คิดว่าหลายๆคนไม่เคยสัมผัสกระบวนการซื้อเสียง และกล่าวหาว่าคนจน คนชนบทขายเสียงเลยมาให้ความรู้ครับ ในฐานะที่ครอบครัวอยู่ในกระบวนการนี้ในฐานะหัวคะแนน และเพื่อหลายๆคนจะได้เปิดโลกทรรศน์
อนึ่ง นี่เป็นเพียงการซื้อ-ขายเสียงในท้องที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น ใครมีข้อมูลในส่วนอื่นที่ต่างออกไปมาแชร์กันได้
การซื้อเสียงมีอยู่2แบบคือ แบบถูกกฏหมายและแบบผิดกฏหมาย แบบถูกกฏหมาย จะอธิบายทีหลัง
การซื้อเสียงแบบผิดกฏหมายก็อย่างที่คนรู้จักนั่นแหละ คือใช้เงิน ทรัพย์ สัญญาว่าจะให้จูงใจคนไปลงคะแนนให้
ซึ่งในการเลือกตั้งคนจะมีอยู่2ประเภทคือ 1. คนที่ไม่ซื้อได้ 2. คนที่ซื้อได้
คนที่เป็นกลไกหลักในการซื้อเสียงคือหัวคะแนน หัวคะแนนจะใกล้ชิดชาวบ้าน ทำให้รู้ว่าคนไหนซื้อได้หรือซื้อไม่ได้ หัวคะแนนเก่ง สามารถซื้อแล้วอัตราสำเร็จสูง เช่นซื้อ100หัว คะแนน กลับมาสูงถึง80-90คะแนนทีเดียว ซึ่งหัวคะแนนนั้นจะรู้ว่าใครซื้อได้หรือซื้อไม่ได้
คนที่ซื้อไม่ได้ คือคนที่ซื้อไปแล้วไม่สามารถหวังผลได้ ได้แก่พวกข้าราชการ อาจารย์ หรือคนที่มีหน้าที่การงานสูง เรียกว่าประเมินแล้วซื้อไม่ได้ คนที่ฝักใฝ่กลุ่มการเมืองชัดเจน หรือแฟนคลับพรรคการเมืองเช่น เสื้อแดง เสื้อเหลืองเป็นต้น พวกนี้ถึงซื้อไปก็ไม่เปลี่ยนใจ ซึ่งหัวคะแนนจะไม่ซื้อพวกนี้
คนที่ซื้อได้ ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะจน หรือการศึกษาน้อย แต่คุณสมบัติหลักของกลุ่มนี้คือ ไม่มีใครในใจและสามารถซื้อได้หากเงินถึง พวกนี้อาจจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือคนจบปริญญาเลยก็ได้
ในการซื้อเสียงนั้นจะมีการประเมินก่อนว่าในเขตตัวเองนั้นมีเสียงแน่ๆแล้วเท่าไหร่ เช่น ผู้สมัครพท.ประเมินแล้วว่าในพท้นที่มีเสื้อแดงอยู่มาก และมากพอที่จะทำให้ตัวเองได้รับเลือก ก็จะไม่มีการซื้อเสียง หรือ พรรคเล็กๆประเมินแล้วว่ายังไงก็ตีไม่แตก ก็เลือกที่จะไม่ซื้อ
หลักเกณฑ์คร่าวๆว่าในเขตๆนั้นจะมีการซื้อหรือไม่ดูจาก
1. พรรคมีเสียงในมือแน่ๆเท่าไหร่
2.มีสัดส่วนคนที่จะซื้อได้เท่าไหร่
3.ความคุ้มค่าในการซื้อ
พื้นที่ ที่จะมีการซื้อนั้นส่วนมากจะเป็นพื้นที่ ที่เสียงไม่ขาด จะมีคนที่สามารถซื้อได้จะนวนมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันกระแสเสื้อแดง-เหลืองแรง ดังนั้นคนกลุ่มที่ซื้อได้จะลดลงไป ขระนี้ความคุ้มค่าในการซื้อจะสำคัญที่สุดเพราะมันมีผลต่อคะแนนปาตี้ลิสต์
การซื้อจะต้องมีการประเมินว่าจะซื้อยังไง กลุ่มในบ้าง เพราะถ้าพื้นที่เหมาะสมกับการซื้อจะมีการทุ่มกันในแต่ละพรรค จะมากหรือน้อยแล้วแต่ ดังนั้นจะมีการประเมินว่าแต่ละพรรค จะซื้อที่ไหนบ้างโดยคำนึงว่า ถ้าซื้อแล้วมีโอกาศได้เสียงกลับมามากที่สุด และส่วนมากจะไม่ซื้อทับเขตกัน ยกเว้นในกรณีที่ผู้สมัครทุ่ม เพราะการซื้อทับเขต มันจะมีโอกาศ ขาดทุนได้ง่าย
