บทความนี้จะทดลองมอง การวิเคราะห์หุ้น ไม่ว่าในทางเทคนิคหรือทางพื้นฐานนั้นว่า สามารถทำนาย
เหตุการณ์ได้จริงหรือไม่? มีความแม่นยำ 100% หรือไม่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? และเพราะเหตุใดการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน, การนับคลื่น ฯลฯ หรือการวิเคราะห์พื้นฐาน ซึ่งใช้กราฟหรือข้อมูลชุดเดียวกัน นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนจึงมีมุมมองที่เห็นต่างกัน? บทความนี้จะไม่เน้นรายละเอียดของการวิเคราะห์หุ้นแต่จะเน้นมุมมองทางญาณวิทยา (ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่คุ้นชินของคนทั่วไป) ต่อการวิเคราะห์หุ้นดังนี้
1. การพัฒนาศาสตร์ (Science) นั้นมีวัตถุประสงค์หลักๆคือ ประการแรกคือ สร้างแนวคิด ทฤษฎี หรือความรู้เพื่อใช้ในการอธิบาย (Explanation) และการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) นัยของสองประการนี้คือ เกิดปรากฏการณ์ ขึ้นแล้วจำนำองค์ความรู้มาประยุกต์ ซึ่งในกรณีนี้คือ การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในการซื้อขายหลักทรัพย์ จึงนำเอาทฤษฎีและเครื่องมืออธิบายในการวิเคราะห์หุ้น และวัตถุประสงค์สำคัญอีกประการคือ การทำนาย (Forecasting) โดยเฉพาะเมื่อมีการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ (Empirical Science) เช่น คณิตศาสตร์และสถิติ นัยของประเด็นนี้คือ สามารถทำนายปรากฏการณ์ที่ยังไม่เกิด ในกรณีนี้ก็เช่น นักวิเคราะห์หุ้น ใช้กราฟมาทำนายทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งยากกว่าสองแนวทางแรก โดยในประเด็นนี้เราจะเห็นความต่างของนักวิเคราะห์หุ้น นั่นคือบางท่าน/สำนักจะ มีบทวิเคราะห์เมื่อตลาดเริ่มเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวจบแล้วซึ่งอยู่ในรูปของการอธิบาย หรือบางท่าน/สำนักมีบทวิเคราะห์ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์ซึ่งอยู่ในรูปของการทำนาย (อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงอาจเป็นไปได้ที่ผู้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ใช้ทั้งในรูปของการอธิบายและคาดการณ์ในคราวเดียวกัน)
2. การวิเคราะห์หุ้น หรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นเป็นที่รวมของปัจเจกบุคคลที่มีความคิด ความรู้สึก
เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และพฤติกรรมทั้งของปัจเจกบุคคลและกลุ่มบุคคลเองจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้ง
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของปัจเจกหรือกลุ่มบุคคลนั้นๆ พฤติกรรมดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงตามบริบทแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไปเสมอ ดังนั้นพฤติกรรมการลงทุนในหุ้นจึงมีลักษณะของปรากฏการณ์ทางสังคม (Social phenomena) ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ (Natural Phenomena)
3. ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science Phenomena) นั้นจะมีความเที่ยงตรง เป็นจริงเสมอ และไม่ขึ้นกับการตีความของมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในเวลาและสถานที่ใด (Time and space) เช่น หากน้ำที่มีอุณหภูมิ 100 องศาจะเดือดและกลายเป็นไอ ไม่ว่าจะเป็นเมื่ออดีต หรือในอนาคต (เวลา) ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดที่เนปาล หรือประเทศไทย (สถานที่) ไม่ว่าคนที่เห็นปรากฏการณ์จะมีความคิดเห็นอย่างไร ดังนั้น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การแปรสภาพของน้ำ, จึงมีลักษณะเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) คือ เป็นจริงเสมอ (หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหรือทฤษฎี), มีความเป็นกลาง ปรากฏการณ์เกิดขึ้นเองโดยปราศจากผลกระทบจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำนายได้ในทางปรัชญาความรู้
