วันนี้อยากจะขอกล่าวความในใจของตัวเองต่อหน้าทุกๆคน เพื่อให้ทุกๆคนช่วยส่งกำลังใจให้คนป่วยที่ตอนนี้ก้าวมายืนอยู่บนปากเหว เหวที่ชื่อว่า ความอ่อนแอท้อแท้และหมดกำลังใจ ขอกำลังใจเท่านั้นให้คนป่วยที่ตอนนี้กำลังใจเหมือนจะหมดจากร่างบอบบางที่นับวัน น้ำหนักตัวจะเริ่มลดลงๆ พร้อมกับการเติบโตของเนื้อร้ายที่ตอนนี้เริ่มลามไปที่ปอด จนเจ้าตัวเองเริ่มหมดกำลังใจในชีวิต แม้ว่า ปากจะบอกว่า ตัวเองจะสู้แต่ในคำว่า สู้มันแฝงไปด้วยความหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
ปู.... มีลูกสาว 1 คน อายุห่างจากลุกสาวของเราประมาณ 1 ปี ลุกสาวของเธอชื่อ น้องไอเดีย เธอเลี้ยงลุกจนอายุได้ประมาณ 2 เดือนครึ่งก็ต้องส่งลุกไปอยู่กับปู่และย่าที่ ตจว. เพราะเธอต้องทำงาน ปูมักจะทำงานและสะสมวันหยุดไว้ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อที่จะได้กลับไปหาลูก เพราะการรอให้ถึงเวลาเฉพาะช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้จิตใจของแม่ห่อเหี่ยว ปูคิดถึงลุก แต่ด้วยการทำงานเป็นแค่ลูกจ้างของบริษัทเอกชนทั้งผัวทั้งเมีย ทำให้ไม่สามารถที่จะเลี้ยงอยู่กับตัวเองได้ เวลาการทำงานที่เริ่มงานเช้าเลิกดึก ทำให้ไม่มีเวลา และการส่งลูกไปอยู่กับปู่ย่านั้นก็ทำให้ปู่กับย่าติดหลานมาก มากจนปู่ออกปากว่า “ถ้าอยากจะเอาลูกไปเลี้ยง พ่อไม่ให้ พ่อจะเลี้ยงเอง แต่ถ้าอยากจะเลี้ยงลูกเองให้มีใหม่อีกคนไปเลย”แต่คำพูดของพ่อคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะปูไม่สามารถมีลุกได้อีก เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ปูก็ทราบว่า ตัวเองเป็นมะเร็ง
ปู.... เริ่มรับรู้ว่ามีก้อนเนื้อแปลกๆที่เต้านม เมื่อประมาณ 1 ปีก่อน หลังจากเช็คชิ้นเนื้อและพบว่า เป็นมะเร็งเต้านม ด้วยความที่เธอทำงานในฐานะลุกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลเอกชน เงินเดือนอาจจะไม่มาก แต่สวัสดิการสำหรับพนักงานดีมากๆ เธอจึงใช้สิทธิในการเข้าผ่าตัดมะเร็งที่อยู่ในเต้านมออกไป และเริ่มเข้ารับการรักษาด้วยวิธีคีโม
ช่วงแรก ร่างกายต้องปรับตัวเพื่อรับสารเคมีที่เรียกว่า คีโม อีกทั้งร่างกายและจิตใจที่ต้องมารับรู้ว่า ตัวเองเป็นมะเร็ง การต้องทำใจให้ยอมรับ การต้องเปลี่ยนแปลงการกินต่างๆ สร้างความเครียดให้ปูมากๆ น้ำหนักลดลง ผมร่วง จนในที่สุด ปูตัดสินใจ โกนผมออกจนหมด และใส่วิก เธอไปหาหมออย่างสม่ำเสมอ ในช่วงนั้น ปูไม่ทานอะไรเลย กลัวไปหมด อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ดี กินแล้วจะไปเป็นอาหารให้มะเร็ง แต่ความคิดของพี่เอง พี่คิดว่า อาหารที่ปูหลีกเลี่ยง เพราะกลัวว่า มันจะไปเป็นอาหารให้มะเร็ง แต่ในอีกทางหนึ่ง มันก็คือ อาหารที่จะเลี้ยงเราด้วยนะ หากเราไม่มีแรง แล้วเราจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาสู้กับมะเร็งได้ล่ะ
ช่วงหลังๆมา เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว ปูเริ่มกินอาหารได้มากขึ้น หน้าตาอิ่มเอิบ อยากกินอะไรปูก็กิน กินอย่างพอดี ไม่มากเกินไป น้ำหนักเธอขึ้นมาบ้าง พร้อมหน้าตาที่ดูสดใสขึ้น แต่ไม่นานปูก็พบว่า แม้ร่างกายจะเริ่มตอบสนองต่อการรักษาแต่เธอมักจะมีอาการปวดเมื่อยไปจนถึงกระดูก และนั่นมีสาเหตุมาจาก มะเร็งนั้นได้ลามเข้าสู่กระดูก ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ ปูเป็นมะเร็งกระดูกระยะที่ 4 แต่ถึงแม้จะรู้ปูก็สู้ และยังไม่ได้ออกจากงาน เหตุผลเพราะเราไม่ได้มีเงินมากมายต่อการรักษาที่เสียครั้งหนึ่งประมาณ 1 – 2 หมื่นบาทต่อเดือนเวลาไปหาหมอ ที่มีกำหนดไปหาคือ เดือนละครั้ง เพราะสวัสดิการที่ได้รับจาก รพ. ทำให้ครอบครัวคิดว่า การอยู่ทำงานไปด้วย จะช่วยเรื่องค่ารักษาส่วนนี้ได้ ถามว่า ค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามีแบกรับไม่ได้เหรอ ตอนนี้ค่าใช้จ่ายมันหนักมากเกินไป เพราะลำพังค่าบ้าน ค่ารถ (ทำงานต่างจังหวัด ไม่มีรถโดยสารสาธารณะต้องมีรถค่ะ เพราะบ้านอยู่ชลบุรี แต่ขับรถไปทำงานระยอง รถรับส่งไม่วิ่งผ่านเส้นทางนี้) ไหนจะต้องส่งเงินไปช่วยปู่ย่าเพื่อเลี้ยงลูกอีก ถ้าต้องแบกรับภาระเพิ่มมาอีกเดือนละ 2 หมื่น และหากปูลาออกรายได้อีกหมื่นนิดๆ ก็จะหายไป เท่ากับรายได้หาย รายจ่ายเพิ่ม ครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่ได้มีเงินเก็บเงินนอน การลาออกทำให้ตัดสินใจลำบาก
แต่เราก็อยู่กันมาได้ แม้จะติดขัดเราก็ผ่านกันมาได้ ปูเริ่มปรับตัวและสุดท้าย วิกผมที่เป็นเหมือนกำแพงความกลัวที่ใช้ปิดบังศีรษะที่ไร้ผม ใช้ปิดบังความรู้สึกว่า ฉํนกลัวที่จะตาย วิกผมทำหน้าที่เหมือนประตูที่ปิดกันความกังวล เหมือนหลุมหลบภัยที่สร้างความอุ่นใจเวลาที่เราสวมใส่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปูมีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น มากขึ้น จนวันหนึ่ง ปูตัดสินใจไม่ใส่วิกผมอีกต่อไป ผมแม้จะขึ้นมาไม่ยาวมากนัก ประมาณ 1-2 เซ็นต์ แต่พอได้ถอดวิกออกมันเหมือนปูก้าวออกมาจากโลกแห่งความกลัว ปูดูสดใสมากๆ และนั่นคือสัญญาณที่ดีมิใช่หรือ
แต่แล้วร่างกายของปูก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ปูรับรู้ว่า ที่ลำคอเหมือนมีก้อนเนื้อ และเข้ารับการผ่าตัดเมื่อปลายเดือน ตค. ที่ผ่านมา ก้อนเนื้อที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับทำให้ปูต้องใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดถึง 2 ชั่วโมง กว่าจะกลับถึงบ้านก็เวลาเกือบห้าทุ่ม หมอไม่ได้ให้พักฟื้นที่ รพ. ด้วยเหตุผลว่า เรื่องการติดเชื้อ ต่อให้อยู่ รพ. ก็ติดเชื้อได้ หากได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการนอน รพ. ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไร ขอแค่ดูแลบาดแผลให้ดี อีกอย่างก้อนเนื้อที่ตัดออกมาก็ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ที่ทำให้ปูเสียเวลาในห้องผ่าตัดนานเนื่องจาก หมอไม่สามารถควักเอาก้อนเนื้อที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นประสาทออกมาได้ ทุกครั้งที่พยายามสอดเครื่องมือผ่าตัดลงไป กล้ามเนื้อของปูจะกระตุกทุกครั้ง นั่นหมายถึง หากเกิดความผิดพลาด ปูอาจจะพิการได้เพราะเส้นประสาทบริเวณนั้นมันมีมากมายเหลือเกิน สุดท้าย หมอปล่อยก้อนเนื้อนั้นไว้แบบนั้น และนำก้อนเนื้อที่ตัดออกมาได้ส่งตรวจว่า เป็นมะเร็งหรือไม่
ระยะนี้ปูเริ่มเกิดความกังวล เธอเริ่มไม่กินเนื้อ กินแต่ปลากับผัก จนน้ำหนักเริ่มลดลง ปูผ่ายผอมเหลือเกิน แม้จะพยายามทำให้จิตใจเข้มแข็งแต่ในยามที่จิตใจต้องการต่อสู้ก็มักมีเหตุที่ทำให้ท้อใจเกิดได้เสมอ และเรื่องราวล่าสุดก็ทำให้เธอท้อแท้หมดหวัง เนื่องจากหมอบอกให้เธอต้องลางานยาวอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้ดูเหมือนมะเร็งกำลังจะลามไปที่ปอด นั่นเป็นสัญญาณว่า ร่างกายกำลังอ่อนแอลง ปูหมดกำลังใจ เธอตัดพ้อผ่าน เฟสบุ๊คว่า อยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่ กลับไปเพื่อเติมกำลังใจ กลับไปรับอากาศของท้องนาที่บริสุทธิ ตอนนี้เธอท้อเหลือเกิน แต่เธอจะเห็นแก่ตัวไปมั้ย ถ้าต้องกลับไป และทิ้งให้สามีอยู่คนเดียวที่นี่ นั่นคือความลำบากใจของคนที่เป็นภรรยา เพราะไม่มีภรรยาคนไหนอยากจะอยู่ห่างไกลผัว ถ้าเลือกได้ก็อยากจะอยุ่ใกล้ชิดกันตลอด แต่ในเมื่อสุขภาพไม่อำนวย ควรทำอย่างไรดี ปูสับสน
พี่อยากบอกว่า ปูท้อได้นะ เพราะคนเราทุกคนมันมีวันที่เราจะท้อและเหนื่อย แต่อย่าถอย อย่ายอมแพ้ คิดถึงลุกให้มากๆ คิดถึงไอเดียให้มากๆ ไอเดียต้องการแม่ ถ้ามองไม่เห็นทางออกให้หลับตาและนึกถึงเด็กตัวเล็กๆที่ชื่อว่า ไอเดีย มองดวงตาของลุก นึกถึงรอยยิ้มของลุก นึกถึงน้ำเสียงที่เรียกแม่ปู ผ่านปากของลุก ได้ยินมั้ย ได้ยินเสียงของลุกมั้ย
“แม่ปูจ๋า อยู่กับไอเดีย
แม่ปูจ๋า แม่อุ้มไอเดียหน่อย
แม่ปุจ๋า แม่ปุพาไอเดียไปเที่ยวหน่อย
ไอเดียอยากไปหาแม่ปู
ไอเดียรักแม่ปู....”
