ช่วงนี้การเมืองกำลังร้อนแรง ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาในโรงเรียนลูกสาวผมที่เป็นเด็กประถมโรงเรียนรัฐแห่งหนึ่ง เรื่องเริ่มจากครูใหญ่ของโรงเรียนสงสารเด็กนักเรียนที่มีงบค่าอาหารกลางวัน หัวละ 15 บาท กลัวว่าเด็กจะกินไม่อิ่ม หรือได้สารอาหารไม่ครบถ้วน ครูใหญ่จึงทำหนังสือมาหาผู้ปกครองทุกคนว่า จะขอเก็บเงินค่าอาหารกลางวันเพิ่ม วันละ 10 บาท จากหัวละ 15 บาทเป็น 25 บาทเพื่อให้เด็กได้กินอาหารกลางวันที่ดีขึ้น และได้สอบถามความเห็นผู้ปกครองทุกคนว่ายินยอมหรือไม่ กับการที่โรงเรียนจะเก็บค่าอาหารกลางวันเพิ่มหัวละ 10 บาท สำหรับลูกหลานของตน ซึ่งจะตกประมาณเทอมละ 800 – 1000 บาท
เมื่อผมได้รับหนังสือ ผมคิดแล้วว่า กะเงินแค่วันละ 10 บาท เพื่อให้ลูกได้กินอาหารกลางวันที่มีคุณภาพขึ้นผมยอมแน่นอน และในวันที่ประชุมผู้ปกครอง ครูใหญ่ได้พูดกับผู้ปกครองทุกคนในเรื่องนี้ว่า ผลตอบรับจากผู้ปกครองทุกท่านคือ
ผู้ปกครอง 93 เปอร์เซ็นต์ ยินยอมให้ทางโรงเรียนเก็บเงินเพิ่ม ในขณะที่ผู้ปกครอง 7 เปอร์เซ็นต์ไม่ยอม เพราะคิดว่า สำหรับข้าวกลางวันเด็กหัวละ 15 บาทนั้นมันเพียงพออยู่แล้ว เด็กจะกินอะไรมากมาย
(อืม ผมมานั่งคิด ถ้ามองว่า หัวละ 15 บาทก็เพียงพอแล้ว เช่น เด็กได้กินข้าวไข่เจียว ผัดผัก แกงจืด ก็น่าจะพอได้สำหรับหัวละ 15 บาท ถามว่าไหวไหม มันก็พอไหวนะ สำหรับอาหารกลางวันเด็ก และบางครอบครัวการเพิ่มเงินอีกเทอมละ 800 – 1000 มันอาจจะหนักสำหรับพวกเขา)
ครูใหญ่จึงกล่าวต่อว่า การที่เราจะทำตามเสียงส่วนใหญ่ 93 เปอร์เซ็นต์โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยอีก 7 เปอร์เซ็นต์เลย คงไม่ถูกต้องนัก เพราะถึงแม้พวกเค้าจะมีแค่เพียง 7 เปอร์เซ็นต์ แต่พวกเค้าจะได้รับผลกระทบต่อนโยบายนี้ แต่ถ้าจะทำตามเสียงส่วนน้อยโดยให้เด็กกินข้าวกลางวันหัวละ 15 บาทเท่าเดิม เสียงส่วนมากคงจะบอกว่าทำไมต้องสนใจเสียงส่วนน้อยในเมื่อเสียงส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่งมาเยอะมาก เห็นว่าพวกเค้าพร้อมที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นอีกนิด ซึ่งไม่ใช่จำนวนที่มากอะไร เพื่อให้ลูกพวกเค้าได้กินอาหารที่ดีขึ้น
ทางคณะครูจึงได้ประชุมกันและหาทางออก มีครูท่านหนึ่งเสนอว่าให้แบ่งอาหารเป็นสองแบบสำหรับเด็กที่ผู้ปกครองยินยอมให้จัดอาหารชุดละ 25 บาท ในขณะที่เด็กที่ผู้ปกครองไม่ยินยอมให้จัดอาหารชุดละ 15 บาทแบบเดิม แต่มีครูท่านหนึ่งแย้งขึ้นมาว่า ถ้าทำแบบนั้นเด็กที่กินอาหารชุดละ 15 บาทจะน่าสงสาร เพราะเค้าคงต้องคิดว่าทำไมเพื่อนได้กินอาหารดีกว่าตัวเขา และเด็กคงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก พวกเขาจะคิดว่าทำไมพวกเขาด้อยกว่าเด็กคนอื่น เด็กกลุ่มนี้จะน่าสงสาร
ครูใหญ่บอกว่านี่คือปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้
(ผมมานั่งคิดหาทางออกดูวิธีอื่น เช่นตั้งกองทุน หรือ ให้ผู้ปกครองที่ยินยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดเพื่อช่วยเด็กที่ผู้ปกครองไม่ยินยอม แต่ก็จะเห็นว่าการตั้งกองทุน อาจจะมีผู้ปกครองคิดว่ากองทุนนี้จะโปร่งใสหรือไม่ หรือผู้ปกครองบางคนอาจจะคิดว่าทำไมฉันจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อลูกคนอื่น และผู้ปกครองที่ไม่ยินยอมอาจจะคิดว่ามาจ่ายให้ลูกฉันทำไม ฉันคิดว่าหัวละ 15 บาทก็พอแล้ว ไม่เห็นจำเป็น ฉันไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใคร ฯลฯ )
สุดท้ายแล้วปัญหาเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหาในสังคมเล็กๆ ในสังคมหนึ่งยังยากที่จะตัดสิน เพราะการที่จะทำอะไรให้ถูกใจทุกคนคงเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย และทำความเข้าใจกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรา สังคมเราคงจะสงบสุข และปัญหาคงน้อยกว่านี้
ป.ล. ผลสรุปเรื่องอาหารกลางวันคือ เด็กได้กินหัวละ 15 บาทเหมือนเดิม ถึงผมจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับปัญหานี้
ประชาธิปไตย(มั้ง)ในโรงเรียนลูกสาวผม
เมื่อผมได้รับหนังสือ ผมคิดแล้วว่า กะเงินแค่วันละ 10 บาท เพื่อให้ลูกได้กินอาหารกลางวันที่มีคุณภาพขึ้นผมยอมแน่นอน และในวันที่ประชุมผู้ปกครอง ครูใหญ่ได้พูดกับผู้ปกครองทุกคนในเรื่องนี้ว่า ผลตอบรับจากผู้ปกครองทุกท่านคือ
ผู้ปกครอง 93 เปอร์เซ็นต์ ยินยอมให้ทางโรงเรียนเก็บเงินเพิ่ม ในขณะที่ผู้ปกครอง 7 เปอร์เซ็นต์ไม่ยอม เพราะคิดว่า สำหรับข้าวกลางวันเด็กหัวละ 15 บาทนั้นมันเพียงพออยู่แล้ว เด็กจะกินอะไรมากมาย
(อืม ผมมานั่งคิด ถ้ามองว่า หัวละ 15 บาทก็เพียงพอแล้ว เช่น เด็กได้กินข้าวไข่เจียว ผัดผัก แกงจืด ก็น่าจะพอได้สำหรับหัวละ 15 บาท ถามว่าไหวไหม มันก็พอไหวนะ สำหรับอาหารกลางวันเด็ก และบางครอบครัวการเพิ่มเงินอีกเทอมละ 800 – 1000 มันอาจจะหนักสำหรับพวกเขา)
ครูใหญ่จึงกล่าวต่อว่า การที่เราจะทำตามเสียงส่วนใหญ่ 93 เปอร์เซ็นต์โดยไม่สนใจเสียงส่วนน้อยอีก 7 เปอร์เซ็นต์เลย คงไม่ถูกต้องนัก เพราะถึงแม้พวกเค้าจะมีแค่เพียง 7 เปอร์เซ็นต์ แต่พวกเค้าจะได้รับผลกระทบต่อนโยบายนี้ แต่ถ้าจะทำตามเสียงส่วนน้อยโดยให้เด็กกินข้าวกลางวันหัวละ 15 บาทเท่าเดิม เสียงส่วนมากคงจะบอกว่าทำไมต้องสนใจเสียงส่วนน้อยในเมื่อเสียงส่วนใหญ่เกินกว่าครึ่งมาเยอะมาก เห็นว่าพวกเค้าพร้อมที่จะจ่ายเพิ่มขึ้นอีกนิด ซึ่งไม่ใช่จำนวนที่มากอะไร เพื่อให้ลูกพวกเค้าได้กินอาหารที่ดีขึ้น
ทางคณะครูจึงได้ประชุมกันและหาทางออก มีครูท่านหนึ่งเสนอว่าให้แบ่งอาหารเป็นสองแบบสำหรับเด็กที่ผู้ปกครองยินยอมให้จัดอาหารชุดละ 25 บาท ในขณะที่เด็กที่ผู้ปกครองไม่ยินยอมให้จัดอาหารชุดละ 15 บาทแบบเดิม แต่มีครูท่านหนึ่งแย้งขึ้นมาว่า ถ้าทำแบบนั้นเด็กที่กินอาหารชุดละ 15 บาทจะน่าสงสาร เพราะเค้าคงต้องคิดว่าทำไมเพื่อนได้กินอาหารดีกว่าตัวเขา และเด็กคงไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก พวกเขาจะคิดว่าทำไมพวกเขาด้อยกว่าเด็กคนอื่น เด็กกลุ่มนี้จะน่าสงสาร
ครูใหญ่บอกว่านี่คือปัญหาที่ยังหาทางออกไม่ได้
(ผมมานั่งคิดหาทางออกดูวิธีอื่น เช่นตั้งกองทุน หรือ ให้ผู้ปกครองที่ยินยอมจ่ายเงินเพิ่มอีกนิดเพื่อช่วยเด็กที่ผู้ปกครองไม่ยินยอม แต่ก็จะเห็นว่าการตั้งกองทุน อาจจะมีผู้ปกครองคิดว่ากองทุนนี้จะโปร่งใสหรือไม่ หรือผู้ปกครองบางคนอาจจะคิดว่าทำไมฉันจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อลูกคนอื่น และผู้ปกครองที่ไม่ยินยอมอาจจะคิดว่ามาจ่ายให้ลูกฉันทำไม ฉันคิดว่าหัวละ 15 บาทก็พอแล้ว ไม่เห็นจำเป็น ฉันไม่ต้องการเป็นหนี้บุญคุณใคร ฯลฯ )
สุดท้ายแล้วปัญหาเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหาในสังคมเล็กๆ ในสังคมหนึ่งยังยากที่จะตัดสิน เพราะการที่จะทำอะไรให้ถูกใจทุกคนคงเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างยอมรับเหตุผลของอีกฝ่าย และทำความเข้าใจกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเรา สังคมเราคงจะสงบสุข และปัญหาคงน้อยกว่านี้
ป.ล. ผลสรุปเรื่องอาหารกลางวันคือ เด็กได้กินหัวละ 15 บาทเหมือนเดิม ถึงผมจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือทางออกที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับปัญหานี้