ทำงานบริษัท หรือ ออกมาค้าขายส่วนตัวดีกว่า ปัญหาโลกแตก

อยากทราบความคิดเห็นเพื่อนๆ ในที่นี้นะคะว่าถ้าเป็นคุณๆ จะตัดสินใจอย่างไร
ทั้งที่พยามยามประมวลข้อดีข้อเสียของบริษัทออกมาได้แล้วแต่ก็ยังคิดไม่ตกค่ะ
1. เป็นบริษัทเล็กๆ สวัสดิการไม่ดี วันหยุดก็ไม่ตรงปฏิทินหยุด ทำงานจันทร์-เสาร์ ทำงานทั้งอาทิตย์หยุดวันเดียวอยู่แล้ว
ความหวังของพนักงานคือวันหยุดตามปฏิทิน แต่ก็ไม่ค่อยได้รับ ไม่รู้จะไปเรียกร้องจากใครค่ะ
2. เจ้านายค่อนข้างเป็นคนงกทั้งสามี ภรรยา (เรียกง่ายๆ ว่าหากมีช่องทางใดที่พอจะเอาเปรียบพนักงานได้บ้างก็จะทำ
แม้แต่กาแฟ คอฟฟี่เมต น้ำตาล น้ำดื่ม หรือกระดาษทิชชู่ ก็ต้องทำการเช็คเป็นระยะว่าใครกิน ใครใช้บ้าง ใช้เท่าไหร่
ต้องมีทำรายงาน หรือถ้าไม่รายงานก็จะมีคำพูดประมาณว่าของทำไมหมดเร็วจัง ประมาณว่าคิดว่าพนักงานขโมยไปใช้ส่วนตัว
ทั้งที่พนักงานที่นี่ฐิทิสูงมาก คือหมั่นไส้เจ้านายที่งก จนซื้อมาใช้กันเองซะส่วนใหญ่
อีกกรณีที่จะยกตัวอย่างก็ประมาณ ท่องเที่ยวประจำปี จำนวนพนักงาน เกือบ 30 คน มีงบให้ 10,000 บาท เหอๆๆๆ)
3. เจ้านายเป็นประเภทโหวกเหวก ขี้โวยวาย ขี้ด่า (ไม่ใช่ขี้บ่นนะคะ) คือด่าไม่ถามสาเหตุ ชอบเสียงดัง
ไม่ใช่พูดแบบวางอำนาจ แต่จะประมาณด่าพร่ำเพรื่อ ร่ำไร ด่าไม่ถูกคน พอฉันนึกไม่พอใจ ฉันอยากด่าก็ด่าเลย
ฉันไม่ถามต้นสายปลายเหตุ (ตัวดิฉันเองรู้สึกรำคาญเสียงของเขาน่ะค่ะ แต่ต้องทนเพราะเป็นลูกน้อง และนึกขำที่เขามักจะตะโกนด่าลูกน้องว่าให้เสียงเบาๆ หน่อย ทั้งที่ตัวเขาเองเวลาคุยกับลูกค้าชอบเปิดโฟนคุยเสียงดังทั้งวัน)
4. ในองค์กรจะมีความขัดแย้งเป็นฝ่ายเล็กๆ หรือเรื่องเล็กๆ แต่มักจะมีการพูดจากระแทก-ดันหรือสบถให้ได้ยินบ่อยๆ จากการสังเกตก็รู้สึกได้
ว่าหลายๆ คนในองค์กร ที่เคยปิดปากเงียบหรือลักษณะนิสัยค่อนไปทางไม่ยุ่งกับใครเริ่มจะมีความก้าวร้าวในตนเองขึ้นในระดับหนึ่ง
และมันเริ่มจะไม่ยุ่งไม่ได้คือ พยายามเลี่ยงที่จะยุ่งเรื่องไร้สาระต่างๆ แต่ก็โดนกระทบกันไปหมดทั้งองค์กร
(โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่ามันทำให้สภาพจิตใจเสื่อมถอยลงค่ะ)
5. เจ้านายชายชอบมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพนักงาน ในที่นี้ดิฉันไม่ทราบว่าถึงขั้นไหนกันบ้าง
แต่ดิฉันก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนทาบทาม และมีพนักงานบางคนก็ออกตัวแบบอวดๆ ให้เพื่อนๆ รู้ว่าเขาพิเศษนะ
ซึ่งก็หลายๆ คน โดยส่วนใหญ่ก็จะปิดปากกันมากกว่า แต่คือรู้ๆ กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร
ซึ่งในจุดๆ นี้ ดิฉันไม่เล่นด้วยแน่นอน ซึ่งดิฉันคิดว่าจุดนี้ค่อนข้างมีผลกับความก้าวหน้าในหน้าที่การงานแน่นอน
เพราะดูตัวอย่างได้จากเพื่อนๆ ที่มีความสัมพันธ์สนิทแน่นกับเจ้านายและเพื่อนที่ตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้านาย
(เกิดความน้อยใจส่วนตัวดิฉันทำงานควบ 2 ตำแหน่งทั้งไอที และกราฟฟิค(แถมต้องเป็นตากล้องคอยถ่ายรูปสินค้า) + เซลล์
แถมต้องวิ่งเข้าไปดูงานในโรงงานเอง และควบคุมฝ่ายผลิตเองด้วย
โรงงานที่ทำก็อยู่ห่างกันถึงขนาดต้องขับรถไปดู ดิฉันเองขับรถมอเตอร์ไซค์ไม่เก่งเท่าไร แต่ก็ยอมเอาชีวิตเสี่ยงขับไปมาตลอด
ดีกรีพริตตี้เก่ายังคงรักสวยรักงาม ตะลอนๆ ตากแดดหน้าดำขับมอเตอร์ไซค์เข้าโรงงานอย่างน้อยวันละ 2 รอบ (เป็นคำสั่งอาญาสิทธิ์)
กลับเข้าออฟฟิศมาก็นั่งทำงานตลอดไม่ได้หยุด กลับได้รับคำชมว่า "ทำงานเรื่อยเฉื่อย" ส่วนเพื่อนพนักงานอีกคน
ที่สัมพันธ์สนิทกับเจ้านายนั่งเล่นเฟซบุ๊ค แชท เล่นเกมส์ อ่านนิยายเกือบทั้งวัน แต่เขาไม่โดนอะไรเลย
ดิฉันจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้ น้ำท่วมปาก ไม่ได้อยากทำให้ใครเดือนร้อน)

แต่สิ่งที่น่าเสียดายจากองค์กรณ์นี้
1. องค์กรเล็กๆ ของเราเป็นคนหมู่น้อย เรียกได้ว่าจะหาเพื่อนดีๆ แบบที่นี่ในองค์กรอื่นนั้นค่อนข้างหายาก
2. องค์กรกำลังพัฒนา และเจ้านายเคยทาบทามให้ดิฉันรับในตำแหน่งที่ดีขึ้นคือเห็นหัวหน้างาน
ตั้งแต่สมัยที่ดิฉันเพิ่งห่างกับแฟนใหม่ๆ (ช่วงนั้นดิฉันเป็นลูกรักของเจ้านาย) แต่ตอนนี้เจ้านายทราบแล้วว่าแฟนของดิฉันกลับมา
และอะไรหลายๆ อย่างก็เริ่มทำให้ฉันไม่แน่ใจว่าดิฉัน จะได้รับตำแหน่งแบบที่คุยกันไว้
แต่ก็ยังมีความหวังเพราะคนในองค์กรดูแล้วดิฉันเอาถ่านสุด (พูดแบบไม่ได้เข้าข้างตัวเอง)
3. ที่นี่ทำงานกับแบบครอบครัวมากๆ จะมาสายจะหยุดงานบ่อยแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวจะโดนไล่ออกหรือเงินเดือนไม่ขึ้น
เนื่องจากตำแหน่งที่ดิฉันดูแลมันค่อนข้างจะหาคนมากแทนยาก เท่าที่เคยแจ้งไปว่าหลายตำแหน่งจริงๆ ที่ดิฉันรับผิดชอบ
ด้วยความรู้สึกที่ว่าช่วยๆ บริษัทไป หากหยุดงานก็คือหักเงินไปตามค่าจ้างของเรา ซึ่งพนักงานส่วนใหญ่เลยไม่เกรงใจที่จะหยุดงาน
เพราะยังไงก็โดนหักเงินอยู่แล้ว ในส่วนของเงินเดือนยังไงที่นี่ก็ไม่ขึ้นเงินเดือนให้พนักงานเยอะอยู่แล้ว พวกเราเลยไม่หวังว่า
จะต้องทำผลงานที่ดีที่สุดให้กับบริษัทเพราะคนทำผลงานไม่ได้ดี คนได้ดีไม่ใช่คนที่ทำผลงานแต่เป็นคนที่สนิทกับเจ้านายผู้ชาย
4. ที่นี่อยู่ใกล้บ้านดิฉันเดินทางมาทำงานสะดวกค่ะ
5. ข้อดียิบๆ ย่อยๆ ก็ประมาณแอบเล่นพันทิปได้ในเวลางาน แอบทานอาหารได้หากหิว ลูกน้องเถียงสวนเจ้านายได้เลยเพราะไม่มีใครให้ความเกรงใจหรือเคารพเจ้านาย

ส่วนค้าขายที่จะออกมาทำนั้นค่อนข้างมีความแน่นอนเพราะดิฉันมีร้านอยู่แล้วรายได้พออยู่ได้เลยค่ะหากไม่ทำงานประจำก็อยู่ได้
และตอนนี้ได้เปิดร้านเพิ่มขึ้นอีกร้านนึง ซึ่งดีกว่าร้านเดิมมากๆๆๆๆ ค่ะ และดิฉันก็กำลังคิดอยากขยายสาขาเพิ่มอีก
แต่หากเปิดเพิ่มก็คงมีผลกระทบกับงานประจำที่ทำอยู่อย่างแน่นอน
ดิฉันไม่เคยดูหมิ่นการเป็นลูกจ้างใคร ทุกอย่างคืองาน แต่การออกมาเปิดร้านเอง เราก็ได้อิสระดี (ส่วนตัวดิฉันไม่ชอบตื่นเช้าและไม่ชอบโดนบังคับอยู่แล้ว)
แต่ก็โดนปรามมาจากคุณแม่ว่า เราทำงานประจำมันได้แน่นอนกว่า อีกอย่างดิฉันก็อายุยังน้อย (25 ปีค่ะ ไม่น้อยแล้วนะ) คุณแม่ท่านอยากให้มีสังคม
ถ้าออกมาเปิดร้านเองสังคมจะน้อยลง และร้านที่เปิดอยู่คือเปิดคู่กับแฟนค่ะ คุณแม่ก็ติงมาว่าออกงานมาหาได้ก็เข้ากระเป๋าแฟนหมด อย่างมากเราก็แค่ได้กินได้ใช้ไปวันๆ
แต่แฟนดิฉันก็ดูแลค่าใช้จ่ายทุกอย่างเป็นอย่างดีไม่บกพร่องเลยค่ะ และช่วงนี้ที่ร้านใหม่ยังไม่คืนทุน แฟนก็พูดบ่อยๆ ว่ากลัวดิฉันน้อยใจที่ไม่ค่อยให้เงินใช้ฟุ่มเฟือย
ให้รอให้หมดหนี้ก่อนนะ แต่ที่ดิฉันรู้สึกว่าที่ดิฉันใช้อยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ได้น้อยเลย
(คือร้านนี้ให้แฟนดูแลเป็นหลัก ส่วนดิฉันตอนนี้ทำงานประจำเป็นหลักก็ใช้เงินเดือนผ่อนบ้านที่ซื้อให้แม่ก็เกือบหมดแล้วค่ะ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ดิฉันก็ขอที่แฟนหมด รวมถึงค่าใช้จ่ายครอบครัว แฟ๊บ สบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ
แต่ก็ไม่ได้เป็นเงินเก็บค่ะ
แต่ร้านใหม่ที่ไปเปิดแฟนบอกจะให้เป็นรายได้ของดิฉันเลย หากดิฉันออกงาน แฟนดิฉันอยากให้ออกอยู่แล้วเพราะรู้ว่าเจ้านายนิสัยอย่างไร)
แต่มันก็มีความเสี่ยงเพราะร้านใหม่ก็ไม่รู้จะรายได้ยังไง เพราะต้องไปนับ 1 ใหม่เหมือนกัน

หากเป็นเพื่อนๆ พี่ๆ ในที่นี้คิดว่าจะตัดสินใจเลือกอย่างไรดีคะ ขอเหตุผลของแต่ละท่านด้วยค่ะ
และขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ทนอ่านมาซะยืดยาวถึงขนาดนี้นะคะ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆ คำตอบค่ะ
ช่วยกันตอบหน่อยนะคะ เป็นกำลังใจให้น้องใหม่แห่งพันทิปด้วยจ้า กระทู้แรกเลย ^___^

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่