เด็กคนนี้ต้องการแม่ และอยากให้แม่อยู่กับเค้าไปนานๆ สู้ๆนะ หากเรายอมแพ้ คนที่เสียใจไม่ใช่เรา แต่คือคนที่อยู่ข้างหลัง คนที่เจ็บปวดคือ คนเป็นนะปู คนที่เสียใจคือคนข้างหลัง หากท้อก็ให้เข้มแข็ง พี่ส่งกำลังใจมาให้แล้ว พ่อแม่ส่งกำลังใจมาให้แล้ว เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ส่งกำลังใจมากให้แล้ว และกำลังใจจากสามีและลุกก็ส่งมาให้ด้วยเช่นกัน อย่าลืมกำลังใจจากเรา ที่สำคัญที่สุดคือ กำลังใจจากตัวเราเอง เราต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
จากใจของสะใภ้คนโต ส่งถึงน้องสะใภ้ผู้เป็นมะเร็ง ... ชีวิตต้องสู้ จำไว้ว่า เราสู้ในฐานะ...แม่
ปู.... มีลูกสาว 1 คน อายุห่างจากลุกสาวของเราประมาณ 1 ปี ลุกสาวของเธอชื่อ น้องไอเดีย เธอเลี้ยงลุกจนอายุได้ประมาณ 2 เดือนครึ่งก็ต้องส่งลุกไปอยู่กับปู่และย่าที่ ตจว. เพราะเธอต้องทำงาน ปูมักจะทำงานและสะสมวันหยุดไว้ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อที่จะได้กลับไปหาลูก เพราะการรอให้ถึงเวลาเฉพาะช่วงเทศกาลวันหยุดยาว ทำให้จิตใจของแม่ห่อเหี่ยว ปูคิดถึงลุก แต่ด้วยการทำงานเป็นแค่ลูกจ้างของบริษัทเอกชนทั้งผัวทั้งเมีย ทำให้ไม่สามารถที่จะเลี้ยงอยู่กับตัวเองได้ เวลาการทำงานที่เริ่มงานเช้าเลิกดึก ทำให้ไม่มีเวลา และการส่งลูกไปอยู่กับปู่ย่านั้นก็ทำให้ปู่กับย่าติดหลานมาก มากจนปู่ออกปากว่า “ถ้าอยากจะเอาลูกไปเลี้ยง พ่อไม่ให้ พ่อจะเลี้ยงเอง แต่ถ้าอยากจะเลี้ยงลูกเองให้มีใหม่อีกคนไปเลย”แต่คำพูดของพ่อคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะปูไม่สามารถมีลุกได้อีก เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ปูก็ทราบว่า ตัวเองเป็นมะเร็ง
ปู.... เริ่มรับรู้ว่ามีก้อนเนื้อแปลกๆที่เต้านม เมื่อประมาณ 1 ปีก่อน หลังจากเช็คชิ้นเนื้อและพบว่า เป็นมะเร็งเต้านม ด้วยความที่เธอทำงานในฐานะลุกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลเอกชน เงินเดือนอาจจะไม่มาก แต่สวัสดิการสำหรับพนักงานดีมากๆ เธอจึงใช้สิทธิในการเข้าผ่าตัดมะเร็งที่อยู่ในเต้านมออกไป และเริ่มเข้ารับการรักษาด้วยวิธีคีโม
ช่วงแรก ร่างกายต้องปรับตัวเพื่อรับสารเคมีที่เรียกว่า คีโม อีกทั้งร่างกายและจิตใจที่ต้องมารับรู้ว่า ตัวเองเป็นมะเร็ง การต้องทำใจให้ยอมรับ การต้องเปลี่ยนแปลงการกินต่างๆ สร้างความเครียดให้ปูมากๆ น้ำหนักลดลง ผมร่วง จนในที่สุด ปูตัดสินใจ โกนผมออกจนหมด และใส่วิก เธอไปหาหมออย่างสม่ำเสมอ ในช่วงนั้น ปูไม่ทานอะไรเลย กลัวไปหมด อันนู้นก็ไม่ได้ อันนี้ก็ไม่ดี กินแล้วจะไปเป็นอาหารให้มะเร็ง แต่ความคิดของพี่เอง พี่คิดว่า อาหารที่ปูหลีกเลี่ยง เพราะกลัวว่า มันจะไปเป็นอาหารให้มะเร็ง แต่ในอีกทางหนึ่ง มันก็คือ อาหารที่จะเลี้ยงเราด้วยนะ หากเราไม่มีแรง แล้วเราจะเอาเรี่ยวแรงจากไหนมาสู้กับมะเร็งได้ล่ะ
ช่วงหลังๆมา เมื่อร่างกายเริ่มปรับตัว ปูเริ่มกินอาหารได้มากขึ้น หน้าตาอิ่มเอิบ อยากกินอะไรปูก็กิน กินอย่างพอดี ไม่มากเกินไป น้ำหนักเธอขึ้นมาบ้าง พร้อมหน้าตาที่ดูสดใสขึ้น แต่ไม่นานปูก็พบว่า แม้ร่างกายจะเริ่มตอบสนองต่อการรักษาแต่เธอมักจะมีอาการปวดเมื่อยไปจนถึงกระดูก และนั่นมีสาเหตุมาจาก มะเร็งนั้นได้ลามเข้าสู่กระดูก ใช่แล้วค่ะ ตอนนี้ ปูเป็นมะเร็งกระดูกระยะที่ 4 แต่ถึงแม้จะรู้ปูก็สู้ และยังไม่ได้ออกจากงาน เหตุผลเพราะเราไม่ได้มีเงินมากมายต่อการรักษาที่เสียครั้งหนึ่งประมาณ 1 – 2 หมื่นบาทต่อเดือนเวลาไปหาหมอ ที่มีกำหนดไปหาคือ เดือนละครั้ง เพราะสวัสดิการที่ได้รับจาก รพ. ทำให้ครอบครัวคิดว่า การอยู่ทำงานไปด้วย จะช่วยเรื่องค่ารักษาส่วนนี้ได้ ถามว่า ค่าใช้จ่ายส่วนนี้สามีแบกรับไม่ได้เหรอ ตอนนี้ค่าใช้จ่ายมันหนักมากเกินไป เพราะลำพังค่าบ้าน ค่ารถ (ทำงานต่างจังหวัด ไม่มีรถโดยสารสาธารณะต้องมีรถค่ะ เพราะบ้านอยู่ชลบุรี แต่ขับรถไปทำงานระยอง รถรับส่งไม่วิ่งผ่านเส้นทางนี้) ไหนจะต้องส่งเงินไปช่วยปู่ย่าเพื่อเลี้ยงลูกอีก ถ้าต้องแบกรับภาระเพิ่มมาอีกเดือนละ 2 หมื่น และหากปูลาออกรายได้อีกหมื่นนิดๆ ก็จะหายไป เท่ากับรายได้หาย รายจ่ายเพิ่ม ครอบครัวชนชั้นกลางที่ไม่ได้มีเงินเก็บเงินนอน การลาออกทำให้ตัดสินใจลำบาก
แต่เราก็อยู่กันมาได้ แม้จะติดขัดเราก็ผ่านกันมาได้ ปูเริ่มปรับตัวและสุดท้าย วิกผมที่เป็นเหมือนกำแพงความกลัวที่ใช้ปิดบังศีรษะที่ไร้ผม ใช้ปิดบังความรู้สึกว่า ฉํนกลัวที่จะตาย วิกผมทำหน้าที่เหมือนประตูที่ปิดกันความกังวล เหมือนหลุมหลบภัยที่สร้างความอุ่นใจเวลาที่เราสวมใส่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ปูมีจิตใจที่เข้มแข็งขึ้น มากขึ้น จนวันหนึ่ง ปูตัดสินใจไม่ใส่วิกผมอีกต่อไป ผมแม้จะขึ้นมาไม่ยาวมากนัก ประมาณ 1-2 เซ็นต์ แต่พอได้ถอดวิกออกมันเหมือนปูก้าวออกมาจากโลกแห่งความกลัว ปูดูสดใสมากๆ และนั่นคือสัญญาณที่ดีมิใช่หรือ
