คำแนะนำ : รีวิวผมเป็นรีวิวกาก ๆ ที่ไม่ได้ใส่รายละเอียดข้อมูลแนะนำต่าง ๆ ไว้ให้นะครับ
เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไป ได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา ความรุนแรง ไม่เหมาะแก่เยาวชน นะครับ กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ่ย..รับชม ด้วย
ความเดิมตอนที่แล้ว
จากบ้านไปไกล สู่ดินแดนอาทิตอุทัย ตอนที่ 4 ฟูจิซังขี้อาย....
http://pantip.com/topic/31307044
ฮิโรชิม่า เดินทางเมื่อ 13-14กรกฎาคม2556

อาทิตย์ที่ 5 ของการมาอยู่ภายใต้ดินแดนอาทิตอุทัย ที่นี้ทำให้ผมประทับใจหลายอย่าง คนญี่ปุ่น บ้านเมือง ความสะอาด ความเปนระเบียบ ความสะดวก ที่ไม่ประทับใจเบย คือไอ้ตัวคันจินี่แระ แมร่งเปนอุปสรรคอย่างเดียวที่มี เวลาต้องการอ่านอะไร
สัปดาห์นี้ตั้งใจจะไปโตเกียว แต่ว่าสาวญี่ปุ่นที่ไปเจอตอนไปฟูจิ บอกว่าจะไปอีก 2 สัปดาห์หน้า ไอ้เราก้อด้วยความคลั่งไคล้ในเพศตรงข้าม ก้อเลยต้องเลื่อนโตเกียวไปอีก 2 สัปดาห์หน้า แล้วนัดกินข้าวด้วยซะเลย 55 สัปดาห์นี้ก้อเลยตัดสินใจไปฮิโรชิม่า จิง ๆ รู้แค่ว่าเมืองนี้โดนระเบิดปรมาณูแค่นั้น ก้อเลยอยากไปดูว่าตอนนี้มันเปนไงแล้ว
เช่นเดิมเหมือนทุกสัปดาห์ ออกจากคาริยะตั้งแต่เช้า คราวนี้ไปต่อชินคังเซ็นที่นาโกย่า ครั้งนี้จะเป็นการนั่งชินคังเซ็นที่ไกลที่สุด กับสายที่ไฮโซที่สุด สายโนโซมิ กับความเร็ว 300 กิโลต่อชั่วโมง อาการหลังติดเบาะ มันรู้สึกดีจิง ๆ ใครที่มาเที่ยวแล้วมีความสุขกับการนั่งรถไฟสายธรรมดาทั่วไปข้ามเมืองแล้ว ขอบอกว่าไม่ต้องมานั่งชินคังเซ็นนะคับ ความเร็ว 110 กิโล มันเร็วพอแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่นั่งชินคังเซ็นแล้ว จะหงุดหงิดเล็ก ๆ เวลานั่งรถไฟธรรมดาทันที อีกอย่างมันเป็นยานพาหนะที่นั่งที่สบายที่สุดในสามโลกอะ กว้างเชรี่ย ๆ
ระยะทางจากนาโกย่าถึงฮิโรชิม่าประมาณกรุงเทพลำปาง ใช้เวลาแค่สองชั่วโมง นึกในใจ เมืองไทยคงรอจนหลานบวชซินะ ถึงจะมีใช้กับเค้าบ้าง
ที่เมืองนี้เค้าจะมีบัตรพาสให้ใช้ครับ แบบวันเดียวรู้สึกจะ 700 เยนมั้ง ส่วนแบบสองวัน รวมค่าเรือไปเกาะมิยาจิม่าด้วยก้อ 2000 เยน ใครที่จะไปที่เกาะนี้ ก้อให้ซื้อแบบพาสสองวันเลย ผมว่าคุ้มกว่านะ
หลังจากนั้นก้อรีบนั่งรถไฟไปที่เกาะ ที่ซึ่งผมไม่รู้สนตรีนสนแตกอะไรซ๊ากกาอย่างว่ามันมีอะไรดี รถไฟที่นี้เป็นแบบรถรางวิ่งอยู่ในเมือง แล้วก้อออกไปนอกเมืองด้วย แปลกตากว่าเมืองอื่น ๆ ของญี่ปุ่นดี ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงกว่าจะถึงเกาะ ตูดแทบบานอะ แต่ยังดีที่ญิ๋งตรงข้ามน่ารัก มองหน้าแล้วลืมเรื่องนั่งนานไปได้บ้าง ลงรถไฟเส็ดไปต่อด้วยเรือข้ามฝากที่มีบริการอยู่แล้ว ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง
เกาะมิยาจิม่า ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีวิวสวยติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น จะดีแค่ไหนเด่วเราได้พิสูจน์กัน บนเกาะนี้ มีพวกร้านอาหารแล้วก้อร้านของฝากอยู่เยอะครับ ไม่ใช่แค่คนไทยที่บ้าซื้อของฝาก คนญี่ปุ่นเค้าก้อเปนเหมือนกันนะ พวกขนมเนี่ย ขายดีเรยทีเดียว สถานที่แรกบนเกาะที่จะไปกัน คือวัดชื่ออะไรผมจำมะด้ายนะครับ วัดนี้เวลาน้ำขึ้น เหมือนมันตั้งอยู่บนทะเลเลยอะ มองออกไปนอกชายฝั่ง จะเห็นเสาประตูโทริอิ อันเปนสัญลักษณ์ของวัดจีน ขนาดมหึมา อยู่กลางทะเล หากจะรอเข้าไปสัมผัสใกล้ชิด ก้อต้องรอช่วงเย็น ๆ นะครับ ให้น้ำมันลดก่อน ถึงจะเดินไปได้
ผมมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอันเปนไฮไลท์ ของเกาะ มีชื่อเรียกว่า ภูเขามิเสน ตอนแรกที่ขึ้นอะไม่เท่าไหร่ เพราะว่านั่งกระเช้าขึ้นงะ ชิว ๆ ดูวิวเพลิน ๆ แต่ว่าถ้าจะไปยังจุดสูงสุด ต้องเดินไปอีกเป็นกิโล อยากบอกว่า แมร่งง..เหนื่อยฉริบหายเบย วิวก้อไม่ได้ดีไปกว่าตรงจุดที่กระเช้าถึงอีกด้วย กว่าจะลงมาจากเขา ก้อเย็น ๆ พอดี ทีนี้เราก้อจะได้เห็นเสาโทริอิใกล้ ๆ แระ
หลังจากนั้น ก้อนั่งรถไฟเจอาร์กลับเข้าเมือง คืนนี้ผมพักที่โฮลเทลไม่ไกลจากสถานนีเท่าไหร่ ที่นี้ผมได้พบกับคนที่มาจากที่ต่าง ๆ มากมาย ทั้งคนสิงคโปร์ ฮ่องกง สก็อตแลนด์
เยอรมัน โดยเฉพาะไอ้คนสก็อตแลนด์เนี่ย แมร่งโม้เก่งฉริบหาย ภาษาอังกฤษสำเนียงแหม่ง ๆ ฟังแล้วก้อตลกดี 55 มันบอกว่า บ้านมันนะ ถ้าอุณหภูมิซัก 10 องศานี่ คนทั่วไปก้อไม่อยากออกไปนอกบ้านแระ บอกว่าร้อน ฮีทซ็อค (ขณะที่ญี่ปุ่นตอนนั้น 40 องศา) มันบอกต้องถอดเสื้อเดินอยู่ญี่ปุ่นแล้วเนี่ย....ฟังไปก้อขำ ๆ ดี
คืนนี้ผมได้รับคำแนะนำจากคนดูแลโฮลเทล ให้มากินอาหารประจำเมืองอย่าง โอโกโคโน๊ะ มิยากิ ร้านชื่อดัง (จำมะด้ายแระ) เดินหาอยู่ซักพัก ก้อเจอร้าน พอเข้าไปจะกิน เค้าบอกมาว่า รออีก 1 ชั่วโมงนะคะ สาดดดดด หน้าแทบงาย นี่กรูต้องชั่วโมงเพื่อกินไอ้เชี่ยนี่อะนะ เอาก้อเอาฟระ เค้าเรคคอมเม้นมา ก้อต้องลองจัดซะหน่อย
เช้าวันอาทิตย์รีบตื่น เพื่อได้ออกไปถ่ายภาพได้เยอะ ๆ ออกจากโฮลเทลราว ๆ 8 โมง ไปหาไรกินในสถานีรถไฟ วันนี้ผมมาลองกินราเมนแบบที่ต้องหยอดตู้สั่ง ผลเปนยังไงมะต้องถาม ด้วยภาษาญี่ปุ่นและการอ่านคันจิอันแข็งแกร่งของผม เริ่มจากหยอดเหรียญก่อน หลังจากนั้น มองไปรอบ ๆ เผื่อเจอป้ายโปสเตอร์แนะนำอะไร ก้อเทียบคันจิเอา พอมองแล้ว ไม่มีอะไรซ๊ากกาอย่าง จากนั้นก้อพนมมือยกยึ้นหัว แล้วสาธุเบา ๆ ให้ได้อะไรที่เจ๋ง ๆ แล้วก้อกดแมร่งเบย 55+
ยัง...ยังไม่พอ ต้องมีของเคียงด้วย แว๊บหางตาไปเห็นเหมือนเป็นเต้าหู้ อยากจะกินอันนั้นแหละ ก้อจัดการเทียบตัวคันจิซ๊า แล้วก้อจัดไป หลังจากนั้นเอากระดาษที่หยอดไปให้คนทำ
“อิรัทชัยมาเซะ” ฿ฟ๕๔๔*^&^H แล้วก้อตามด้วยเชี่ยไรไม่รู้ ไอ้เราก้อตอบไปเลยด้วยความมั่นใจ “ไฮ” รอซักพัก ได้ราเมนมาพร้อมกับอะไรม้ายรุ ที่เหมือนเต้าหู้แต่มะช่ายอะ ข้างในเป็นข้าว รสชาติปะแหล่ม ๆ ลำพังแค่ราเมนก้อเยอะพออยู่แล้ว กินแทบไม่หมด ยังต้องมาเจอไอ้ข้าวรสชาติแปลก ๆ อิก แทบอ้วกอะ
หลังจากกินอาหารแทบอ้วกเส็ด ผมก้อไปต่อยังสถานที่รำลึกของเมืองฮิโรชิม่า เกมบัคคุโดมมุ หรืออะตอมมิคโดม นั่นเอง มันเป็นตึกที่ทำการของเมืองในสมัยสงคราม ทุกวันนี้ยังคงเหลือซากเป็นอนุสรณ์รำลึกไว้ให้ลูกหลานได้ดูถึงความโหดร้ายของสงคราม บริเวณใกล้ ๆ เป็นสวนสันติภาพ ในทุก ๆ ปี ช่วงหน้าร้อน เค้าจะมีพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากสงครามด้วย
ภายในเขตสวน เราจะพบกับ กิจกรรมของน้องๆอาสาสมัครที่มาสอนนักท่องเที่ยวพับนกกระดาษ นกกระดาษเองเปนสัญลักษณ์ที่คนไทยรู้จักดีถึงเรื่องราว นกกระดาษกับนู๋น้อยซาดาโกะ (ชื่อถูกป่าวหว่า) ไม่ใกล้ไม่ไกล มีพิพิธภัณฑ์ ผมไม่รีรอที่จะเข้าไปเยี่ยมชม ก้าวแรกที่เข้าไปเท่านั้นแหละ สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าทันที ยิ่งอ่านเรื่องราว ต่าง ๆ ที่บรรยายใต้ภาพด้วยแล้ว แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหวอะ รู้สึกตัวเองน้ำตาคลอตลอดเวลาอะ (เป็นคนอ่อนไหวง่าย) หันซ้ายหันขวามองคนอื่น มันก้อทำท่าจะร้องเหมือนกรูเลย อินเหมือนกันอ่าดิ 55+
ผมใช้เวลาที่นี้นานกว่าครึ่งวันในการอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับสงครามจนหมด รู้สึกสงสารคนญี่ปุ่นจัง อีกใจก้อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ประเทศเราไม่เคยเจอสงครามที่ต้องจบด้วยการทิ้งระเบิดล้างเมืองแบบนี้
ผมใช้เวลาตอนบ่ายไปกับการเดินตามเมือง ถ่ายรูป แวะตามห้างคนญี่ปุ่นซะหน่อย หาไรกิน แล้วก้อนั่งรถไฟกลับคาริยะ เหมือนเช่นทุกอาทิตย์ครับ
โปรดติดตามตอนต่อไปกับ
จากบ้านไปไกล สู่ดินแดนอาทิตอุทัย ตอนที่ 6 เมืองและแสงสีของนาโกย่า
http://pantip.com/topic/31438707
[CR] จากบ้านไปไกล สู่ดินแดนอาทิตอุทัย ตอนที่ 5 สงคราม ความโศกเศร้า และสันติสุข แห่งฮิโรชิม่า
เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไป ได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา ความรุนแรง ไม่เหมาะแก่เยาวชน นะครับ กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ่ย..รับชม ด้วย
ความเดิมตอนที่แล้ว
จากบ้านไปไกล สู่ดินแดนอาทิตอุทัย ตอนที่ 4 ฟูจิซังขี้อาย....
