ผม เป็นคน ที่ไม่จบ มหาลัย เพราะสมัยนั้น สถาบัน ที่ผมเรียน ไม่ได้ใช้คำนำหน้า ว่า มหาวิทยาลัย
ใช้ชื่อ สถาบัน เฉย ๆ แต่ผม ก็ภูมิใจ ที่ ได้เรียน จากสถาบัน ครู ผู้สอนผม สอนให้ผม เป็นคน ที่
เป็นคน มีความรู้ อย่างดี พอที่จะ ออกไป ทำงานให้สังคม
หลักการแรก ที่ผม ฟัง ครูของผมสอน ก็คือ สุ จิ ปุ ลิ ภาษาบาลี ที่ แปล ได้ใจความว่า
ฟัง คิด ถาม เขียน และผม ก็ เอา คำนี้ มาใช้กับ เด็กของผม เพราะผมเป็นครู หน้าที่หลัก คือการสอน
ครับสอนเด็ก ที่ผม ทำในส่วนแรก คือ สอนเด็ก ให้เป็นพลเมืองดี ของชาติ ซื่อสัตย์ ขยัน และ อดทน
ประการต่อมา คือ สอนให้ เด็ก มีความรู้ ตาม สายงาน ที่แก เรียน อย้างถูกต้อง และ มั่นคง
ประการสุดท้าย ก็คือ สอนให้ แก รู้จัก สิทธิ และหน้าที่ของ แก ตามระบอบประชาธิปไตย สอนให้ แก
รัก ความเป็นประชาธิปไตย เข้าใจในหลัก ของความเป็นประชาธิปไตย และ ท้ายสุด คือ ความหวงแหน
ในประชาธิปไตย
อันที่จริง ประการสุดท้าย นี่ น่าจะเป็น เรื่องแรก ที่สอน ให้กับเด็ก แต่การพูด ในสี่ง ที่เป็น นามธรรม
มันยาก ที่จะ บอกได้ ต้องใช้ วิธี การของ ระบบช่าง ที่แกเรียน คือ เรียนรู้ โดยการทำ การปฎิบัติ
นี่คือ วิธี การสอน วิธีการปฎิบัติ ของครู บ้านนอกคนหนึ่ง
การสอนในมหาวิทยาลัย ไม่น่า แตกต่างกับ การสอนในโรงเรียนของผม มากนัก เพราะ โรงเรียนของผม
เป็นโรงเรียน ผลิต ช่าง เด็ก ที่จบไป ก็ไปทำงาน ตามสาขา ที่ได้เรียน มาโดยตรง ไม่ต้องไป เรียน
อะไร เพิ่มเติม อย่าง เช่น เด็ก ที่จบ ม. 6 มหาวิทยาลัย ก็เช่นกัน เด็ก ที่จบไป ต้องไป ทำงาน ตามสาขา
ที่เรียนมา เช่นกัน นอกจาก จะไปเรียน เพิ่มขึ้น เพื่อ ใบปริญญา
มันจะต่าง กันที่ ผู้ที่เป็นคนบริหาร มหาวิทยาลัย เลือก ผู้บริหารจาก บรรดา ครู ผุ้สอน แต่ โรงเรียนของผม
เอามาจาก การสอบคัดเลือก ของครู ที่ประสงค์ จะไปเป็นผู้บริหาร ทาง สำนักงาน ก็ สอบ แล้ว แต่งตั้งให้ มาดำรง
ตำแหน่ง แต่ที่ ต่างกันโดยสี้นเชิง คือ แนวคิด ในเรื่องของประชา่ธิปไตย ผู้บริหาร ในโรงเรียนจะให้อิสระ กับ
ผู้สอน นักเรียน และมีแนวคืด ที่ไม่ แตกออกไปจาก ระบอบ ที่เป็นอยู่ ความเป็น ประชาธิปไตย ที่ไม่นอกตอก
ของสี่งที่เรา ได้เรียนรู้กันมา ครับนั้นคือ ทุกอย่างต้องมาจาก ประชาชนส่วนใหญ่ เวลาที่จะลงมติ อะไร ก็ยกมือ
ถ้าเสียงส่วนใหญ่ ว่ายังไง ก้ตามนั้น
แตกต้างกับ อธิการบดี ของมหาวิทยาลัย ที่ ออกมาแสดงตัวในระยะนี้ พยายาม เสนอ แนว คิด ที่ ตนเองคิดว่า
เป็นเรื่องถูกต้อง เสียงส้วนน้อย ต้องมีเสียงที่ ดีกว่าเสียงส่วนใหญ่ เขาลืมทไปว่า เขา ก็มาจาก เสียงส่วนใหญ่
หรือ เช่นการ ขอ นายก ม. 7 ที่ไม่มีใคร กล้าแม้แต่จะคิด แต่เขาก็ ทำ การออกมา อธืบาย ม. 3
ในเรื่องของ การได้มา ซึ่ง นายก หรือ การ เสนอ เรื่อง สภา ประชาชน ที่ไม่เห็นประชาชน อยู่ในสายตา
และถ้าย้อน กลับ ไป เมื่อ 7 ปีก่อน อธิการเหล่านี้ เข้าไปร่วม กับคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ
ของประชาชน พวกเขา แสดงตน เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนอย่างชัดเจน ผม เห็น ม้อตโต้ ของมหาลัย
ที่ เขียนออกมาว่า " ฉันรัก ธรรมศาสตร์ เพราะ ธรรมศาสตร์ สอนให้ฉันรัก ประชาชน " ยังจำได้ไหม แต่
พฤติกรรม ของ อธิการ เป็นอย้างไร เด็ก ๆธรรมศาสตร์ ต้องคิด ให้มากหน่อย
ผมขอลงท้าย ด้วย ข้อ ความช่วงแรก สุ จิ ปุ ลิ ครับ เอาไปให้ เด็กในธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัย อีก 26 แห่ง ได้
คิด กันก่อน ที่จะ ออกมาเห็น ดีเห็นงามกับ บรรดา อธิการ นอกคอก เหล่านั้น
ประชาธิปไตย นอกคอก ของ อธิการบดี
ใช้ชื่อ สถาบัน เฉย ๆ แต่ผม ก็ภูมิใจ ที่ ได้เรียน จากสถาบัน ครู ผู้สอนผม สอนให้ผม เป็นคน ที่
เป็นคน มีความรู้ อย่างดี พอที่จะ ออกไป ทำงานให้สังคม
หลักการแรก ที่ผม ฟัง ครูของผมสอน ก็คือ สุ จิ ปุ ลิ ภาษาบาลี ที่ แปล ได้ใจความว่า
ฟัง คิด ถาม เขียน และผม ก็ เอา คำนี้ มาใช้กับ เด็กของผม เพราะผมเป็นครู หน้าที่หลัก คือการสอน
ครับสอนเด็ก ที่ผม ทำในส่วนแรก คือ สอนเด็ก ให้เป็นพลเมืองดี ของชาติ ซื่อสัตย์ ขยัน และ อดทน
ประการต่อมา คือ สอนให้ เด็ก มีความรู้ ตาม สายงาน ที่แก เรียน อย้างถูกต้อง และ มั่นคง
ประการสุดท้าย ก็คือ สอนให้ แก รู้จัก สิทธิ และหน้าที่ของ แก ตามระบอบประชาธิปไตย สอนให้ แก
รัก ความเป็นประชาธิปไตย เข้าใจในหลัก ของความเป็นประชาธิปไตย และ ท้ายสุด คือ ความหวงแหน
ในประชาธิปไตย
อันที่จริง ประการสุดท้าย นี่ น่าจะเป็น เรื่องแรก ที่สอน ให้กับเด็ก แต่การพูด ในสี่ง ที่เป็น นามธรรม
มันยาก ที่จะ บอกได้ ต้องใช้ วิธี การของ ระบบช่าง ที่แกเรียน คือ เรียนรู้ โดยการทำ การปฎิบัติ
นี่คือ วิธี การสอน วิธีการปฎิบัติ ของครู บ้านนอกคนหนึ่ง
การสอนในมหาวิทยาลัย ไม่น่า แตกต่างกับ การสอนในโรงเรียนของผม มากนัก เพราะ โรงเรียนของผม
เป็นโรงเรียน ผลิต ช่าง เด็ก ที่จบไป ก็ไปทำงาน ตามสาขา ที่ได้เรียน มาโดยตรง ไม่ต้องไป เรียน
อะไร เพิ่มเติม อย่าง เช่น เด็ก ที่จบ ม. 6 มหาวิทยาลัย ก็เช่นกัน เด็ก ที่จบไป ต้องไป ทำงาน ตามสาขา
ที่เรียนมา เช่นกัน นอกจาก จะไปเรียน เพิ่มขึ้น เพื่อ ใบปริญญา
มันจะต่าง กันที่ ผู้ที่เป็นคนบริหาร มหาวิทยาลัย เลือก ผู้บริหารจาก บรรดา ครู ผุ้สอน แต่ โรงเรียนของผม
เอามาจาก การสอบคัดเลือก ของครู ที่ประสงค์ จะไปเป็นผู้บริหาร ทาง สำนักงาน ก็ สอบ แล้ว แต่งตั้งให้ มาดำรง
ตำแหน่ง แต่ที่ ต่างกันโดยสี้นเชิง คือ แนวคิด ในเรื่องของประชา่ธิปไตย ผู้บริหาร ในโรงเรียนจะให้อิสระ กับ
ผู้สอน นักเรียน และมีแนวคืด ที่ไม่ แตกออกไปจาก ระบอบ ที่เป็นอยู่ ความเป็น ประชาธิปไตย ที่ไม่นอกตอก
ของสี่งที่เรา ได้เรียนรู้กันมา ครับนั้นคือ ทุกอย่างต้องมาจาก ประชาชนส่วนใหญ่ เวลาที่จะลงมติ อะไร ก็ยกมือ
ถ้าเสียงส่วนใหญ่ ว่ายังไง ก้ตามนั้น
แตกต้างกับ อธิการบดี ของมหาวิทยาลัย ที่ ออกมาแสดงตัวในระยะนี้ พยายาม เสนอ แนว คิด ที่ ตนเองคิดว่า
เป็นเรื่องถูกต้อง เสียงส้วนน้อย ต้องมีเสียงที่ ดีกว่าเสียงส่วนใหญ่ เขาลืมทไปว่า เขา ก็มาจาก เสียงส่วนใหญ่
หรือ เช่นการ ขอ นายก ม. 7 ที่ไม่มีใคร กล้าแม้แต่จะคิด แต่เขาก็ ทำ การออกมา อธืบาย ม. 3
ในเรื่องของ การได้มา ซึ่ง นายก หรือ การ เสนอ เรื่อง สภา ประชาชน ที่ไม่เห็นประชาชน อยู่ในสายตา
และถ้าย้อน กลับ ไป เมื่อ 7 ปีก่อน อธิการเหล่านี้ เข้าไปร่วม กับคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ
ของประชาชน พวกเขา แสดงตน เป็นฝ่ายตรงข้ามกับประชาชนอย่างชัดเจน ผม เห็น ม้อตโต้ ของมหาลัย
ที่ เขียนออกมาว่า " ฉันรัก ธรรมศาสตร์ เพราะ ธรรมศาสตร์ สอนให้ฉันรัก ประชาชน " ยังจำได้ไหม แต่
พฤติกรรม ของ อธิการ เป็นอย้างไร เด็ก ๆธรรมศาสตร์ ต้องคิด ให้มากหน่อย
ผมขอลงท้าย ด้วย ข้อ ความช่วงแรก สุ จิ ปุ ลิ ครับ เอาไปให้ เด็กในธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัย อีก 26 แห่ง ได้
คิด กันก่อน ที่จะ ออกมาเห็น ดีเห็นงามกับ บรรดา อธิการ นอกคอก เหล่านั้น