คุณแม่ท้องท่านใดเป็นแบบเราบ้างคะ
ว่างงาน เบื่อ เซ็ง ไม่มีใจจะทำอะไร ท้อแท้ เครียด ไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะมี เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า
....
ขอเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นนะคะ
เราอายุ27เคยทำงานโรงงานแห่งนึง ตัวเราเรียนไม่จบตรี ไม่มีวุฒิ ได้เข้าทำงานเพราะเจัาของเค้าชอบพอเรา ชีวิตช่วงทำงานสองปีกว่าถือว่าสุขสบายพอใช้ เรามีแฟนที่คบกันมาสองปี เป็น อายุน้อยกว่าเราปีกว่า เค้าเป็นคนจีน เค้าพาเรากลับบ้านที่จีนเมื่อกลางปี55 พ่อแม่เค้าอยากเร่งรัดให้เราแต่งงานมีลูก เราดีใจแต่ก็ยังกังวลถึงความไม่พร้อม
กลางปี56 งานแต่งงานถูกกำหนดขึ้นอย่างเร่งๆโดยมีเวลาเตรียมแค่1เดือนเท่านั้น เราไม่ได้ทัอง แต่ป๊าของแฟนต้องการให้แต่งโดยส่งฤกษ์มาให้แล้วเค้าก็มาจากจีนเพื่อจัดงานให้
งานแต่งเล็กๆถูกจัดขึ้นแบบรีบๆ แต่ผ่านไปด้วยดี ค่าใช้จ่ายฝ่ายชายออกทั้งหมด เราไม่เรียกสินสอดซักบาท แค่มาจัดงานแต่งให้ถูกต้องเราก็พอใจมากแล้ว.. เหมือนชีวิตจะดี แต่ปัญหาเพิ่งเริ่ม..
ที่ทำงานเก่าเรา เค้าให้เราออกจากงานด้วยเหตุผลส่วนตัว อาจเพราะเจ้าของโรงงานเค้าผิดหวังที่เราไปแต่งงาน
เราไม่มีเงินเก็บ รถก็ต้องผ่อน แฟนก็รายได้ไม่มากพอแถมเพิ่งลาออกจากที่ทำงานเก่ามาหลังจากแต่งงานไม่นาน
เงินที่มีก็ร่อยหลอ
ไปขายเสื้อผ้าตลาดนัด สองเดือนฝนตกแทบทุกวัน ขายไม่ได้ เจ๊งไม่เป็นท่าไปหลายหมื่น และเราก็เพิ่งรู้หลังจากแต่งงานว่า ป๊าที่จีนของแฟนไปกู้เงินมาเพื่อจัดงานแต่งและส่งค่าใช้จ่ายอื่นๆ เรารู้สึกผิดเลยที่จัดงานแต่งอย่างมีความสุข..
และที่สำคัญกว่านั้น เราตั้งท้อง..
เราคุมกำเนิดโดยใช้ยาคุมแบบแปะ แต่ก็พลาด ... แต่เราพยายามคิดแง่ดี ป๊าของแฟนมาจัดงานแต่งให้ เค้าอยากให้เรามีหลานให้ เราคงไม่ลำบากหรอก แฟนเราก็เป็นคนดีขยันอดทน..
การเงินอยู่ในสภาพแย่ ตั้งแต่หลังแต่งงาน แฟนเราว่างงานสองเดือนเพื่อมาลงทุนขายเสื้อผ้าก็เจ๊งและเป็นหนี้ .. ได้งานที่ใหม่ก็ไกลบ้านมากๆ เรากับแฟนจึงต้องไปเช่าหอพักใกล้ๆที่ทำงานอยู่ กัดฟันส่งค่างวดรถทุกเดือนเงินไม่เคยพอใช้และเรื่องเก็บเงินแน่นอนว่าไม่มี
ตอนนี้ เราท้องได้6เดือนแล้ว ไม่ได้ทำงานอะไร ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เลือดจางมาก เจ็บท้องบ่อยๆ วันๆอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เหงา เครียด
ส่องกระจกก็ยังไม่กล้า โทรมอืดมากๆ
...
สงสารแฟน ที่ต้องไปยืมเงินเพื่อนๆจนเพื่อนเค้าไม่อยากคุยแล้ว เรารู้สึกแย่แต่เค้าก็ปลอบใจเราเสมอว่า "ต้องผ่านไปให้ได้ แล้วมันจะดีขึ้น"
...เราก็พยายามเชื่อแบบนั้น....
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของเรานะคะ..
ท้องไม่พร้อม แต่อยากมีลูก (ขอเพ้อเจ้อนะคะ)
ว่างงาน เบื่อ เซ็ง ไม่มีใจจะทำอะไร ท้อแท้ เครียด ไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะมี เหมือนจะเป็นโรคซึมเศร้า
....
ขอเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นนะคะ
เราอายุ27เคยทำงานโรงงานแห่งนึง ตัวเราเรียนไม่จบตรี ไม่มีวุฒิ ได้เข้าทำงานเพราะเจัาของเค้าชอบพอเรา ชีวิตช่วงทำงานสองปีกว่าถือว่าสุขสบายพอใช้ เรามีแฟนที่คบกันมาสองปี เป็น อายุน้อยกว่าเราปีกว่า เค้าเป็นคนจีน เค้าพาเรากลับบ้านที่จีนเมื่อกลางปี55 พ่อแม่เค้าอยากเร่งรัดให้เราแต่งงานมีลูก เราดีใจแต่ก็ยังกังวลถึงความไม่พร้อม
กลางปี56 งานแต่งงานถูกกำหนดขึ้นอย่างเร่งๆโดยมีเวลาเตรียมแค่1เดือนเท่านั้น เราไม่ได้ทัอง แต่ป๊าของแฟนต้องการให้แต่งโดยส่งฤกษ์มาให้แล้วเค้าก็มาจากจีนเพื่อจัดงานให้
งานแต่งเล็กๆถูกจัดขึ้นแบบรีบๆ แต่ผ่านไปด้วยดี ค่าใช้จ่ายฝ่ายชายออกทั้งหมด เราไม่เรียกสินสอดซักบาท แค่มาจัดงานแต่งให้ถูกต้องเราก็พอใจมากแล้ว.. เหมือนชีวิตจะดี แต่ปัญหาเพิ่งเริ่ม..
ที่ทำงานเก่าเรา เค้าให้เราออกจากงานด้วยเหตุผลส่วนตัว อาจเพราะเจ้าของโรงงานเค้าผิดหวังที่เราไปแต่งงาน
เราไม่มีเงินเก็บ รถก็ต้องผ่อน แฟนก็รายได้ไม่มากพอแถมเพิ่งลาออกจากที่ทำงานเก่ามาหลังจากแต่งงานไม่นาน
เงินที่มีก็ร่อยหลอ
ไปขายเสื้อผ้าตลาดนัด สองเดือนฝนตกแทบทุกวัน ขายไม่ได้ เจ๊งไม่เป็นท่าไปหลายหมื่น และเราก็เพิ่งรู้หลังจากแต่งงานว่า ป๊าที่จีนของแฟนไปกู้เงินมาเพื่อจัดงานแต่งและส่งค่าใช้จ่ายอื่นๆ เรารู้สึกผิดเลยที่จัดงานแต่งอย่างมีความสุข..
และที่สำคัญกว่านั้น เราตั้งท้อง..
เราคุมกำเนิดโดยใช้ยาคุมแบบแปะ แต่ก็พลาด ... แต่เราพยายามคิดแง่ดี ป๊าของแฟนมาจัดงานแต่งให้ เค้าอยากให้เรามีหลานให้ เราคงไม่ลำบากหรอก แฟนเราก็เป็นคนดีขยันอดทน..
การเงินอยู่ในสภาพแย่ ตั้งแต่หลังแต่งงาน แฟนเราว่างงานสองเดือนเพื่อมาลงทุนขายเสื้อผ้าก็เจ๊งและเป็นหนี้ .. ได้งานที่ใหม่ก็ไกลบ้านมากๆ เรากับแฟนจึงต้องไปเช่าหอพักใกล้ๆที่ทำงานอยู่ กัดฟันส่งค่างวดรถทุกเดือนเงินไม่เคยพอใช้และเรื่องเก็บเงินแน่นอนว่าไม่มี
ตอนนี้ เราท้องได้6เดือนแล้ว ไม่ได้ทำงานอะไร ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เลือดจางมาก เจ็บท้องบ่อยๆ วันๆอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม เหงา เครียด
ส่องกระจกก็ยังไม่กล้า โทรมอืดมากๆ
...
สงสารแฟน ที่ต้องไปยืมเงินเพื่อนๆจนเพื่อนเค้าไม่อยากคุยแล้ว เรารู้สึกแย่แต่เค้าก็ปลอบใจเราเสมอว่า "ต้องผ่านไปให้ได้ แล้วมันจะดีขึ้น"
...เราก็พยายามเชื่อแบบนั้น....
ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวของเรานะคะ..