ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตจะเดินทางบนความผิดพลาดมาไกลได้ขนาดนี้[ชีวิตที่มีคำว่าเมียน้อยเป็นตราบาป]

ตอนแรกไม่รู้จะเริ่มต้นกระทู้ยังไงดี แค่อยากจะเล่าถึงชีวิตของเรา ซึ่งไม่คิดมาก่อนเลยว่าชีวิตเราจะมาเป็นแบบนี้ ตั้งเเต่เล็กจนโตเชื่อมั่นในความดีเสมอ คิดอยู่เสมอว่าเกิดมาเป็นคนหนึ่งคนสิ่งที่ควรทำที่สุดคือประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ไม่กระทำชั่ว ไม่ผิดลูกผิดเมีย ไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น

ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันตอนที่ทุกคนยังเด็กมันง่ายมากที่จะทำ เพราะไม่มีความทุกข์ ไม่ต้องดิ้นรน. ไม่มีเรื่องไม่มีภาระให้ต้องคิด. ความชั่วอย่างมากที่สุดก็แค่ โกหกพ่อแม่ เวลากลับบ้านผิดเวลา ก็อ้างไปเรื่อยแค่นั้น


     เอาหล่ะที่เกริ่นมาข้างต้น เราไม่ได้จะมาบอกว่าเป็นคนดีเด่มาจากไหน ก็แค่มนุษย์ปกติ มีรัก โลภ โกรธ หลง เหมือนคนทั่วไป  แค่จะบอกว่าโชคดีหน่อยที่ได้รับการเลี้ยงดู อบรมมาอย่างดี และเติบโตมาจากการเข้าๆออกๆวัด. เราเลยยิ่งรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำลงไปมันเป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นบนสังคม หรือครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง. แต่ในที่สุดมันก็เกิดขึ้นและเรานี่แหล่ะที่เป็นคนเลือกเอง

    ต้องขอย้อนไปเมื่อ ประมาณ4ปีก่อน ตอนนั้นเราเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเเห่งนึง ช่วงฝึกงานหลายเดือนเราได้รู้จักผู้ชายคนนึงในที่ทำงาน เราไปฝึกงาน ส่วนเค้าตอนนั้นเป็นรองผู้จัดการแผนกนึงอยู่และมีหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการฝึกงานให้นักศึกษา ตอนแรกเราไม่รู้หรอกว่าเค้าเป็นใครคิดว่าเป็นพี่พนักงานคนนึง เพราะภายนอกเค้าดูเด็กมาก เวลาทำงานก็ไม่ต่างจากพี่ๆคนอื่น เพื่อนๆที่ไปฝึกงานค่อนข้างกรี๊ดกันเพราะถือว่าเค้าหน้าตาค่อนข้างดี ส่วนเราก็ไม่ค่อยสนใจอะไรเข้าไปใหม่ๆ ก็รู้แค่ว่าพี่คนนั้นสวย คนนี้หล่อ คนนั้นโหด คนนี้ใจดี   ไม่ได้ให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ   พอมารู้ว่าเค้ามีตำแหน่งพ่วง เราก็แปลกใจนะ เพราะภายนอกเค้าดูเด็กแล้วบริษัทก็ใหญ่โตทำไมถึงได้เลื่อนขั้นอะไรรวดเร็วกว่าคนรุ่นเดียวกัน. (ลืมบอกไปตอนนั้นเราอายุ21 ส่วนเค้าประมาณ24). แต่พอได้ร่วมงานกันเลยพอเข้าใจหล่ะว่า เค้าเป็นคนเข้มงวดในเรื่องงานมาก รอบคอบ พอเวลางานจะเคร่งขรึมตั้งใจมาก แต่พอนอกเวลางานก็ร่าเริงปกติ    มันยิ่งทำให้ผู้ชายคนนี้น่าสนใจมาก เหมือนมีแรงดึงดูดทุกคนให้สนใจเค้า