ในขณะที่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ หรือสังคม(คนสองคนขึ้นไป)ดังที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงใดๆของตลาดหลักทรัพย์จึงได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ และมีมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อน (Human Actors) ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามบริบทที่เปลี่ยนไป การอธิบายและทำนายพฤติกรรมทางสังคมจึงมีข้อจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ (Time and Space) เช่น การวิจัยทัศนคติของนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ในปีพ.ศ. 2516 พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องการทำงานราชการ แต่การศึกษาเรื่องเดียวกันในปีพ.ศ. 2556 พบว่ามีเพียง 30% ที่อยากทำงานราชการ แต่มีมากถึง 40% ต้องการทำงานในภาคเอกชน (เวลาที่ต่างกัน) ในขณะที่การศึกษาเปรียบเทียบทัศนคติของนักศึกษารัฐศาสตร์ในเขตภาคใต้พบว่าสนับสนุนแนวทางอนุรักษ์นิยมเป็นส่วนมาก ในขณะที่นักศึกษารัฐศาสตร์ภาคอีสานส่วนใหญ่กลับพบว่าสนับสนุนแนวคิดก้าวหน้าเป็นส่วนใหญ่ (เป็นตัวอย่างสมมตินะครับ) นัยนี้แสดงให้เห็นว่าองค์ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนตายตัว และไม่เป็นจริงเสมอไป แต่มีข้อจำกัดในการศึกษาและอธิบายทั้งในแง่ของเวลาและพื้นที่ (บริบทเปลี่ยนคนเปลี่ยน) องค์ความรู้ทางสังคมหนึ่งๆจะไม่สามารถอธิบายข้ามเวลาและพื้นที่ได้อย่างถูกต้องแม่นยำเสมอไป ดังนั้นสถิติและองค์ความรู้ทางสังคมจะไม่แม่นยำเท่ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เนื่องจากปรากฏการณ์ทางสังคมมีลักษณะเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) คือ ความคิดเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาและส่งผลต่อพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ทั้งยังมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไปในระดับปัจเจกและระดับกลุ่มบุคคล ไม่แน่นอนตายตัว
4. ความสำคัญของอัตวิสัยนี้ยังมีผลต่อการวิเคราะห์หุ้น กล่าวคือนักวิเคราะห์หุ้น และนักลงทุน ซึ่งเป็นองคาพยพหนึ่งของการเคลื่อนไหวในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้เฉพาะในส่วนของนักลงทุนซึ่งแบ่งออกเป็นหลายส่วนและละส่วนประกอบด้วยคนหลายคน ซึ่งมีความคิดเห็นและพื้นฐานส่วนตัว (เช่น ทัศนคติ, การศึกษา, การรับรู้ ฯลฯ) ที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งเมื่อรวมกลุ่มกันจะเกิดจิตวิทยาหมู่ในระดับสังคมหรือองค์กรที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอีกชั้นหนึ่ง (ทั้งสังคมจริงและสังคมเสมือน เช่น ห้องสินธร) นอกจากนี้พฤติกรรมและการตัดสินใจของปัจเจกและกลุ่มบุคคลยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อมทางการเมือง และเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในการทำความเข้าใจและคาดการณ์พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นได้
ในส่วนของนักวิเคราะห์และนักลงทุนนั้นซึ่งก็เป็นมนุษย์ ซึ่งมีความคิดเห็นและพื้นฐานที่แตกต่างกันออกไปดังที่กล่าวมาแล้ว จึงมีโลกทัศน์ต่อสิ่งเดียวกันทั้งในทางที่อาจเหมือนกันและต่างกัน เช่น เมื่อพูดถึงคำว่า “เงิน” คนที่เรียนทางเศรษฐศาสตร์อาจจะนึกถึงความมั่งคั่ง, ทรัพยากรในการบริหารจัดการ, สินทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น ส่วนที่คนที่เรียนทางปรัชญามองว่าเป็นสิ่งสมมติ ในขณะที่คนที่เรียนรัฐศาสตร์กลับมองว่าเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจและปมแห่งความขัดแย้ง เป็นต้น สภาวะอัตวิสัยทำให้คนมีการเลือกรับรู้และตีความต่างกันไปด้วย รวมทั้งการวิเคราะห์กราฟและการอ่านงบประมาณของนักวิเคราะห์และนักลงทุนด้วย อัตวิสัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันจะเป็นสิ่งกำหนดในการเลือกรับรู้ เลือกใช้เครื่องมือ และตีความเครื่องมือและข้อมูลในการวิเคราะห์หุ้นแตกต่างกัน เช่น บางคนเลือกใช้เทคนิค A บางคนเลือกเทคนิค B, เลือกที่จะตีเส้นแตกต่างกันหรือเหมือนกัน แม้จะเลือกเทคนิคเดียวกันก็อาจมองต่างกันได้เนื่องจากอัตวิสัยส่วนตัวและบริบทแวดล้อมของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน แม้กระทั่งงบการเงินก็อาจตีความและอ่านค่าต่างกันได้ เนื่องจากแต่ละคนมีพื้นฐานและอัตวิสัยที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตีค่าและให้ความหมายต่างกัน อุปมาเหมือน ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวกัน ร้านเดียวกัน แต่คนชิมมีรสนิยมต่างกัน คนหนึ่งว่าเค็ม ไปนิด คนหนึ่งว่าจืดไปนิด ส่วนอีกคนบอกพอดีแล้ว นั่นเอง ในส่วนตรงนี้จึงเป็นคำตอบส่วนหนึ่งของการเลือกใช้เทคนิคต่างกัน แม้เทคนิคเดียวกันก็อาจเห็นต่างได้
5. จากที่อธิบายมานั้นแสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์หุ้นนั้นไม่มีความเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) แต่มีลักษณะเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) คือใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวแล้วตั้งแต่มีการ “เลือก” ใช้เทคนิค ตามทัศนะของตน การอ่านค่าตีความหมาย ล้วนอยู่พื้นฐานของปัจเจกหรือกลุ่มบุคคล แม้แต่การอ่านงบประมาณหรือปัจจัยแวดล้อม เช่น สถานการณ์การเมืองหลังยุบสภาบางคนมองว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลาย บางคนมองว่าสถานการณ์การเมืองจะไม่จบง่ายๆ เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนสำนักต่างๆจึงออกมาแตกต่างกัน หรือแม้แต่การคาดการดัชนีหรือตัวเลขทางเศรษฐกิจของสถาบันระดับชาติเช่น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความต่างกันมาก (จะขอเลี่ยงประเด็นอื่นๆเช่น การเมืองในบทความนี้) ก็ล้วนเกิดจากภาวะเชิงอัตวิสัยทั้งสิ้น ในขณะที่หุ้นนั้นโดยตัวของมันเองเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ 100% คือไม่เป็นจริงเสมอเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังนั้นการวิเคราะห์หุ้นจึงมีลักษณะของความเป็นอัตวิสัย ทั้งในส่วนของผู้วิเคราะห์ (Subject) เช่น นักวิเคราะห์, นักลงทุน รวมทั้งสิ่งที่วิเคราะห์ (Object) ก็มีความเป็นอัตวิสัยด้วย ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น อย่างไรก็ตามเครื่องมือทางเทคนิคและการอ่านงบการเงินก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจของนักลงทุน แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจถึงข้อจำกัดและคุณลักษณะของสิ่งที่เรากำลังวิเคราะห์ รวมทั้งเครื่องมือในการวิเคราะห์ด้วย โดยเครื่องมือเหล่านี้มีคุณูปการในลักษณะของการอธิบาย (Explanation) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะยังมีข้อจำกัดโดยเฉพาะหากจะใช้สำหรับสิ่งที่ยังไม่เกิด โดยมักจะเป็นไปในรูปของการคาดการณ์แนวโน้ม (Trend Analysis) หรือความน่าจะเป็นทางสถิติ (Statically probability) มากกว่าจะเป็นเครื่องมือทำนายที่แม่นยำ 100% และเป็นสิ่งที่พึงยึดมั่นจนเกินไป นอกจากนี้ในการวิเคราะห์อย่างรอบด้านจริงๆนั้นจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ เข้ามาร่วมในการพิจารณาด้วย ในแง่นี้จะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งที่ตัวนักวิเคราะห์เองมักจะเลือกที่จะอธิบายมากกว่าที่จะทำนาย เนื่องจากการทำนายปรากฏการณ์ทางสังคมนั้นมีโอกาสที่จะผิดพลาดได้เสมอ
