลุ้นกันว่า อนิเมชั่นซีซั่น 2 ของ David Production
จะออกมาหัวหรือก้อย? แต่จากคุณภาพคับแก้วของซีซั่น 1 แล้ว ขอบอกว่าจะไม่ผิดเลยถ้าแฟนๆ
จะตั้งความหวังไว้สูงกัน ว่าอนิเมะภาค 3 ในครั้งนี้จะออกมาสนุก ถอดอารมรณ์มังงะออกมาได้


การจบเนื้อหาของภาค 3 ลงด้วยคำว่า "ลาก่อนสหายรัก และการเดินทางอันแสนยาวนาน"
ของภาคนี้นั้น ฟังดูแล้วเหมือนกับจะเป็นการบอกลาถาวรที่รวบสรุปตั้งแต่ภาค 1 จนถึง 3
ว่าการเดินทางของตระกูลโจสตาร์นั้นจบลงแล้ว ซึ่งจะว่าแบบนั้นก็ได้ เพราะในภาคที่ 4 นั้น
ไม่มีดีโอ ไม่มีการเดินทางรอบโลกอีกแล้ว แต่จะเป็นตำนานบทใหม่ในเมืองแสนสงบสุขแทน...


(To Be Continued>>>)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่