     จนในสุดเราก็ได้สนิทกับเค้ามากขึ้น และตกลงคบกัน(ขอไม่ลงรายละเอียดว่าจีบกันยังไง มันจับพลัดจับผลู สนิทกันไปสนิทกันมาจำได้เลือนลาง).  คบกันในฐานะแฟน ปกติเหมือนคู่อื่นทั่วๆไป ไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่มีอะไรที่ผิดสังเกตุ เพราะเค้าดีกับเรามากทุกอย่าง  คอยเป็นห่วงเป็นใย คอยรับคอยส่ง เวลามีปัญหาอะไรเราจะปรึกษาเค้าได้ทุกอย่าง  จนเรารู้สึกว่าเรารักเค้าจริงๆ เรามีเค้าอยู่เรารู้สึกมีเค้าคอยซับพอร์ต . ถ้าเราเจอเรื่องอะไรเค้าจะช่วยเราแก้ไขปัญหาให้เราได้แน่ๆ  ตอนนั้นคิดแค่ว่า เค้าคงรักเราจริงเหมือนกัน  ยิ่งคบกันไปเรื่อยๆเค้าก็ยิ่งทำให้เรามั่นใจว่าเราฝากชีวิตไว้กับเค้าได้  มีความสุขจนลืมคิดเผื่อใจลืมหมดทุกอย่างที่อยู่รอบตัว

     เรากับเค้าคบกันได้เกือบปี เกือบปีที่มีความสุขมาก จนไม่คิดไม่ฝันว่าเค้าจะบอกเลิกเรา ในวันซ้อมใหญ่รับปริญญา  ก่อนหน้านั้นก็ตกลงสัญญากันดิบดีว่าเค้าจะมา วันรับจริงพ่อแม่พี่น้องเราจะมากันครบ เค้าก็บอกว่าอยากเจอพ่อกับแม่เรา. ก่อนหน้านั้นเค้าก็เคยคุยกับพ่อแม่เราทางโทรศัพท์แล้วพ่อแม่เราก็รับรู้ ยิ่งเราไปเล่าให้พ่อแม่ฟังว่า เค้าเป็นแบบไหนดีกับเราดูแลเรายังไง พ่อแม่เราเลยไม่ได้ขัดเห็นดีเห็นงามไปด้วย บอกแค่ว่าให้คบกันดีๆ เรียนให้จบ ให้พากันไปในทางที่ดีแค่นั้น.  

      ตอนที่เค้าบอกเลิกเราความรู้สึกเหมือนโลกแตก ตัวชาพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่ตอบรับทางโทรศัพท์ว่า "อืม. อืม แล้วก็อืม". เค้าบอกเราว่าเค้ามีภรรยาอยู่แล้ว เค้าแต่งงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ เพราะภรรยาเค้าท้องพ่อแม่ทั้งสองฝั่งเลยให้แต่งกัน  เค้าบอกเราว่าเค้าต้องเลิก เพราะภรรยาเค้าจับได้แล้วขู่ว่าจะเลิกแล้วพาลูกชายเค้าย้ายออกจากบ้าน แต่เค้าจะย้ำตลอดว่าเค้าไม่ได้รักภรรยาเค้าเลย เเต่เค้ารักลูกมาก.    เชื่อมั๊ยเราอึ้ง ทำอะไรถูก ชาไปหมด เหมือนจะเจ็บก็เจ็บไม่สุด ทรมานก็ด้วย อารมณ์ก็ประมาณปล่อยวาง คือมันผสมกันไปหมดอธิบายไม่ถูก.  ช่วงนั้นเป็นช่วงที่วุ่นวายมาก เพราะไหนจะมากังวลเรื่องรับปริญญา จะร้องไห้ฟูมฟายก็ไม่ได้ และภรรยาเค้าก็โทรมาคุยกับเรา3เวลาหลังอาหาร.  แต่ภรรยาเค้าก็ไม่ได้สวมวิญญาณเมียหลวง อาฆาตมาตรร้ายอะไรเราหรอก ค่อนข้างจะผู้ดีจัด(ไม่รู้ผู้ดีเพื่อข่มเรารึเปล่ามั๊ง)

    ช่วงนั้นเราก็แย่ไปเลย พอทำธุระอะไรเสร็จเหมือนมันว่าง เลยร้องไห้ฟูมฟายขึ้นมาซะอย่างงั้น  เป็นเดือนได้มั๊งกว่าจะยอมรับความจริงได้   ในช่วงเลิกกันใหม่ๆเค้าก็โทรมาหาตลอดๆโทรมาทีเป็น10สาย แต่เราไม่ได้รับสายนะ.  แล้วก็ไม่คิดจะเปลี่ยนเบอร์หนีด้วย. (เราไม่ได้ผิดหนิ)

เราก็ใช่ชีวิตของเรามาเรื่อยๆ ถ้าถามว่าลืมมั๊ย ก็คงไม่ลืมหรอก มีคิดถึงบ้างเวลาบังเอิญต้องไปในที่ๆไปด้วยกัน. บังเอิญได้ทำอะไรที่เคยทำด้วยกัน.  แต่ก็เพราะว่าอยู่ตัวคนเดียว นอกจากไปทำงานแล้ววันๆก็ไม่ได้ทำอะไร.

   พอเลิกกันไปตั้งนานเป็นปีเห็นจะได้  เค้าก็โทรมาหาเรา ตอนเเรกเค้าไม่พูดอะไรเรานึกว่าโทรผิดเลยไม่ได้สนใจเพราะเบอร์แปลกโทรมา.  เค้าโทรหาเราทุก6โมงเย็นทุกวันแต่ไม่พูดอะไร. พอเรารับสายเค้าก็จะรีบวาง.  เป็นแบบนี้อยู่เกือบเดือน แรกๆเราคิดว่าพวกโรคจิต.  เเต่ก็มาเริ่มเอะใจก็เลยรอรับสายทุก6โมงเย็น จริงๆเราก็รู้แหล่ะว่าเป็นเค้า เหมือนความรู้สึกมันบอก(ประกอบด้วยเราคงคิดถึงเค้ามากเลยคิดเข้าข้างตัวเอง).   จนในที่สุดด้วยความอยากรู้ว่าใช่เค้าแน่รึเปล่า. เรารับสาย เลยถามว่าเป็นใคร ครั้งนี้เค้าไม่วางสาย ถือสายฟังแล้วอยู่ดีๆก็พูดขึ้นมาว่าสบายดีมั๊ย?    ตอนนั้นน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเราจำเสียงเค้าได้ แล้วก็เป็นเค้าจริงๆ. บอกไม่ได้ว่าดีใจหรือเสียใจ แต่ก็กัดฟันตอบไปว่าสบายดี  พยายามข่มเสียงให้ปกติที่สุด.  คุยกันไม่กี่คำแต่ทุกสิ่งทุกอย่างมันย้อนมาใหม่หมด เหมือนเรื่องเพิ่งเกิดเมื่อวาน. เราเลยรีบบอกเค้าว่า แค่นี้ก่อน เรากำลังจะออกไปทำธุระข้างนอก.  พอวางสายไปเค้าก็หายไปเลย

     เราต้องกลับมานั่งทำใจใหม่ กลับไปคิดถึงเค้าอีก. กลับไปทรมานอีก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเราต้องหาอะไรทำให้เยอะๆ   ตอนนั้นเรามีงานทำอยู่แล้ว ที่ธนาคารเเห่งนึงเลยตัดสินใจไปสมัครเรียนป.โท  เอาวันหยุดไปเรียน.  ชีวิตก็ดีขึ้นมาก มีเพื่อนเพิ่มขึ้น มีอะไรให้ทำเยอะเเยะ. จนเรารู้สึกว่าชีวิตเราโอเคแล้ว. จนเราเกือบลืมเค้าเเล้ว.  ตลอดเวลาก็มีคนเข้ามาจีบแต่เรารู้สึกว่ายังไม่โอเค. ใครจะจีบก็จีบได้  แต่เราก็เฉยๆ เล่นหูเล่นตาไม่เป็น คนที่จีบพอเห็นว่าเราเฉยๆก็ไม่มีความอดทน ถอดใจกันไปก่อน เราเลยยังคงสถานะ โสด มาตลอด