การวิเคราะห์หุ้น ในมุมมองทางญาณวิทยา (หรือปรัชญาความรู้)
เหตุการณ์ได้จริงหรือไม่? มีความแม่นยำ 100% หรือไม่ เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? และเพราะเหตุใดการวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน, การนับคลื่น ฯลฯ หรือการวิเคราะห์พื้นฐาน ซึ่งใช้กราฟหรือข้อมูลชุดเดียวกัน นักวิเคราะห์หรือนักลงทุนจึงมีมุมมองที่เห็นต่างกัน? บทความนี้จะไม่เน้นรายละเอียดของการวิเคราะห์หุ้นแต่จะเน้นมุมมองทางญาณวิทยา (ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่คุ้นชินของคนทั่วไป) ต่อการวิเคราะห์หุ้นดังนี้
1. การพัฒนาศาสตร์ (Science) นั้นมีวัตถุประสงค์หลักๆคือ ประการแรกคือ สร้างแนวคิด ทฤษฎี หรือความรู้เพื่อใช้ในการอธิบาย (Explanation) และการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) นัยของสองประการนี้คือ เกิดปรากฏการณ์ ขึ้นแล้วจำนำองค์ความรู้มาประยุกต์ ซึ่งในกรณีนี้คือ การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงในการซื้อขายหลักทรัพย์ จึงนำเอาทฤษฎีและเครื่องมืออธิบายในการวิเคราะห์หุ้น และวัตถุประสงค์สำคัญอีกประการคือ การทำนาย (Forecasting) โดยเฉพาะเมื่อมีการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชิงประจักษ์ (Empirical Science) เช่น คณิตศาสตร์และสถิติ นัยของประเด็นนี้คือ สามารถทำนายปรากฏการณ์ที่ยังไม่เกิด ในกรณีนี้ก็เช่น นักวิเคราะห์หุ้น ใช้กราฟมาทำนายทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งยากกว่าสองแนวทางแรก โดยในประเด็นนี้เราจะเห็นความต่างของนักวิเคราะห์หุ้น นั่นคือบางท่าน/สำนักจะ มีบทวิเคราะห์เมื่อตลาดเริ่มเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนไหวจบแล้วซึ่งอยู่ในรูปของการอธิบาย หรือบางท่าน/สำนักมีบทวิเคราะห์ล่วงหน้าก่อนเกิดเหตุการณ์ซึ่งอยู่ในรูปของการทำนาย (อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงอาจเป็นไปได้ที่ผู้ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ใช้ทั้งในรูปของการอธิบายและคาดการณ์ในคราวเดียวกัน)
2. การวิเคราะห์หุ้น หรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งเป็นเป็นที่รวมของปัจเจกบุคคลที่มีความคิด ความรู้สึก
เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และพฤติกรรมทั้งของปัจเจกบุคคลและกลุ่มบุคคลเองจะได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทั้ง
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกของปัจเจกหรือกลุ่มบุคคลนั้นๆ พฤติกรรมดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงตามบริบทแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนไปเสมอ ดังนั้นพฤติกรรมการลงทุนในหุ้นจึงมีลักษณะของปรากฏการณ์ทางสังคม (Social phenomena) ไม่ใช่ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ (Natural Phenomena)
3. ปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural Science Phenomena) นั้นจะมีความเที่ยงตรง เป็นจริงเสมอ และไม่ขึ้นกับการตีความของมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในเวลาและสถานที่ใด (Time and space) เช่น หากน้ำที่มีอุณหภูมิ 100 องศาจะเดือดและกลายเป็นไอ ไม่ว่าจะเป็นเมื่ออดีต หรือในอนาคต (เวลา) ไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดที่เนปาล หรือประเทศไทย (สถานที่) ไม่ว่าคนที่เห็นปรากฏการณ์จะมีความคิดเห็นอย่างไร ดังนั้น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น การแปรสภาพของน้ำ, จึงมีลักษณะเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) คือ เป็นจริงเสมอ (หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดตามกฎหรือทฤษฎี), มีความเป็นกลาง ปรากฏการณ์เกิดขึ้นเองโดยปราศจากผลกระทบจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติจึงเป็นสิ่งที่สามารถทำนายได้ในทางปรัชญาความรู้