แต่ในปัจจุบันก็มีบางกรณีที่กล้าซื้อเสียงในเขตที่ตัวเองไม่ชนะแน่ๆ เพราะปัจจุบันต้องรักษาคะแนนปาตี้ลิสต์ในเขตตัวเองเอาไว้เพราะมันมีผลต่อพรรค และโอกาศในการทำงานการเมืองกับพรรคนั้นๆ
จากตรงนี้สรุปได้ว่าการซื้อเสียงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคุ้มค่า จะจำนวนคนที่สามารถซื้อได้มากกว่า ซึ่งหลักการนี้ใช้ได้ทั้งเลือกตั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ยกเว้นแค่ ส.ว. เพราะส.ว.มีการแข่งขั้นสูง ส่วนมากพรรคจะล๊อบบี้เอาตอนได้เป็นหรือใช้ฐานหัวคะแนนพรรคมากกว่าจะมีการซื้อเสียงตรงๆ
และการซื้อเสียงแบบถูกกฏหมายคืองบประมาณหาเสียงเลือกตั้งนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นอบรมทีมงานหาเสียง(หัวคะแนน) ป้ายหาเสียง(จ้างบ้านทำเลดีๆหรือ หรือรถสาธารณะติด) ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นงบประชาสัมพันธ์ที่กฏหมายอนุญาต ซึ่งส.ส. 1คนจะมีวงเงินว่างบหาเสียงจะไม่เกินเท่าไหร่ซึ่งเลือกตั้งเสร็จต้องรายงาน กกต.
กระทู้นี้คือกระทู้ให้ความรู้อยากให้แชร์ความคิดเห็นโดยสุภาพ และถ้าเป็นไปได้อยากให้มีคนโหวตเยอะๆจะได้เป็นกระทู้แนะนำ ทำให้คนอื่นๆสามารถเข้ามาอ่านกันได้มากๆ
ป.ล. ขอแทคประวัติศาตร์ด้วยเนื่องจากเกี่ยวกับปรระวัติการเมืองไทย แทคปัญหาสังคมเพราะการซื้อเสียงเป็นปัญหาสังคม
ไหนๆก็ยุบสภาเตรียมเลือกตั้งใหม่แล้ว.....มาให้ความรู้เรื่องการซื้อเสียงครับ
อนึ่ง นี่เป็นเพียงการซื้อ-ขายเสียงในท้องที่ภาคเหนือโดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่เท่านั้น ใครมีข้อมูลในส่วนอื่นที่ต่างออกไปมาแชร์กันได้
การซื้อเสียงมีอยู่2แบบคือ แบบถูกกฏหมายและแบบผิดกฏหมาย แบบถูกกฏหมาย จะอธิบายทีหลัง
การซื้อเสียงแบบผิดกฏหมายก็อย่างที่คนรู้จักนั่นแหละ คือใช้เงิน ทรัพย์ สัญญาว่าจะให้จูงใจคนไปลงคะแนนให้
ซึ่งในการเลือกตั้งคนจะมีอยู่2ประเภทคือ 1. คนที่ไม่ซื้อได้ 2. คนที่ซื้อได้
คนที่เป็นกลไกหลักในการซื้อเสียงคือหัวคะแนน หัวคะแนนจะใกล้ชิดชาวบ้าน ทำให้รู้ว่าคนไหนซื้อได้หรือซื้อไม่ได้ หัวคะแนนเก่ง สามารถซื้อแล้วอัตราสำเร็จสูง เช่นซื้อ100หัว คะแนน กลับมาสูงถึง80-90คะแนนทีเดียว ซึ่งหัวคะแนนนั้นจะรู้ว่าใครซื้อได้หรือซื้อไม่ได้
คนที่ซื้อไม่ได้ คือคนที่ซื้อไปแล้วไม่สามารถหวังผลได้ ได้แก่พวกข้าราชการ อาจารย์ หรือคนที่มีหน้าที่การงานสูง เรียกว่าประเมินแล้วซื้อไม่ได้ คนที่ฝักใฝ่กลุ่มการเมืองชัดเจน หรือแฟนคลับพรรคการเมืองเช่น เสื้อแดง เสื้อเหลืองเป็นต้น พวกนี้ถึงซื้อไปก็ไม่เปลี่ยนใจ ซึ่งหัวคะแนนจะไม่ซื้อพวกนี้