http://pantip.com/topic/31307044
ฮิโรชิม่า เดินทางเมื่อ 13-14กรกฎาคม2556
อาทิตย์ที่ 5 ของการมาอยู่ภายใต้ดินแดนอาทิตอุทัย ที่นี้ทำให้ผมประทับใจหลายอย่าง คนญี่ปุ่น บ้านเมือง ความสะอาด ความเปนระเบียบ ความสะดวก ที่ไม่ประทับใจเบย คือไอ้ตัวคันจินี่แระ แมร่งเปนอุปสรรคอย่างเดียวที่มี เวลาต้องการอ่านอะไร
สัปดาห์นี้ตั้งใจจะไปโตเกียว แต่ว่าสาวญี่ปุ่นที่ไปเจอตอนไปฟูจิ บอกว่าจะไปอีก 2 สัปดาห์หน้า ไอ้เราก้อด้วยความคลั่งไคล้ในเพศตรงข้าม ก้อเลยต้องเลื่อนโตเกียวไปอีก 2 สัปดาห์หน้า แล้วนัดกินข้าวด้วยซะเลย 55 สัปดาห์นี้ก้อเลยตัดสินใจไปฮิโรชิม่า จิง ๆ รู้แค่ว่าเมืองนี้โดนระเบิดปรมาณูแค่นั้น ก้อเลยอยากไปดูว่าตอนนี้มันเปนไงแล้ว
เช่นเดิมเหมือนทุกสัปดาห์ ออกจากคาริยะตั้งแต่เช้า คราวนี้ไปต่อชินคังเซ็นที่นาโกย่า ครั้งนี้จะเป็นการนั่งชินคังเซ็นที่ไกลที่สุด กับสายที่ไฮโซที่สุด สายโนโซมิ กับความเร็ว 300 กิโลต่อชั่วโมง อาการหลังติดเบาะ มันรู้สึกดีจิง ๆ ใครที่มาเที่ยวแล้วมีความสุขกับการนั่งรถไฟสายธรรมดาทั่วไปข้ามเมืองแล้ว ขอบอกว่าไม่ต้องมานั่งชินคังเซ็นนะคับ ความเร็ว 110 กิโล มันเร็วพอแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่นั่งชินคังเซ็นแล้ว จะหงุดหงิดเล็ก ๆ เวลานั่งรถไฟธรรมดาทันที อีกอย่างมันเป็นยานพาหนะที่นั่งที่สบายที่สุดในสามโลกอะ กว้างเชรี่ย ๆ
ระยะทางจากนาโกย่าถึงฮิโรชิม่าประมาณกรุงเทพลำปาง ใช้เวลาแค่สองชั่วโมง นึกในใจ เมืองไทยคงรอจนหลานบวชซินะ ถึงจะมีใช้กับเค้าบ้าง
ที่เมืองนี้เค้าจะมีบัตรพาสให้ใช้ครับ แบบวันเดียวรู้สึกจะ 700 เยนมั้ง ส่วนแบบสองวัน รวมค่าเรือไปเกาะมิยาจิม่าด้วยก้อ 2000 เยน ใครที่จะไปที่เกาะนี้ ก้อให้ซื้อแบบพาสสองวันเลย ผมว่าคุ้มกว่านะ
หลังจากนั้นก้อรีบนั่งรถไฟไปที่เกาะ ที่ซึ่งผมไม่รู้สนตรีนสนแตกอะไรซ๊ากกาอย่างว่ามันมีอะไรดี รถไฟที่นี้เป็นแบบรถรางวิ่งอยู่ในเมือง แล้วก้อออกไปนอกเมืองด้วย แปลกตากว่าเมืองอื่น ๆ ของญี่ปุ่นดี ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนึงกว่าจะถึงเกาะ ตูดแทบบานอะ แต่ยังดีที่ญิ๋งตรงข้ามน่ารัก มองหน้าแล้วลืมเรื่องนั่งนานไปได้บ้าง ลงรถไฟเส็ดไปต่อด้วยเรือข้ามฝากที่มีบริการอยู่แล้ว ใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมง
เกาะมิยาจิม่า ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีวิวสวยติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่น จะดีแค่ไหนเด่วเราได้พิสูจน์กัน บนเกาะนี้ มีพวกร้านอาหารแล้วก้อร้านของฝากอยู่เยอะครับ ไม่ใช่แค่คนไทยที่บ้าซื้อของฝาก คนญี่ปุ่นเค้าก้อเปนเหมือนกันนะ พวกขนมเนี่ย ขายดีเรยทีเดียว สถานที่แรกบนเกาะที่จะไปกัน คือวัดชื่ออะไรผมจำมะด้ายนะครับ วัดนี้เวลาน้ำขึ้น เหมือนมันตั้งอยู่บนทะเลเลยอะ มองออกไปนอกชายฝั่ง จะเห็นเสาประตูโทริอิ อันเปนสัญลักษณ์ของวัดจีน ขนาดมหึมา อยู่กลางทะเล หากจะรอเข้าไปสัมผัสใกล้ชิด ก้อต้องรอช่วงเย็น ๆ นะครับ ให้น้ำมันลดก่อน ถึงจะเดินไปได้
ผมมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอันเปนไฮไลท์ ของเกาะ มีชื่อเรียกว่า ภูเขามิเสน ตอนแรกที่ขึ้นอะไม่เท่าไหร่ เพราะว่านั่งกระเช้าขึ้นงะ ชิว ๆ ดูวิวเพลิน ๆ แต่ว่าถ้าจะไปยังจุดสูงสุด ต้องเดินไปอีกเป็นกิโล อยากบอกว่า แมร่งง..เหนื่อยฉริบหายเบย วิวก้อไม่ได้ดีไปกว่าตรงจุดที่กระเช้าถึงอีกด้วย กว่าจะลงมาจากเขา ก้อเย็น ๆ พอดี ทีนี้เราก้อจะได้เห็นเสาโทริอิใกล้ ๆ แระ
หลังจากนั้น ก้อนั่งรถไฟเจอาร์กลับเข้าเมือง คืนนี้ผมพักที่โฮลเทลไม่ไกลจากสถานนีเท่าไหร่ ที่นี้ผมได้พบกับคนที่มาจากที่ต่าง ๆ มากมาย ทั้งคนสิงคโปร์ ฮ่องกง สก็อตแลนด์
เยอรมัน โดยเฉพาะไอ้คนสก็อตแลนด์เนี่ย แมร่งโม้เก่งฉริบหาย ภาษาอังกฤษสำเนียงแหม่ง ๆ ฟังแล้วก้อตลกดี 55 มันบอกว่า บ้านมันนะ ถ้าอุณหภูมิซัก 10 องศานี่ คนทั่วไปก้อไม่อยากออกไปนอกบ้านแระ บอกว่าร้อน ฮีทซ็อค (ขณะที่ญี่ปุ่นตอนนั้น 40 องศา) มันบอกต้องถอดเสื้อเดินอยู่ญี่ปุ่นแล้วเนี่ย....ฟังไปก้อขำ ๆ ดี
คืนนี้ผมได้รับคำแนะนำจากคนดูแลโฮลเทล ให้มากินอาหารประจำเมืองอย่าง โอโกโคโน๊ะ มิยากิ ร้านชื่อดัง (จำมะด้ายแระ) เดินหาอยู่ซักพัก ก้อเจอร้าน พอเข้าไปจะกิน เค้าบอกมาว่า รออีก 1 ชั่วโมงนะคะ สาดดดดด หน้าแทบงาย นี่กรูต้องชั่วโมงเพื่อกินไอ้เชี่ยนี่อะนะ เอาก้อเอาฟระ เค้าเรคคอมเม้นมา ก้อต้องลองจัดซะหน่อย
เช้าวันอาทิตย์รีบตื่น เพื่อได้ออกไปถ่ายภาพได้เยอะ ๆ ออกจากโฮลเทลราว ๆ 8 โมง ไปหาไรกินในสถานีรถไฟ วันนี้ผมมาลองกินราเมนแบบที่ต้องหยอดตู้สั่ง ผลเปนยังไงมะต้องถาม ด้วยภาษาญี่ปุ่นและการอ่านคันจิอันแข็งแกร่งของผม เริ่มจากหยอดเหรียญก่อน หลังจากนั้น มองไปรอบ ๆ เผื่อเจอป้ายโปสเตอร์แนะนำอะไร ก้อเทียบคันจิเอา พอมองแล้ว ไม่มีอะไรซ๊ากกาอย่าง จากนั้นก้อพนมมือยกยึ้นหัว แล้วสาธุเบา ๆ ให้ได้อะไรที่เจ๋ง ๆ แล้วก้อกดแมร่งเบย 55+