ในขณะที่การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้นเป็นเรื่องของพฤติกรรมมนุษย์ หรือสังคม(คนสองคนขึ้นไป)ดังที่กล่าวไปแล้ว ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงใดๆของตลาดหลักทรัพย์จึงได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ และมีมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อน (Human Actors) ทั้งทางตรงและทางอ้อม แต่พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามบริบทที่เปลี่ยนไป การอธิบายและทำนายพฤติกรรมทางสังคมจึงมีข้อจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ (Time and Space) เช่น การวิจัยทัศนคติของนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ในปีพ.ศ. 2516 พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องการทำงานราชการ แต่การศึกษาเรื่องเดียวกันในปีพ.ศ. 2556 พบว่ามีเพียง 30% ที่อยากทำงานราชการ แต่มีมากถึง 40% ต้องการทำงานในภาคเอกชน (เวลาที่ต่างกัน) ในขณะที่การศึกษาเปรียบเทียบทัศนคติของนักศึกษารัฐศาสตร์ในเขตภาคใต้พบว่าสนับสนุนแนวทางอนุรักษ์นิยมเป็นส่วนมาก ในขณะที่นักศึกษารัฐศาสตร์ภาคอีสานส่วนใหญ่กลับพบว่าสนับสนุนแนวคิดก้าวหน้าเป็นส่วนใหญ่ (เป็นตัวอย่างสมมตินะครับ) นัยนี้แสดงให้เห็นว่าองค์ความรู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคมจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนตายตัว และไม่เป็นจริงเสมอไป แต่มีข้อจำกัดในการศึกษาและอธิบายทั้งในแง่ของเวลาและพื้นที่ (บริบทเปลี่ยนคนเปลี่ยน) องค์ความรู้ทางสังคมหนึ่งๆจะไม่สามารถอธิบายข้ามเวลาและพื้นที่ได้อย่างถูกต้องแม่นยำเสมอไป ดังนั้นสถิติและองค์ความรู้ทางสังคมจะไม่แม่นยำเท่ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติ เนื่องจากปรากฏการณ์ทางสังคมมีลักษณะเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) คือ ความคิดเห็นที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาและส่งผลต่อพฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ ทั้งยังมีลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกันออกไปในระดับปัจเจกและระดับกลุ่มบุคคล ไม่แน่นอนตายตัว
4. ความสำคัญของอัตวิสัยนี้ยังมีผลต่อการวิเคราะห์หุ้น กล่าวคือนักวิเคราะห์หุ้น และนักลงทุน ซึ่งเป็นองคาพยพหนึ่งของการเคลื่อนไหวในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้เฉพาะในส่วนของนักลงทุนซึ่งแบ่งออกเป็นหลายส่วนและละส่วนประกอบด้วยคนหลายคน ซึ่งมีความคิดเห็นและพื้นฐานส่วนตัว (เช่น ทัศนคติ, การศึกษา, การรับรู้ ฯลฯ) ที่แตกต่างกันออกไป รวมทั้งเมื่อรวมกลุ่มกันจะเกิดจิตวิทยาหมู่ในระดับสังคมหรือองค์กรที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลอีกชั้นหนึ่ง (ทั้งสังคมจริงและสังคมเสมือน เช่น ห้องสินธร) นอกจากนี้พฤติกรรมและการตัดสินใจของปัจเจกและกลุ่มบุคคลยังได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น สภาพแวดล้อมทางการเมือง และเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งเพิ่มความซับซ้อนในการทำความเข้าใจและคาดการณ์พฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นได้