คนที่ซื้อได้ ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะจน หรือการศึกษาน้อย แต่คุณสมบัติหลักของกลุ่มนี้คือ ไม่มีใครในใจและสามารถซื้อได้หากเงินถึง พวกนี้อาจจะเป็นชาวบ้านธรรมดา หรือคนจบปริญญาเลยก็ได้
ในการซื้อเสียงนั้นจะมีการประเมินก่อนว่าในเขตตัวเองนั้นมีเสียงแน่ๆแล้วเท่าไหร่ เช่น ผู้สมัครพท.ประเมินแล้วว่าในพท้นที่มีเสื้อแดงอยู่มาก และมากพอที่จะทำให้ตัวเองได้รับเลือก ก็จะไม่มีการซื้อเสียง หรือ พรรคเล็กๆประเมินแล้วว่ายังไงก็ตีไม่แตก ก็เลือกที่จะไม่ซื้อ
หลักเกณฑ์คร่าวๆว่าในเขตๆนั้นจะมีการซื้อหรือไม่ดูจาก
1. พรรคมีเสียงในมือแน่ๆเท่าไหร่
2.มีสัดส่วนคนที่จะซื้อได้เท่าไหร่
3.ความคุ้มค่าในการซื้อ
พื้นที่ ที่จะมีการซื้อนั้นส่วนมากจะเป็นพื้นที่ ที่เสียงไม่ขาด จะมีคนที่สามารถซื้อได้จะนวนมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันกระแสเสื้อแดง-เหลืองแรง ดังนั้นคนกลุ่มที่ซื้อได้จะลดลงไป ขระนี้ความคุ้มค่าในการซื้อจะสำคัญที่สุดเพราะมันมีผลต่อคะแนนปาตี้ลิสต์
การซื้อจะต้องมีการประเมินว่าจะซื้อยังไง กลุ่มในบ้าง เพราะถ้าพื้นที่เหมาะสมกับการซื้อจะมีการทุ่มกันในแต่ละพรรค จะมากหรือน้อยแล้วแต่ ดังนั้นจะมีการประเมินว่าแต่ละพรรค จะซื้อที่ไหนบ้างโดยคำนึงว่า ถ้าซื้อแล้วมีโอกาศได้เสียงกลับมามากที่สุด และส่วนมากจะไม่ซื้อทับเขตกัน ยกเว้นในกรณีที่ผู้สมัครทุ่ม เพราะการซื้อทับเขต มันจะมีโอกาศ ขาดทุนได้ง่าย
แต่ในปัจจุบันก็มีบางกรณีที่กล้าซื้อเสียงในเขตที่ตัวเองไม่ชนะแน่ๆ เพราะปัจจุบันต้องรักษาคะแนนปาตี้ลิสต์ในเขตตัวเองเอาไว้เพราะมันมีผลต่อพรรค และโอกาศในการทำงานการเมืองกับพรรคนั้นๆ
จากตรงนี้สรุปได้ว่าการซื้อเสียงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความคุ้มค่า จะจำนวนคนที่สามารถซื้อได้มากกว่า ซึ่งหลักการนี้ใช้ได้ทั้งเลือกตั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ยกเว้นแค่ ส.ว. เพราะส.ว.มีการแข่งขั้นสูง ส่วนมากพรรคจะล๊อบบี้เอาตอนได้เป็นหรือใช้ฐานหัวคะแนนพรรคมากกว่าจะมีการซื้อเสียงตรงๆ
และการซื้อเสียงแบบถูกกฏหมายคืองบประมาณหาเสียงเลือกตั้งนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นอบรมทีมงานหาเสียง(หัวคะแนน) ป้ายหาเสียง(จ้างบ้านทำเลดีๆหรือ หรือรถสาธารณะติด) ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นงบประชาสัมพันธ์ที่กฏหมายอนุญาต ซึ่งส.ส. 1คนจะมีวงเงินว่างบหาเสียงจะไม่เกินเท่าไหร่ซึ่งเลือกตั้งเสร็จต้องรายงาน กกต.
กระทู้นี้คือกระทู้ให้ความรู้อยากให้แชร์ความคิดเห็นโดยสุภาพ และถ้าเป็นไปได้อยากให้มีคนโหวตเยอะๆจะได้เป็นกระทู้แนะนำ ทำให้คนอื่นๆสามารถเข้ามาอ่านกันได้มากๆ
ป.ล. ขอแทคประวัติศาตร์ด้วยเนื่องจากเกี่ยวกับปรระวัติการเมืองไทย แทคปัญหาสังคมเพราะการซื้อเสียงเป็นปัญหาสังคม