"ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" นักกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า ถือว่าวิกฤติรัฐธรรมนูญ และในทางกฎหมายถือว่าศาลรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา มีสถานะเท่ากัน ส่วนที่รัฐสภาต้องออกมาแถลงข่าว ก็เพื่อปกป้องอำนาจหน้าที่ของตัวเองในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันให้องค์กรอื่นต้องปฏิบัติ จึงต้องออกมาแถลงข่าวยืนยันถึงอำนาจของตัวเอง เนื่องจาก
ไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใด หรือกฎหมายฉบับใด รองรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภาไว้พิจารณา
ส่วนการออกมาแถลงข่าวของประธานรัฐสภา "ดร.วรเจตน์" มองว่า การปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญควรต้องทำเป็นมิติรัฐสภา หรือมิติองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่คิดว่าการกระทำครั้งนี้อาจเป็นการกระทำเบื้องต้นไปก่อน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา เชื่อว่าทางรัฐสภาน่าจะมีมติรัฐสภาอย่างเป็นทางการ
"การที่ผู้นำองค์กร หรือประธานรัฐสภาออกมาแถลงก่อน เพื่อยืนยันอำนาจขององค์กรก่อนเบื้องต้น เชื่อว่าหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยน่าจะมติรัฐสภาอย่างถูกต้อง ถือเป็นการปะทะกันระหว่างนิติบัญญัติกับองค์กรรัฐธรรมนูญ
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่อย่างน้อยที่สุดเขตอำนาจต้องชอบด้วย"
ในฐานะนักกฎหมายมหาชน "ดร.วรเจตน์" เห็นว่า
รัฐสภามีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยมากกว่าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีความชอบธรรมเหนือกว่าศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าสมาชิกรัฐสภามีอำนาจเด็ดขาดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญสอบสวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้วินิจฉัย
ถือเป็นการจัดงานนอกสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญได้ก้าวล่วงกระทำการเกินอำนาจของตัวเอง
"ความแตกแยกของสังคมในขณะนี้จะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาอ้างกัน และในแง่ทางการเมืองถือว่ารัฐบาลอาจเสียเปรียบเรื่องความชอบธรรมหลังจากไปแก้ไขหลักการร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระ 2 แต่ในเรื่องนี้ควรจะแยกกันเรื่องไหนถูก เรื่องไหนไม่ถูก แต่เผอิญจังหวะในช่วงนี้อาจไม่เหมาะ เนื่องจากมีคนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อใจ ขณะที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งสนับสนุน จึงเกิดกองเชียร์ขึ้น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญ" ดร.วรเจตน์ กล่าว
"นักกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ท่านนี้ยังมองว่า คนมาตัดสินปัญหา เพื่อหาข้อยุติในบ้านเมืองขณะนี้ไม่มีแล้ว และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสุดท้ายหากผลการวินิจฉัยไปในทางร้ายอาจจะมีการใช้กำลังกัน จึงเชื่อว่าการตัดสินของศาลน่าจะออกไปในทางการให้ข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะมากกว่า เพราะ
ถ้าตัดสินว่ายุบพรรค หรือตัดสิทธิส.ส.คิดว่ามวลชนฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลคงไม่ยอม ดังนั้นการตัดสินของศาลครั้งนี้ก็อยู่ภายใต้ความกดดันเหมือนกัน
"ดร.วรเจตน์" บอกว่า
ถ้าศาลมีอำนาจวินิจฉัยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อไปรัฐสภาก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ หรือถ้าจะแก้ไขให้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน ต่อไปอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญก็จะล้นและมีปัญหาในอนาคต
http://www.komchadluek.net/detail/20131120/173153.html
แต่ท่านมหาศาตราจารย์แมงสาบ แถ-วร บอกไม่ใช่นะครัชชช ดร.วรเจตน์
รัฐสภามีความชอบธรรมเหนือกว่าศาลรัฐธรรมนูญ
"ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์" นักกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกว่า ถือว่าวิกฤติรัฐธรรมนูญ และในทางกฎหมายถือว่าศาลรัฐธรรมนูญ คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา มีสถานะเท่ากัน ส่วนที่รัฐสภาต้องออกมาแถลงข่าว ก็เพื่อปกป้องอำนาจหน้าที่ของตัวเองในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันให้องค์กรอื่นต้องปฏิบัติ จึงต้องออกมาแถลงข่าวยืนยันถึงอำนาจของตัวเอง เนื่องจากไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราใด หรือกฎหมายฉบับใด รองรับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสมาชิกรัฐสภาไว้พิจารณา
ส่วนการออกมาแถลงข่าวของประธานรัฐสภา "ดร.วรเจตน์" มองว่า การปฏิเสธอำนาจศาลรัฐธรรมนูญควรต้องทำเป็นมิติรัฐสภา หรือมิติองค์กรตามรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่คิดว่าการกระทำครั้งนี้อาจเป็นการกระทำเบื้องต้นไปก่อน หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา เชื่อว่าทางรัฐสภาน่าจะมีมติรัฐสภาอย่างเป็นทางการ
"การที่ผู้นำองค์กร หรือประธานรัฐสภาออกมาแถลงก่อน เพื่อยืนยันอำนาจขององค์กรก่อนเบื้องต้น เชื่อว่าหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยน่าจะมติรัฐสภาอย่างถูกต้อง ถือเป็นการปะทะกันระหว่างนิติบัญญัติกับองค์กรรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร แต่อย่างน้อยที่สุดเขตอำนาจต้องชอบด้วย"
ในฐานะนักกฎหมายมหาชน "ดร.วรเจตน์" เห็นว่า รัฐสภามีความชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยมากกว่าศาลรัฐธรรมนูญ เพราะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนมีความชอบธรรมเหนือกว่าศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่าสมาชิกรัฐสภามีอำนาจเด็ดขาดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และในรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญสอบสวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การที่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องไว้วินิจฉัย ถือเป็นการจัดงานนอกสั่ง ศาลรัฐธรรมนูญได้ก้าวล่วงกระทำการเกินอำนาจของตัวเอง
"ความแตกแยกของสังคมในขณะนี้จะมีการหยิบยกเรื่องนี้มาอ้างกัน และในแง่ทางการเมืองถือว่ารัฐบาลอาจเสียเปรียบเรื่องความชอบธรรมหลังจากไปแก้ไขหลักการร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวาระ 2 แต่ในเรื่องนี้ควรจะแยกกันเรื่องไหนถูก เรื่องไหนไม่ถูก แต่เผอิญจังหวะในช่วงนี้อาจไม่เหมาะ เนื่องจากมีคนจำนวนหนึ่งไม่เชื่อใจ ขณะที่มีคนอีกกลุ่มหนึ่งสนับสนุน จึงเกิดกองเชียร์ขึ้น 2 ฝ่าย คือฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญ" ดร.วรเจตน์ กล่าว
"นักกฎหมายมหาชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์" ท่านนี้ยังมองว่า คนมาตัดสินปัญหา เพื่อหาข้อยุติในบ้านเมืองขณะนี้ไม่มีแล้ว และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าสุดท้ายหากผลการวินิจฉัยไปในทางร้ายอาจจะมีการใช้กำลังกัน จึงเชื่อว่าการตัดสินของศาลน่าจะออกไปในทางการให้ข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะมากกว่า เพราะถ้าตัดสินว่ายุบพรรค หรือตัดสิทธิส.ส.คิดว่ามวลชนฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลคงไม่ยอม ดังนั้นการตัดสินของศาลครั้งนี้ก็อยู่ภายใต้ความกดดันเหมือนกัน
"ดร.วรเจตน์" บอกว่า ถ้าศาลมีอำนาจวินิจฉัยการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อไปรัฐสภาก็จะแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้ หรือถ้าจะแก้ไขให้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน ต่อไปอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญก็จะล้นและมีปัญหาในอนาคต
http://www.komchadluek.net/detail/20131120/173153.html
แต่ท่านมหาศาตราจารย์แมงสาบ แถ-วร บอกไม่ใช่นะครัชชช ดร.วรเจตน์