ในส่วนของนักวิเคราะห์และนักลงทุนนั้นซึ่งก็เป็นมนุษย์ ซึ่งมีความคิดเห็นและพื้นฐานที่แตกต่างกันออกไปดังที่กล่าวมาแล้ว จึงมีโลกทัศน์ต่อสิ่งเดียวกันทั้งในทางที่อาจเหมือนกันและต่างกัน เช่น เมื่อพูดถึงคำว่า “เงิน” คนที่เรียนทางเศรษฐศาสตร์อาจจะนึกถึงความมั่งคั่ง, ทรัพยากรในการบริหารจัดการ, สินทรัพย์ต่างๆ เป็นต้น ส่วนที่คนที่เรียนทางปรัชญามองว่าเป็นสิ่งสมมติ ในขณะที่คนที่เรียนรัฐศาสตร์กลับมองว่าเป็นเครื่องมือแห่งอำนาจและปมแห่งความขัดแย้ง เป็นต้น สภาวะอัตวิสัยทำให้คนมีการเลือกรับรู้และตีความต่างกันไปด้วย รวมทั้งการวิเคราะห์กราฟและการอ่านงบประมาณของนักวิเคราะห์และนักลงทุนด้วย อัตวิสัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันจะเป็นสิ่งกำหนดในการเลือกรับรู้ เลือกใช้เครื่องมือ และตีความเครื่องมือและข้อมูลในการวิเคราะห์หุ้นแตกต่างกัน เช่น บางคนเลือกใช้เทคนิค A บางคนเลือกเทคนิค B, เลือกที่จะตีเส้นแตกต่างกันหรือเหมือนกัน แม้จะเลือกเทคนิคเดียวกันก็อาจมองต่างกันได้เนื่องจากอัตวิสัยส่วนตัวและบริบทแวดล้อมของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกัน แม้กระทั่งงบการเงินก็อาจตีความและอ่านค่าต่างกันได้ เนื่องจากแต่ละคนมีพื้นฐานและอัตวิสัยที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการตีค่าและให้ความหมายต่างกัน อุปมาเหมือน ก๋วยเตี๋ยวชามเดียวกัน ร้านเดียวกัน แต่คนชิมมีรสนิยมต่างกัน คนหนึ่งว่าเค็ม ไปนิด คนหนึ่งว่าจืดไปนิด ส่วนอีกคนบอกพอดีแล้ว นั่นเอง ในส่วนตรงนี้จึงเป็นคำตอบส่วนหนึ่งของการเลือกใช้เทคนิคต่างกัน แม้เทคนิคเดียวกันก็อาจเห็นต่างได้
5. จากที่อธิบายมานั้นแสดงให้เห็นว่าการวิเคราะห์หุ้นนั้นไม่มีความเป็นวัตถุวิสัย (Objectivity) แต่มีลักษณะเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) คือใช้อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวแล้วตั้งแต่มีการ “เลือก” ใช้เทคนิค ตามทัศนะของตน การอ่านค่าตีความหมาย ล้วนอยู่พื้นฐานของปัจเจกหรือกลุ่มบุคคล แม้แต่การอ่านงบประมาณหรือปัจจัยแวดล้อม เช่น สถานการณ์การเมืองหลังยุบสภาบางคนมองว่าสถานการณ์น่าจะคลี่คลาย บางคนมองว่าสถานการณ์การเมืองจะไม่จบง่ายๆ เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่บทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนสำนักต่างๆจึงออกมาแตกต่างกัน หรือแม้แต่การคาดการดัชนีหรือตัวเลขทางเศรษฐกิจของสถาบันระดับชาติเช่น กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีความต่างกันมาก (จะขอเลี่ยงประเด็นอื่นๆเช่น การเมืองในบทความนี้) ก็ล้วนเกิดจากภาวะเชิงอัตวิสัยทั้งสิ้น ในขณะที่หุ้นนั้นโดยตัวของมันเองเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำนายได้อย่างแม่นยำ 100% คือไม่เป็นจริงเสมอเหมือนปรากฏการณ์ธรรมชาติ ดังนั้นการวิเคราะห์หุ้นจึงมีลักษณะของความเป็นอัตวิสัย ทั้งในส่วนของผู้วิเคราะห์ (Subject) เช่น นักวิเคราะห์, นักลงทุน รวมทั้งสิ่งที่วิเคราะห์ (Object) ก็มีความเป็นอัตวิสัยด้วย ดังที่ได้อธิบายไปข้างต้น อย่างไรก็ตามเครื่องมือทางเทคนิคและการอ่านงบการเงินก็เป็นเครื่องมือสำคัญที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจของนักลงทุน แต่ทั้งนี้ต้องเข้าใจถึงข้อจำกัดและคุณลักษณะของสิ่งที่เรากำลังวิเคราะห์ รวมทั้งเครื่องมือในการวิเคราะห์ด้วย โดยเครื่องมือเหล่านี้มีคุณูปการในลักษณะของการอธิบาย (Explanation) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ว่าจะยังมีข้อจำกัดโดยเฉพาะหากจะใช้สำหรับสิ่งที่ยังไม่เกิด โดยมักจะเป็นไปในรูปของการคาดการณ์แนวโน้ม (Trend Analysis) หรือความน่าจะเป็นทางสถิติ (Statically probability) มากกว่าจะเป็นเครื่องมือทำนายที่แม่นยำ 100% และเป็นสิ่งที่พึงยึดมั่นจนเกินไป นอกจากนี้ในการวิเคราะห์อย่างรอบด้านจริงๆนั้นจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ เข้ามาร่วมในการพิจารณาด้วย ในแง่นี้จะเห็นได้ว่าบ่อยครั้งที่ตัวนักวิเคราะห์เองมักจะเลือกที่จะอธิบายมากกว่าที่จะทำนาย เนื่องจากการทำนายปรากฏการณ์ทางสังคมนั้นมีโอกาสที่จะผิดพลาดได้เสมอ