ตามความเข้าใจของผมเอง ผมเข้าใจว่า สภาประชาชน หรืออาจจะเรียกได้ว่า มันคือสภาโต๊ะกลม หรือสภาอะไรก็ตาม แต่ตามนัยเจตนาแบบเดียวกัน นั้นเกิดขึ้นครั้งล่าสุดเมื่อ 24 ปีที่แล้ว สมัยที่เยอรมันนี แบ่งแยกออกเป็นสองฝ่าย คือเยอรมันตะวันออกซึ่งเป็นแบบอนุรักษ์นิยม ปกครองโดยสหภาพโซเวียตโซเวียตหรือรัสเซียในปัจจุบัน และเยอรมันฝั่งตะวันตกหรือเสรีนิยม หรืออาจจะออกในแนวทุนนิยม ซึ่งปกครองโดย อเมริกา เขาได้มานั่งเจรจากันเพราะการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเพื่อรวมประเทศเขาด้วยกัน จึงเป็นที่มาของการทลายกำแพงเบอร์ลิน เมื่อปี 2532 หรือเมื่อ 24 ปีที่แล้ว ขอบอกว่านี่คือความเข้าใจในแบบของผมนะ
สิ่งที่ผมดีใจ คือ เอ้ยเราจะหลอมรวมกันได้แล้วเหรอนี่คนไทย
สิ่งที่ผมสงสัย คือ
1. เอ้ยประชาธิปไตยเราล้าหลังเขาถึง 24 ปีเลยนี่ เมื่อเทียบกับเยอรมันที่เพิ่งเริ่มเสรีนิยมประชาธิปไตย อ้าวแล้วอเมริกาล่ะ ที่เขามีเสรีนิยมมาก่อนหน้านี้แล้ว เราน่าจะล้าหลังกว่าเขาไม่น้อยกว่า 50 ปีแน่ๆเลย
2. สภาประชาชนมันเป็นอะไรที่จับต้องยากมาก จะเลือกตัวแทนสภาประชาชนมาแบบไหนล่ะ น้องนิดจากเจ้าพระยาอาบอบนวดจะมีชื่อมั้ยอ่ะ ลุงสมหมายจาก สมหมายบาเบอร์ร้านประจำผมล่ะ อ้าวแล้วเจ๊แมวข้าดราดแกงร้านประจำผมล่ะ จะมีโอกาสไปนั่งสภาอันสูงส่งนี่มั๊ยนะ แม้จะอ้างว่าทำได้ตามมาตรา 3 มาตรา 7 ที่อ้างกัน แต่ก็งงว่า ทำไมแค่แก้ที่มาของ สว.ให้เป็นแบบเลือกตั้งทั้งหมดยังทำไม่ได้เลยเพราะมันคือการถอยหลังเข้าคลองตามที่ผู้สูงศักดิ์ในบ้านเมือง กล่าวอ้างไว้
3. แล้วสภาประชาชน มันต่างอะไรกับ สสร.ล่ะ ทำไมไม่เลือกใช้ สสร.ล่ะ งง คุณก็แค่เปลี่ยนจาก สสร.ที่ต้องเลือกตั้งทั้งหมด มาเป็น เลือก ตั้ง สสร.จังหวัดละ 1 คน เป็นตัวตั้งตัวตีหรือตัวแทน แล้วเชิญคณะบดีคณะต่างๆ ทุกสาขาวิชา ผู้อำนวยการโรงเรียนทุกวิชาชีพ ทุกมหาวิทยาลัย มาร่วมร่างร่วมกำหนดร่าง ไม่ต้องเอาพวกอธิการบดีมา เพราะมันคือนักการเมืองดีๆนี่เองเหมือนกัน โดยแยกออกเป็นแต่ละภูมิภาค ได้ข้อสรุปของคณะบดีแต่ละภาคแล้วก็จัดเสวนาทุกจังหวัดในภาคนั้นๆ เชิญประชาชนที่สนใจ ผู้ใหญ่บ้าน มาร่วม วงเสวนามาเป็นข้อสรุปของแต่ละจังหวัด เสร็จก็ให้ สสร.รวบรวมหาข้อสรุปทั้งหมด แล้วแถลงต่อหน้าประชาชนโดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ไปเลย รอ 60 วัน โดย30 วันแรก ให้ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยมีสิทธิ์โต้แย้ง อีก 30 วัน หาข้อสรุปของการโต้แย้งแถลงต่อประชาชนทั่วประเทศ ถ้าข้อโต้แย้งนั้นต่างกันมากจนไม่สามารถหลอมรวมได้ ก็ทำมันสองร่าง แล้วเลือกโหวตไปเลย ถ้าหลอมรวมได้ก็โหวตลงประชามติ ไปเลย ใช้เวลาไปเลย 1 ปี จะนานก็นั้นก็ยังดีกว่า เขียนเข้าข้างตัวเองแล้วมีปัญหาอยู่อย่างทุกวัน กำหนดขอบเขตของแต่ละองค์กรให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องตีความเข้าข้างตัวเอง ผมขอแค่ข้อเดียว ไม่พอใจอะไรอย่าปิดถนนเลย กรูเซ็ง
4. ผมเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม เฉพาะประชาชนเท่านั้น ไอ้หัวหลักๆ อย่าๆนิรโทษให้มัน และเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คดีทำผิดของนักการเมืองแล้วไม่ต้องมีอายุความ จับได้ว่าผิดเมื่อไหร่ ยึดทรัพย์มันให้หมด แต่ต้องไม่ใช่มีศาลเดียวจบนะครับแบบนี้นะครับ เขียนโน๊ตท้ายไว้ด้วยว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราใดมาตราหนึ่ง ต้องลงประชามติเท่านั้น เขียนไปด้วยว่าการทำรัฐประหารไม่มีผลต่อการฉีกรัฐธรรมนูญนี้ ถ้ามันกล้าทำ ก็ให้มันเกิดสงครามกลางเมืองไปเลย
ถ้าการตรวจสอบมีมากขึ้น บทลงโทษต่อการกระทำผิดของนักการเมืองรุนแรงขึ้น ผมว่าเราน่าจะได้นักการเมืองเพื่อประชาชนมากกว่านักการเมือง มืออาชีพมากขึ้น
ความล้าหลังของประชาธิปไตยในไทย
สิ่งที่ผมดีใจ คือ เอ้ยเราจะหลอมรวมกันได้แล้วเหรอนี่คนไทย
สิ่งที่ผมสงสัย คือ
1. เอ้ยประชาธิปไตยเราล้าหลังเขาถึง 24 ปีเลยนี่ เมื่อเทียบกับเยอรมันที่เพิ่งเริ่มเสรีนิยมประชาธิปไตย อ้าวแล้วอเมริกาล่ะ ที่เขามีเสรีนิยมมาก่อนหน้านี้แล้ว เราน่าจะล้าหลังกว่าเขาไม่น้อยกว่า 50 ปีแน่ๆเลย
2. สภาประชาชนมันเป็นอะไรที่จับต้องยากมาก จะเลือกตัวแทนสภาประชาชนมาแบบไหนล่ะ น้องนิดจากเจ้าพระยาอาบอบนวดจะมีชื่อมั้ยอ่ะ ลุงสมหมายจาก สมหมายบาเบอร์ร้านประจำผมล่ะ อ้าวแล้วเจ๊แมวข้าดราดแกงร้านประจำผมล่ะ จะมีโอกาสไปนั่งสภาอันสูงส่งนี่มั๊ยนะ แม้จะอ้างว่าทำได้ตามมาตรา 3 มาตรา 7 ที่อ้างกัน แต่ก็งงว่า ทำไมแค่แก้ที่มาของ สว.ให้เป็นแบบเลือกตั้งทั้งหมดยังทำไม่ได้เลยเพราะมันคือการถอยหลังเข้าคลองตามที่ผู้สูงศักดิ์ในบ้านเมือง กล่าวอ้างไว้
3. แล้วสภาประชาชน มันต่างอะไรกับ สสร.ล่ะ ทำไมไม่เลือกใช้ สสร.ล่ะ งง คุณก็แค่เปลี่ยนจาก สสร.ที่ต้องเลือกตั้งทั้งหมด มาเป็น เลือก ตั้ง สสร.จังหวัดละ 1 คน เป็นตัวตั้งตัวตีหรือตัวแทน แล้วเชิญคณะบดีคณะต่างๆ ทุกสาขาวิชา ผู้อำนวยการโรงเรียนทุกวิชาชีพ ทุกมหาวิทยาลัย มาร่วมร่างร่วมกำหนดร่าง ไม่ต้องเอาพวกอธิการบดีมา เพราะมันคือนักการเมืองดีๆนี่เองเหมือนกัน โดยแยกออกเป็นแต่ละภูมิภาค ได้ข้อสรุปของคณะบดีแต่ละภาคแล้วก็จัดเสวนาทุกจังหวัดในภาคนั้นๆ เชิญประชาชนที่สนใจ ผู้ใหญ่บ้าน มาร่วม วงเสวนามาเป็นข้อสรุปของแต่ละจังหวัด เสร็จก็ให้ สสร.รวบรวมหาข้อสรุปทั้งหมด แล้วแถลงต่อหน้าประชาชนโดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ไปเลย รอ 60 วัน โดย30 วันแรก ให้ทุกคนที่ไม่เห็นด้วยมีสิทธิ์โต้แย้ง อีก 30 วัน หาข้อสรุปของการโต้แย้งแถลงต่อประชาชนทั่วประเทศ ถ้าข้อโต้แย้งนั้นต่างกันมากจนไม่สามารถหลอมรวมได้ ก็ทำมันสองร่าง แล้วเลือกโหวตไปเลย ถ้าหลอมรวมได้ก็โหวตลงประชามติ ไปเลย ใช้เวลาไปเลย 1 ปี จะนานก็นั้นก็ยังดีกว่า เขียนเข้าข้างตัวเองแล้วมีปัญหาอยู่อย่างทุกวัน กำหนดขอบเขตของแต่ละองค์กรให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องตีความเข้าข้างตัวเอง ผมขอแค่ข้อเดียว ไม่พอใจอะไรอย่าปิดถนนเลย กรูเซ็ง
4. ผมเห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม เฉพาะประชาชนเท่านั้น ไอ้หัวหลักๆ อย่าๆนิรโทษให้มัน และเห็นด้วยอย่างยิ่งกับ คดีทำผิดของนักการเมืองแล้วไม่ต้องมีอายุความ จับได้ว่าผิดเมื่อไหร่ ยึดทรัพย์มันให้หมด แต่ต้องไม่ใช่มีศาลเดียวจบนะครับแบบนี้นะครับ เขียนโน๊ตท้ายไว้ด้วยว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราใดมาตราหนึ่ง ต้องลงประชามติเท่านั้น เขียนไปด้วยว่าการทำรัฐประหารไม่มีผลต่อการฉีกรัฐธรรมนูญนี้ ถ้ามันกล้าทำ ก็ให้มันเกิดสงครามกลางเมืองไปเลย
ถ้าการตรวจสอบมีมากขึ้น บทลงโทษต่อการกระทำผิดของนักการเมืองรุนแรงขึ้น ผมว่าเราน่าจะได้นักการเมืองเพื่อประชาชนมากกว่านักการเมือง มืออาชีพมากขึ้น