ค้นดูกระทู้เก่าๆ....มีหลายท่านถามเกี่ยวกับเปรียญธรรมเก้าประโยค....ก็ขออนุญาตตั้งกระทู้เป็นเกร็ดความรู้....ตั้งกระทู้สะกิดพุทธอิสระบ่อยก็รู้สึกเบื่อๆ (เพราะหมอนี่ด้านนนนจริง)
ผมพอจะรู้จักและมีเพื่อนที่เป็นเปรียญเก้าอยู่หลายคนและหลายรูป มีคนถามว่าเรียนยากไหมเปรียญธรรม......ตอบเลยครับว่ายากสสส์ คนที่สอบได้ประโยคเก้านี่ต้องบอกว่าระดับเทพจริงๆ ครับ......ยิ่งสอบได้ตอนเป็นสามเณรแล้วยิ่งดับเบิ้ลเทพ ที่ดังๆ ไล่ตั้งแต่คนแรกในรัชกาลนี่นะครับ
1. อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ท่านนี้รับประกันได้ครับว่าเทพจริงๆ.....ท่านเคยสอนผมระยะหนึ่ง
2. พระพรมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์) ผมเคยเรียนกับท่านที่ มจร มาเหมือนกัน
3. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร) อธิการบดี มจร
แต่ที่อยากแนะนำอีกท่านหนึ่งที่หลายท่านอาจจะยังไม่รู้คุ้นเคยถือว่าเป็น เจนเนอเรชั่นเดียวกับกับผมคือ คุณ อุทิส ศิริวรรณ ปัจจุบันท่านเป็นศาสตราจารย์....ขี้เกียจบรรยายสรรพคุณ ดูตามลิงค์เลยนะครับ
http://th.wikipedia.org/wiki/อุทิส_ศิริวรรณ ท่านอุทิส นอกจากจะเป็นสามเณรประโยคแล้ว ท่านแต่งตำราบาลีไวยากรณ์ในแบบฉบับของท่านให้รุ่นน้องๆ ได้อ่านแบบเข้าใจง่ายจนเป็นมหาเปรียญหลายร้อยรูปมาแล้ว
เคยมีคนถามว่าจบเปรียญเก้าแล้วมีหน้าที่อะไร? ต้องออกตัวก่อนนะว่าผมไม่ใช่เปรียญเก้า แต่เคยเริ่มจับหนึงสือบาลีไวยากรณ์พร้อมๆ กับเพื่อนๆ เปรียญเก้ามาในสมัยบวชเรียนแต่ผมไปไม่ถึงฝั่งฝันด่วนลาสิกขาซะก่อน อิ อิ อิ เรื่องหน้าที่ของพระเปรียญเก้านั้นก็แล้วแต่เจ้าอาวาสจะมอบหมายให้ ถ้าหากวัดที่ท่านอาศัยอยู่ไม่มีสำนักเรียนท่านก็อาจจะถูกเรียกไปสอนบาลีที่วัดอื่น หรือเปิดสำนักบาลี อาจจะช่วยงานด้านชำระพระไตรปิฏกบ้าง ถ้าสิกขาลาเพศออกมาอย่างน้อยๆ ก็เป็นอนุศาสนาจารย์บ้าง เป็นราชบัณฑิตบ้างอย่าง ท่านเสฐียรพงษ์ และท่านจำนงค์ ทองประเสริฐ หรือสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยเช่นศิลปากร เช่นท่าน สมบัติ มั่งมีศรีสุข (อดีตสามเณรประโยคเก้าวัดสีหไกรสร อันนี้เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน ถือโอกาสโฆษณา อิ อิ อิ) แต่ที่น่าแปลกใจมีอยู่ท่านหนึ่งจบประโยคเก้าจากวัดจักรวรรดิ์ฯ.....ท่านไปเป็นมัคคุเทสก์นำฝรั่งเที่ยวตามวัดตามวัง
ถามว่าระดับประโยคได้เจ้าคุณเร็วสิท่า?? เป็นไปได้สูงครับ และแล้วแต่กรณี(เส้นสายด้วย) อย่างท่านจำนงค์ ทองประเสริฐ ผมเคยเรียนวิชาตรรกะศาสตร์กับท่าน ท่านเป็นเจ้าคุณที่อายุน้อยมากรู้สึกว่าตอนอายุยี่สิบเจ็ดปีเอง ท่านเป็นสหธรรมิกกับสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว) วัดสระเกศและเป็นเจ้าคุณก่อนสมเด็จเกี่ยว แต่ไม่ไกลจากวัดสระเกศเท่าไหร่แค่สามร้อยกว่าเมตรคือวัดสิตาราม(วัดคอกหมู)เจ้าอาวาสตอนนั้นคือ พระมหาสมศรี อินทโชโต สอบได้เปรียญธรรมเก้าประโยคตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2498 (ปีพศ ผมไม่ได้เช็คข้อมูล แต่ที่รู้คือสอบประโยคเก้าได้ก่อนปี2500) แทบจะเรียกได้เป็นมหาเปรียญเก้าที่รั้งตำแหน่ง "พระมหา" ยาวนานที่สุดก็ว่าได้ ท่านเป็นคนขอนแก่น ปี2530 ผมเคยเรียนถามท่านตรงๆ ว่าไม่น้อยใจบ้างหรือขอรับ.....ท่านบอกว่ายอมรับชะตาแล้ว ขนาดพระลูกวัดของท่านเป็นพระครูตั้งสองรูปท่านก็ยังเป็นพระมหาสมศรีจนมรณภาพ
บางคนถามว่าสอบ/เรียนยากไหม? ...ไม่ต้องไปไกลถึงประโยคเก้าหรอกขอรับ แค่ประสอบประโยค 1-2 ก็ยากเย็นแสนเข็ญ คนที่สมองไม่เอื้ออำนวยสอบห้าหกปียังไม่ผ่าน สมัยเป็นเป็นสามเณรน้อยท่ี่บ้านนอก ต้องเดินจากวัดมาโบกรถสิบล้อที่บรรทุกอ้อยเข้ามาเรียนที่สำนัก วันไหนรถไม่มาก็ไม่ได้เรียน สำนักเรียนตอนนั้นอยู่ที่วัดมัชฌิมวาส(อุดรฯ)มีพระเดชพระคุณเท่านเจ้าคุณราชปริยัติเมธี(ปธ ๘)เป็นอาจารย์สอนไวยากรณ์ ท่านเขี่ยวเค็ญให้ท่อง...ถ้าท่องไม่ได้ก็มายืนคาบไม้บรรทัดหน้าห้องเรียนทำโทษ....ไม้เด็ดของท่านเจ้าคุณคือท่านสั่งให้ใช้ตัดมะพร้าววครึ่งลูกแล้วเฉือนส่วนที่แหลมทิ้ง....ให้ใช้มะพร้าวครึ่งลูกหนุนแทนหมอนนอนอ่านและท่องบาลีบนพื้นกุฏิ....อ่านไปๆ เกิดเคลิ้มง่วงนอนขึ้นมาหัวก็หล่นจากมะพร้าวลงฟาดกับพื้นโป๊กใหญ่
สารภาพตรงๆ ว่า....ตอนนั้นอายุแค่สิบสอง เรียนไปก็สักแต่เรียน หลวงปู่เจ้าอาวาสว่าอยากมีมหาสักคนในหมู่บ้านบ้างก็เอา แต่ผมมาเห็นคุณค่าภาษาบาลีเอาก็ต่อเมื่อผมเริ่มฝึกเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง.......เห็นการผันคำนาม ผันกริยาของภาษาอังกฤษผมก็มองว่ากล้วยๆ เพราะผ่านของแข็งอย่างบาลีไวยากรณ์มาแล้ว อังกฤษผันกริยาได้สามช่อง speak, spoke, spoken แต่บาลีผันกริยาได้หลากหลาย ติ อันติ สิ ถะ มิ มะ ผมคิดว่าการที่ได้เรียนภาษาบาลีมาแล้วช่วยผมในเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง (ซึ่งปัจจุบันผมก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นชีวิตประจำวันทั้งที่ทำงานและในครอบครัวของผม)อดีตมหาเปรียญที่เก่งอีกท่านหนึ่งคือ อาจารย์ สำราญ คำยิ่ง ท่านนี้เขียนตำราไวยากรณ์ภาษาอังกฤษขายจนโด่งดังทั่วประเทศไทยเชียวนะ ขานั้นเขาก็มีพื้นฐานมาจากบาลีมาก่อน อาจารย์เสฐียรพงษ์แปลพุทธพจน์จากธรรมบทเป็นภาษาอังกฤษซะสวยหรูฝรั่งชมเปราะ
ก้อเคยนะ.....โดนค่อนแคะในสมัยเรียนบาลีจากเพื่อนว่า เฮ้ย..เรียนไปได้ไรฟร่ะ? จะไปหางานทำที่กรุงพาราณาสี หรือกรุงราชคฤห์หรือไง?