         เค้าหายเงียบไปเกือบปี แล้วอยู่ๆเค้าก็กลับมา ครั้งนี้เราเจอกันแบบบังเอิญ วันนั้นจำได้ว่า เรากลับมาจากประชุมสัมนาต่างจังหวัด ก่อนกลับบ้าน ก็ต้องแวะเข้าธนาคารก่อนอยู่แล้ว ประมาณ2ทุ่มเรากำลังจะกลับบ้าน มายืนรอรถโดยสารหน้าธนาคารเพราะไม่ได้เอารถตัวเองมาจอดไว้ แล้วก็ไม่อยากนั่งแทกซี่ตอนกลางคืนเลยคิดว่าจะนั่งรถเมล์คนเยอะๆอุ่นใจกว่า.  ตอนนั้นเรายืนอยู่กับพี่ผู้หญิงคนนึง ส่วนคนอื่นก็กลับกันหมด. ก็ยืนคุยกันไปเรื่อยระหว่างรอรถ. แล้วอยู่ดีๆก็มีรถคันนึงถอยหลังมาช้า ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจมอง. พอเค้าลดกระจกลง เเล้วเรียกชื่อเราเท่านั้นแหล่ะ. ทำตัวไม่ถูก ไม่รู้จะเก๊กหน้ายังไง เลยทำหน้าสวยเริ่ด เชิดหยิ่งไว้ก่อน เค้าถามจะไปไหน ชวนให้ขึ้นรถ แต่เราก็กระอักกระอ่วน บอกไม่เป็นไร ในใจก็คิดจะขึ้นดีไม่ขึ้นดี เค้าก็รบเร่าให้ขึ้นเถอะ แล้วยังไงไม่รู้ขึ้นไปกับเค้าซะงั้น  ตอนขึ้นรถมีพี่ผู้หญิงมาด้วยไม่เท่าไหร่  พอไปส่งพี่ผู้หญิงเสร็จ เหลือกันอยู่2คนเท่านั้นแหล่ะ. สุดยอดของความอึดอัด!. เค้าดูสบายๆชิวๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้  แต่เรานี่สิ!   นั่งสะกดจิตตัวเอง ในใจคิดแต่ "ไม่เป็นๆเราโอเค เราโอเค".  เค้าถามอะไรมาก็ถามคำตอบคำ คำถามทั่วๆไป.   ได้มานั่งอยู่ใกล้กันแค่นี้ ถึงในรถจะมึดแต่เราก็สังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในตัวเค้า ไม่เจอกันนานดูเปลี่ยนไปเยอะ ดูดีขึ้นมาก แต่หน้าตาดูเศร้าหม่อง ถึงแม้เค้าจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา  แต่ที่ไม่เปลี่ยนเลยคือเวลาที่เค้าพูด วิธีการพูดบุคลิกทุกอย่างยังเหมือนเดิม  ยังดูเป็นผู้ชายที่อยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกปลอดภัยเหมือนเดิม


เค้ามาส่งเราที่บ้านเสร็จเค้าก็กลับ. แต่เราว่าวิญญาณเราได้สิงอยู่บนรถเค้าแล้ววนเวียนอยู่ในนั้น. ....  มีความรู้สึกเล็กๆที่เกิดขึ้นคือ "ทำไมผู้หญิงคนนั้นไม่เป็นชั้น". เเต่อีกใจก็คิดเพราะเค้าไม่ใช่ของเรา เค้ามีครอบครัวแล้ว เค้าคงไม่ได้คิดอะไรกับเราแล้วแหล่ะ.  ความคิดในสมองมันตีกันมั่วไปหมดเหมือนฝ่าย ธรรมมะกับอธรรมกำลังสู้กัน อย่างนั้นเลย


     พอหลังจากวันนั้นอาการซึม คิดถึงเค้าก็กลับมาเป็นอีก เเต่ครั้งนี้เค้าไม่หายไปเหมือนครั้งก่อนๆ  เค้าโทรมา เราก็รับสายเพราะอดไม่ได้ แต่เราก็พยายามถามถึงลูกชายเค้า ถามถึงภรรยาเค้า. ก็บอกแค่เหมือนเดิม ลูกชายเค้าเข้าโรงเรียนแล้วดื้อมาก. ส่วนมากจะเล่าเรื่องลูก แต่ไม่พูดถึงภรรยาเลย
เค้าบอกเรา ที่ผ่านมาเค้าตามดูเราอยู่ห่างๆ.  เค้ารู้หมดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเรา  เค้าขับรถมาหน้าธนาคารทุกวันหลังเลิกงาน แต่ไม่เคยได้เจอหรอก เพราะมันดึกแล้ว เค้ารู้ว่าเราไปเรียน แม้เเต่ตอนไปเรียนถ้าเห็นเราเช็คอินในเฟสบุ๊ค เค้าก็จะขับรถมา มาดูแค่หน้าตึกแล้วก็กลับ. แม้แต่รูปของกินที่เราอัพลงเฟซบุ๊ค เค้าก็รู้ให้ได้ว่าร้านไหน. แล้วเค้าก็ไปนั่งกิน เค้าคิดตลอดเวลาว่าสักวันเราจะได้บังเอิญเจอกัน ถ้าวันนั้นเราไม่ยืนอยู่หน้าธนาคารก็คงยังไม่ได้เจอ  (อยู่ๆก็เข้าโหมดดราม่า). บอกว่าเค้าไม่มีความสุขเลย ตลอดเวลาเค้าคิดถึงแต่เรา .   ก่อนที่เค้าจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ เราเลยรีบตัดบท บอกเค้าว่า อย่าพูดอะไรอีก เราเลยตัดสายวางโทรศัพท์   แล้วเค้าก็ส่งข้อความมา ว่าขอโทษ ถ้าเราไม่ได้รักเค้าแล้ว มันก็สมควรเป็นแบบนั้น แต่เค้าแค่อยากบอกว่าเค้าคิดอะไร เค้าแค่อยากเป็นเพื่อนกับเรา ได้เป็นคนรู้จักกันก็ยังดี  ถ้ามีปัญหามีเรื่องไม่สบายใจ ก็ให้เราบอกเค้าได้ตลอด

       เราจุกเราอึดอัดไปหมด ไม่รู้จะทำอะไรยังดี แต่ที่แน่ๆเรารักเค้ามาก ยิ่งมาได้ฟังเค้าพูดแบบนี้ ยิ่งได้ใจ มาทำแบบนี้ตอนที่เรากำลังอ่อนแอ. เราแค่กำลังละลาย เพราะความใจอ่อน เพราะความใจง่ายหรือเพราะอะไรไม่รู้ เรายอมเค้าหมด เค้าโทรมาหาก็รับสายคุยกับเค้าตอนแรกคิดแค่ว่าเพื่อนก็เพื่อนสิ คงไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านี้ แค่ได้คุยกับเค้าก็ยังดี

     แต่สุดท้ายมันก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น คราวนี้เรากลับมาสนิทกัน เหมือนมาเริ่มต้นคบกันใหม่ แต่คราวนี้เราบอกที่บ้านไม่ได้ เค้าก็ต้องระวังตัวมากกว่าเดิม  เค้ากลับมาทำดีทุกอย่างเหมือนที่เคยทำ มารับมาส่ง ต่อหน้าเพื่อนเราทั้งที่ทำงาน และที่มหาลัยเค้าก็เปิดเผย  ไปไหนมาไหนด้วยกันปกติเหมือนคู่รักคู่อื่น. ถึงจะมีความสุขแต่ลึกๆเราทั้งคู่มีแต่ความเจ็บปวด

     จนมันเลยเถิดไปถึงเราทั้งคู่มีสัมพันธ์รักลึกซึ้งกัน (ก่อนหน้านั้นเราไม่ได้มีอะไรกันนะค่ะ).  มันเลยยิ่งทำให้เราผูกมัดและผูกพันธ์กันแน่นยิ่งขึ้น. ต่างคนต่างหลงกันนั่นแหล่ะค่ะ สัญญาณความรับผิดชอบชั่วดี มันเลยมาขาดๆหายๆ โดนความรักความไคล่ แซงหน้าไปหมด
     เค้ามาอยู่กับเราวันเสาร์-อาทิตย์เพราะภรรยาเค้าไม่อยู่จะกลับบ้านไปหาพ่อแม่ซึ่งอยู่อีกอำเภอนึง กว่าจะกลับมาก็เย็นๆวันอาทิตย์  นานๆทีเค้าถึงจะไปด้วย
วันปกติเค้าจะมาหาเราที่ทำงานตอนกลางวัน มารับไปกินข้าว. หรือตอนมีเวลาว่างถึงจะนัดเจอกัน

ความรู้สึกผิด. เจ็บปวด. ทรมานมันยังอยู่กับเราตลอดเวลา  ถึงบางครั้งจะสุขก็ไม่ถึงกับสุขสุดยังมีความทุกข์ความเครียดรวมอยู่ด้วยเสมอ เค้าอยู่กับเราเค้าก็บอกว่ารักเรามาก แต่ตอนอยู่กับภรรยาเค้าเราไม่รู้เลยว่าเค้าเป็นแบบไหน.  มีหลายๆครั้งที่เราบังเอิญเจอเค้ากับภรรยาอยู่ด้วยกัน แต่เราทั้งคู่ก็ต้องทำเฉยๆ แม้แต่เราเองก็ไม่อยากถามไม่อยากรับรู้    และก็มีหลายๆครั้งที่เพื่อนเรามาบอกว่าเห็นอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เพราะเพื่อนเราไม่รู้ว่าเป็นเราต่างหากที่มาทีหลัง  จะมีสิทธิ์ไปหึงหวงเค้าได้ยังไง
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
จนในที่สุด เรามีน้อง ไม่อยากเชื่อเลย เพราะทุกครั้งที่มีอะไรเราป้องกันตลอด  ตอนนั้นเราเครียดมาก  ไม่รู้จะทำยังไง จะบอกที่บ้านว่ายังไง.  ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน. เราเจอแล้วเวรกรรม ทั้งเครียดทั้งทุกข์  มันตามมาสนองให้เราเจอปัญหาทุกด้าน. ในขณะที่เราเครียดไปหมด.แต่เค้ากลับดีใจเค้าอยากได้ลูกสาว แต่พอเราถามว่าจะทำยังไงดี เค้าก็ไม่ตอบบอกแค่ว่าเดี๋ยวเค้าจัดการเอง แต่ยังไงเค้าก็เลิกกับภรรยาเค้าไม่ได้

พอเค้ารู้เค้าซื้อคอนโดแถวๆชานเมืองให้เป็นของขัวญลูก ถ้าไม่มีคนอยู่ก็เอาไว้ให้คนเช่า ส่วนเรื่องพ่อแม่เราเค้าจะหาทางบอกเอง เค้าพูดเหมือนทุกอย่างมัน. ง่าย. แต่เราต้องนอนร้องไห้ทุกคืน ทั้งสงสารตัวเอง สงสารลูกในท้อง  ยิ่งเครียดยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งอยากให้เค้าอยู่ด้วยตลอดเวลา แต่เค้าก็ทำไม่ได้ต้องกลับบ้านเค้า   ไปทำงานเจอคนเยอะๆก็มีอาการเเพ้  จะเป็นลมวันละหลายๆรอบแต่ก็ต้องอดทน กลับบ้านมาก็ร้องไห้ ไม่รู้จะทำไงดี เลยตัดสินใจบอกที่บ้านว่าเราท้อง พ่อกับแม่ก็นิ่งเงียบไปเลย พ่อก็เสียใจมากที่ลูกสาวเป็นแบบนี้  ตอนนี้ก็แม่ที่คอยมาอยู่เป็นเพื่อน. รู้สึกแย่มากที่แม้แต่จะด่าจะตีพ่อกับแม่ก็ไม่ทำ มีแต่บอกให้ค่อยๆคิดนะลูก. ถ้าทำงานไหวก็อดทนทำ ถ้าทำไม่ไหวก็ให้อยู่บ้านเฉยๆก่อน ส่วนเรื่องเรียนก็ให้ไปเรียนให้จบเพราะอีกนิดเดียวก็จบแล้ว.   เวลาๆเรามองหน้าแม่ มีแต่ความรู้สึกอยากร้องไห้ เพราะละอาย เพราะรู้สึกผิดไปหมด    ผิดต่อทุกคน ทั้งพ่อแม่ ภรรยาเค้า ทั้งตัวเอง ทั้งลูกที่กำลังจะเกิดมา
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
สุดท้ายเราตัดสินใจเลิกกับเค้า เค้าก็ขัดอะไรไม่ได้ เพราะเค้าเลือกเราไม่ได้ เค้าร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร(คนร้องต้องเป็นชั้นสิ!!). เค้าคุยกับพ่อแม่เราว่าจะให้ทุกอย่าง แต่ทางเราไม่ได้ต้องการอะไรจากเค้า เพราะความผิดมันก็เกิดขึ้นเพราะเราด้วย สุดท้ายเลยตกลงกันว่า เค้าจะร่วมรับผิดชอบเรื่องลูก  มีคอนโดที่เค้าซื้อเค้ายกให้ ให้เงินค่าเลี้ยงดูเป็นรายเดือน ถ้าลูกเข้าโรงเรียนเค้าจะช่วยส่งเสีย. แต่เค้าขอมาเจอลูกบ้าง แต่ยังไงพ่อแม่เราก็ไม่ยอมไม่ให้เจอ แต่เราคิดไว้เเล้วถ้ามีโอกาส เราก็จะให้เจอ ไม่อยากให้ลูกโตขึ้นแบบรู้สึกขาด   ส่วนเรื่องงานเราก็อดทนเจอเรื่องเครียด. อาการแพ้  แต่สุดท้ายก็ทนมาได้ ตอนนี้ไม่มีอาการแพ้แล้ว มีแต่เรื่องปวดหลังเพราะท้องโตพอสมควร. ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี ทั้งหัวหน้าทั้งเพื่อนร่วมงาน มีแต่คนให้กำลังใจถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกคนก็ดีใจที่จะมีเด็กมาให้อุ้มเล่น แข่งกันตั้งชื่อแล้วตอนนี้


ตอนนี้น้องอยู่ในท้องได้เกือบ7เดือนแล้ว เเข็งแรงสมบูรณ์ดี ได้ลูกสาวด้วยหมอบอกว่าออกมาต้องสวยเหมือนแม่แน่ๆ กำลังใจจากคนรอบข้างดีมาก ส่วนพ่อของเค้าไม่พูดถึงอีกแล้วกันเก็บไว้เป็นบทเรียน.   ไม่คิดอะไรแล้วหลุดพ้นมาได้ก็ดีแล้ว.  สิ่งเดียวที่เค้าให้เราตอนนี้มีค่ากับเรามาก.  ยังไม่ทันเห็นหน้าก็รักไปหมดหัวใจแล้ว. อยากให้ออกมาไวๆแต่ก็แอบกลัวตอนคลอดเหมือนกัน.    แม่จะเลี้ยงหนูให้ดีนะลูก.  แม่ขอโทษที่ไม่ได้เตรียมชีวิตที่ดีกว่านี้ไว้ให้หนู  


ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านมาถึงนี้ค่ะ  ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไงต่อไป. สำหรับเราเข็ดแล้วจำไปจนตาม เพราะความสุขชั่วครู่เกือบพังชีวิตเรา เกือบตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก.  ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร คนที่ช่วยเราเจอทางออกที่ดีที่สุดก็คือพ่อแม่พระในบ้านเราเอง ไม่มีใครคนไหนหวังดีกับเราไปมากกว่า2คนนี้  

ส่วนคนที่กำลังเป็นแบบเราอยู่ การที่รักคนอื่นมากๆยอมได้ทุกอย่างขนาดยอมทิ้งศักดิ์ศรี จะบอกให้เลิกรักคนๆนึงมันทำอยากเรารู้เพราะเคยเป็นมาแล้ว.
แต่ไม่ว่าจะทนไปเพื่ออะไร สุดท้ายมันไม่ได้อะไรคืนมาจริงๆค่ะ.  อย่าไปทำลายครอบครัวเค้า  อย่าเข้าไปยุ่ง อย่าถลำลึกเหมือนเรา  ไม่อยากให้ใครมาเจอความรู้สึกแย่ๆเหมือนเรา มันเครียด มันทรมาน มันอายขนาดที่ว่า คุณอยากจะตายไปให้พ้นๆได้เลย.    ....แล้วสุดท้ายหนทางที่ดีที่สุดคือ แก้ไขที่ตัวเรา เริ่มที่เรา. เราผูกเองเราต้องแก้เองได้  ส่วนเรื่องผิดพลาดในเมื่อมันย้อนเวลาไปไม่ได้ เราต้องละทิ้งปล่อยวาง   ตอนนี้เราปลดวางแล้วทุกสิ่ง.  เราเริ่มต้นใหม่แล้ว ถึงไม่มีเค้าเราก็อยู่ได้   และจะอยู่ให้มีความสุขกว่าเดิมอีก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่