ยัง...ยังไม่พอ ต้องมีของเคียงด้วย แว๊บหางตาไปเห็นเหมือนเป็นเต้าหู้ อยากจะกินอันนั้นแหละ ก้อจัดการเทียบตัวคันจิซ๊า แล้วก้อจัดไป หลังจากนั้นเอากระดาษที่หยอดไปให้คนทำ
“อิรัทชัยมาเซะ” ฿ฟ๕๔๔*^&^H แล้วก้อตามด้วยเชี่ยไรไม่รู้ ไอ้เราก้อตอบไปเลยด้วยความมั่นใจ “ไฮ” รอซักพัก ได้ราเมนมาพร้อมกับอะไรม้ายรุ ที่เหมือนเต้าหู้แต่มะช่ายอะ ข้างในเป็นข้าว รสชาติปะแหล่ม ๆ ลำพังแค่ราเมนก้อเยอะพออยู่แล้ว กินแทบไม่หมด ยังต้องมาเจอไอ้ข้าวรสชาติแปลก ๆ อิก แทบอ้วกอะ
หลังจากกินอาหารแทบอ้วกเส็ด ผมก้อไปต่อยังสถานที่รำลึกของเมืองฮิโรชิม่า เกมบัคคุโดมมุ หรืออะตอมมิคโดม นั่นเอง มันเป็นตึกที่ทำการของเมืองในสมัยสงคราม ทุกวันนี้ยังคงเหลือซากเป็นอนุสรณ์รำลึกไว้ให้ลูกหลานได้ดูถึงความโหดร้ายของสงคราม บริเวณใกล้ ๆ เป็นสวนสันติภาพ ในทุก ๆ ปี ช่วงหน้าร้อน เค้าจะมีพิธีรำลึกถึงผู้เสียชีวิตจากสงครามด้วย
ภายในเขตสวน เราจะพบกับ กิจกรรมของน้องๆอาสาสมัครที่มาสอนนักท่องเที่ยวพับนกกระดาษ นกกระดาษเองเปนสัญลักษณ์ที่คนไทยรู้จักดีถึงเรื่องราว นกกระดาษกับนู๋น้อยซาดาโกะ (ชื่อถูกป่าวหว่า) ไม่ใกล้ไม่ไกล มีพิพิธภัณฑ์ ผมไม่รีรอที่จะเข้าไปเยี่ยมชม ก้าวแรกที่เข้าไปเท่านั้นแหละ สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าทันที ยิ่งอ่านเรื่องราว ต่าง ๆ ที่บรรยายใต้ภาพด้วยแล้ว แทบกลั้นน้ำตาไม่ไหวอะ รู้สึกตัวเองน้ำตาคลอตลอดเวลาอะ (เป็นคนอ่อนไหวง่าย) หันซ้ายหันขวามองคนอื่น มันก้อทำท่าจะร้องเหมือนกรูเลย อินเหมือนกันอ่าดิ 55+
ผมใช้เวลาที่นี้นานกว่าครึ่งวันในการอ่านเรื่องราวที่เกี่ยวกับสงครามจนหมด รู้สึกสงสารคนญี่ปุ่นจัง อีกใจก้อรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ประเทศเราไม่เคยเจอสงครามที่ต้องจบด้วยการทิ้งระเบิดล้างเมืองแบบนี้
ผมใช้เวลาตอนบ่ายไปกับการเดินตามเมือง ถ่ายรูป แวะตามห้างคนญี่ปุ่นซะหน่อย หาไรกิน แล้วก้อนั่งรถไฟกลับคาริยะ เหมือนเช่นทุกอาทิตย์ครับ
โปรดติดตามตอนต่อไปกับ
จากบ้านไปไกล สู่ดินแดนอาทิตอุทัย ตอนที่ 6 เมืองและแสงสีของนาโกย่า
http://pantip.com/topic/31438707