เสียดาย....ที่บาลีไวยากรณ์ไม่ได้ถูกบรรจุในหลักสุตรตำราเรียนให้นักเรียนทั่วๆ ไป ไม่งั้นเราไม่ต้องมาพะวงเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้มาก หรือแม้แต่ภาษาไทยของเราเองก็จะได้รู้ลึกซึ่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ผมเคยอ้างมาหลายที่แล้วการแปลคำว่ า"วิหค" ซึ่งผมก็บอกใครต่อใครว่าแปลว่า "นก" ตรงๆ นั้นไม่ถูกต้องนัก ถ้าหากจะดุรากศัพท์ของคำๆ นี้ก็จะเข้าใจทันทีว่า "วิหค" ไม่ได้แปลว่านก
วิหค...มาจากคำว่า เวหา+คม(อ่านว่า "คะมะ" เป็นธาตุที่แปลว่า "ไป" คำว่า "คมนาคม" ก็มาจากธาตุตัวนี้แหละ) "เวหา" และ "คม" สมาสสนธิกันเข้าก็คลอดคำว่า "วิหค" ออกมา(ขออนุญาตไม่อธิบายรายละเอียด) แปลตามศัพท์ก็ได้ว่า "

บุคคล, สิ่งมีชีวิต)ผู้มีปรกติซึ่งไปในอากาศ" ดังนั้น ผู้ที่มีปรกติซึ่งไปในอากาศ(บิน)ต้องรวมเอาทั้ง ผีเสื้อ แมลงปอ ยุง ไร ฯลฯ ไม่ได้หมายถึง "นก" เพียงอย่างเดียว....แปลไทยเป็นไทยก็คือ วิหคแปลว่าสัตว์ปีก(ที่บินได้) นกเป็นวิหค แต่วิหคไม่ใช่นก(เพียงอย่างเดียว) เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ อิ อิ อิ
เล่าเรื่องเรียน....เปรียญธรรม
ผมพอจะรู้จักและมีเพื่อนที่เป็นเปรียญเก้าอยู่หลายคนและหลายรูป มีคนถามว่าเรียนยากไหมเปรียญธรรม......ตอบเลยครับว่ายากสสส์ คนที่สอบได้ประโยคเก้านี่ต้องบอกว่าระดับเทพจริงๆ ครับ......ยิ่งสอบได้ตอนเป็นสามเณรแล้วยิ่งดับเบิ้ลเทพ ที่ดังๆ ไล่ตั้งแต่คนแรกในรัชกาลนี่นะครับ
1. อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก ท่านนี้รับประกันได้ครับว่าเทพจริงๆ.....ท่านเคยสอนผมระยะหนึ่ง
2. พระพรมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์) ผมเคยเรียนกับท่านที่ มจร มาเหมือนกัน
3. พระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร) อธิการบดี มจร
แต่ที่อยากแนะนำอีกท่านหนึ่งที่หลายท่านอาจจะยังไม่รู้คุ้นเคยถือว่าเป็น เจนเนอเรชั่นเดียวกับกับผมคือ คุณ อุทิส ศิริวรรณ ปัจจุบันท่านเป็นศาสตราจารย์....ขี้เกียจบรรยายสรรพคุณ ดูตามลิงค์เลยนะครับ http://th.wikipedia.org/wiki/อุทิส_ศิริวรรณ ท่านอุทิส นอกจากจะเป็นสามเณรประโยคแล้ว ท่านแต่งตำราบาลีไวยากรณ์ในแบบฉบับของท่านให้รุ่นน้องๆ ได้อ่านแบบเข้าใจง่ายจนเป็นมหาเปรียญหลายร้อยรูปมาแล้ว
เคยมีคนถามว่าจบเปรียญเก้าแล้วมีหน้าที่อะไร? ต้องออกตัวก่อนนะว่าผมไม่ใช่เปรียญเก้า แต่เคยเริ่มจับหนึงสือบาลีไวยากรณ์พร้อมๆ กับเพื่อนๆ เปรียญเก้ามาในสมัยบวชเรียนแต่ผมไปไม่ถึงฝั่งฝันด่วนลาสิกขาซะก่อน อิ อิ อิ เรื่องหน้าที่ของพระเปรียญเก้านั้นก็แล้วแต่เจ้าอาวาสจะมอบหมายให้ ถ้าหากวัดที่ท่านอาศัยอยู่ไม่มีสำนักเรียนท่านก็อาจจะถูกเรียกไปสอนบาลีที่วัดอื่น หรือเปิดสำนักบาลี อาจจะช่วยงานด้านชำระพระไตรปิฏกบ้าง ถ้าสิกขาลาเพศออกมาอย่างน้อยๆ ก็เป็นอนุศาสนาจารย์บ้าง เป็นราชบัณฑิตบ้างอย่าง ท่านเสฐียรพงษ์ และท่านจำนงค์ ทองประเสริฐ หรือสอนหนังสือตามมหาวิทยาลัยเช่นศิลปากร เช่นท่าน สมบัติ มั่งมีศรีสุข (อดีตสามเณรประโยคเก้าวัดสีหไกรสร อันนี้เป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกัน ถือโอกาสโฆษณา อิ อิ อิ) แต่ที่น่าแปลกใจมีอยู่ท่านหนึ่งจบประโยคเก้าจากวัดจักรวรรดิ์ฯ.....ท่านไปเป็นมัคคุเทสก์นำฝรั่งเที่ยวตามวัดตามวัง
ถามว่าระดับประโยคได้เจ้าคุณเร็วสิท่า?? เป็นไปได้สูงครับ และแล้วแต่กรณี(เส้นสายด้วย) อย่างท่านจำนงค์ ทองประเสริฐ ผมเคยเรียนวิชาตรรกะศาสตร์กับท่าน ท่านเป็นเจ้าคุณที่อายุน้อยมากรู้สึกว่าตอนอายุยี่สิบเจ็ดปีเอง ท่านเป็นสหธรรมิกกับสมเด็จพระพุฒาจารย์(เกี่ยว) วัดสระเกศและเป็นเจ้าคุณก่อนสมเด็จเกี่ยว แต่ไม่ไกลจากวัดสระเกศเท่าไหร่แค่สามร้อยกว่าเมตรคือวัดสิตาราม(วัดคอกหมู)เจ้าอาวาสตอนนั้นคือ พระมหาสมศรี อินทโชโต สอบได้เปรียญธรรมเก้าประโยคตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2498 (ปีพศ ผมไม่ได้เช็คข้อมูล แต่ที่รู้คือสอบประโยคเก้าได้ก่อนปี2500) แทบจะเรียกได้เป็นมหาเปรียญเก้าที่รั้งตำแหน่ง "พระมหา" ยาวนานที่สุดก็ว่าได้ ท่านเป็นคนขอนแก่น ปี2530 ผมเคยเรียนถามท่านตรงๆ ว่าไม่น้อยใจบ้างหรือขอรับ.....ท่านบอกว่ายอมรับชะตาแล้ว ขนาดพระลูกวัดของท่านเป็นพระครูตั้งสองรูปท่านก็ยังเป็นพระมหาสมศรีจนมรณภาพ
บางคนถามว่าสอบ/เรียนยากไหม? ...ไม่ต้องไปไกลถึงประโยคเก้าหรอกขอรับ แค่ประสอบประโยค 1-2 ก็ยากเย็นแสนเข็ญ คนที่สมองไม่เอื้ออำนวยสอบห้าหกปียังไม่ผ่าน สมัยเป็นเป็นสามเณรน้อยท่ี่บ้านนอก ต้องเดินจากวัดมาโบกรถสิบล้อที่บรรทุกอ้อยเข้ามาเรียนที่สำนัก วันไหนรถไม่มาก็ไม่ได้เรียน สำนักเรียนตอนนั้นอยู่ที่วัดมัชฌิมวาส(อุดรฯ)มีพระเดชพระคุณเท่านเจ้าคุณราชปริยัติเมธี(ปธ ๘)เป็นอาจารย์สอนไวยากรณ์ ท่านเขี่ยวเค็ญให้ท่อง...ถ้าท่องไม่ได้ก็มายืนคาบไม้บรรทัดหน้าห้องเรียนทำโทษ....ไม้เด็ดของท่านเจ้าคุณคือท่านสั่งให้ใช้ตัดมะพร้าววครึ่งลูกแล้วเฉือนส่วนที่แหลมทิ้ง....ให้ใช้มะพร้าวครึ่งลูกหนุนแทนหมอนนอนอ่านและท่องบาลีบนพื้นกุฏิ....อ่านไปๆ เกิดเคลิ้มง่วงนอนขึ้นมาหัวก็หล่นจากมะพร้าวลงฟาดกับพื้นโป๊กใหญ่
สารภาพตรงๆ ว่า....ตอนนั้นอายุแค่สิบสอง เรียนไปก็สักแต่เรียน หลวงปู่เจ้าอาวาสว่าอยากมีมหาสักคนในหมู่บ้านบ้างก็เอา แต่ผมมาเห็นคุณค่าภาษาบาลีเอาก็ต่อเมื่อผมเริ่มฝึกเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง.......เห็นการผันคำนาม ผันกริยาของภาษาอังกฤษผมก็มองว่ากล้วยๆ เพราะผ่านของแข็งอย่างบาลีไวยากรณ์มาแล้ว อังกฤษผันกริยาได้สามช่อง speak, spoke, spoken แต่บาลีผันกริยาได้หลากหลาย ติ อันติ สิ ถะ มิ มะ ผมคิดว่าการที่ได้เรียนภาษาบาลีมาแล้วช่วยผมในเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและมั่นคง (ซึ่งปัจจุบันผมก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นชีวิตประจำวันทั้งที่ทำงานและในครอบครัวของผม)อดีตมหาเปรียญที่เก่งอีกท่านหนึ่งคือ อาจารย์ สำราญ คำยิ่ง ท่านนี้เขียนตำราไวยากรณ์ภาษาอังกฤษขายจนโด่งดังทั่วประเทศไทยเชียวนะ ขานั้นเขาก็มีพื้นฐานมาจากบาลีมาก่อน อาจารย์เสฐียรพงษ์แปลพุทธพจน์จากธรรมบทเป็นภาษาอังกฤษซะสวยหรูฝรั่งชมเปราะ
ก้อเคยนะ.....โดนค่อนแคะในสมัยเรียนบาลีจากเพื่อนว่า เฮ้ย..เรียนไปได้ไรฟร่ะ? จะไปหางานทำที่กรุงพาราณาสี หรือกรุงราชคฤห์หรือไง?
เสียดาย....ที่บาลีไวยากรณ์ไม่ได้ถูกบรรจุในหลักสุตรตำราเรียนให้นักเรียนทั่วๆ ไป ไม่งั้นเราไม่ต้องมาพะวงเรื่องไวยากรณ์ภาษาอังกฤษให้มาก หรือแม้แต่ภาษาไทยของเราเองก็จะได้รู้ลึกซึ่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่ผมเคยอ้างมาหลายที่แล้วการแปลคำว่ า"วิหค" ซึ่งผมก็บอกใครต่อใครว่าแปลว่า "นก" ตรงๆ นั้นไม่ถูกต้องนัก ถ้าหากจะดุรากศัพท์ของคำๆ นี้ก็จะเข้าใจทันทีว่า "วิหค" ไม่ได้แปลว่านก
วิหค...มาจากคำว่า เวหา+คม(อ่านว่า "คะมะ" เป็นธาตุที่แปลว่า "ไป" คำว่า "คมนาคม" ก็มาจากธาตุตัวนี้แหละ) "เวหา" และ "คม" สมาสสนธิกันเข้าก็คลอดคำว่า "วิหค" ออกมา(ขออนุญาตไม่อธิบายรายละเอียด) แปลตามศัพท์ก็ได้ว่า "