แต่แล้วร่างกายของปูก็เริ่มมีอาการแปลกๆ ปูรับรู้ว่า ที่ลำคอเหมือนมีก้อนเนื้อ และเข้ารับการผ่าตัดเมื่อปลายเดือน ตค. ที่ผ่านมา ก้อนเนื้อที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับทำให้ปูต้องใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดถึง 2 ชั่วโมง กว่าจะกลับถึงบ้านก็เวลาเกือบห้าทุ่ม หมอไม่ได้ให้พักฟื้นที่ รพ. ด้วยเหตุผลว่า เรื่องการติดเชื้อ ต่อให้อยู่ รพ. ก็ติดเชื้อได้ หากได้รับการดูแลที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นการนอน รพ. ไม่ได้มีนัยยะสำคัญอะไร ขอแค่ดูแลบาดแผลให้ดี อีกอย่างก้อนเนื้อที่ตัดออกมาก็ขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่ที่ทำให้ปูเสียเวลาในห้องผ่าตัดนานเนื่องจาก หมอไม่สามารถควักเอาก้อนเนื้อที่อยู่ลึกลงไปใต้ชั้นประสาทออกมาได้ ทุกครั้งที่พยายามสอดเครื่องมือผ่าตัดลงไป กล้ามเนื้อของปูจะกระตุกทุกครั้ง นั่นหมายถึง หากเกิดความผิดพลาด ปูอาจจะพิการได้เพราะเส้นประสาทบริเวณนั้นมันมีมากมายเหลือเกิน สุดท้าย หมอปล่อยก้อนเนื้อนั้นไว้แบบนั้น และนำก้อนเนื้อที่ตัดออกมาได้ส่งตรวจว่า เป็นมะเร็งหรือไม่
ระยะนี้ปูเริ่มเกิดความกังวล เธอเริ่มไม่กินเนื้อ กินแต่ปลากับผัก จนน้ำหนักเริ่มลดลง ปูผ่ายผอมเหลือเกิน แม้จะพยายามทำให้จิตใจเข้มแข็งแต่ในยามที่จิตใจต้องการต่อสู้ก็มักมีเหตุที่ทำให้ท้อใจเกิดได้เสมอ และเรื่องราวล่าสุดก็ทำให้เธอท้อแท้หมดหวัง เนื่องจากหมอบอกให้เธอต้องลางานยาวอีกครั้ง เนื่องจากตอนนี้ดูเหมือนมะเร็งกำลังจะลามไปที่ปอด นั่นเป็นสัญญาณว่า ร่างกายกำลังอ่อนแอลง ปูหมดกำลังใจ เธอตัดพ้อผ่าน เฟสบุ๊คว่า อยากกลับบ้าน อยากกลับไปหาแม่ กลับไปเพื่อเติมกำลังใจ กลับไปรับอากาศของท้องนาที่บริสุทธิ ตอนนี้เธอท้อเหลือเกิน แต่เธอจะเห็นแก่ตัวไปมั้ย ถ้าต้องกลับไป และทิ้งให้สามีอยู่คนเดียวที่นี่ นั่นคือความลำบากใจของคนที่เป็นภรรยา เพราะไม่มีภรรยาคนไหนอยากจะอยู่ห่างไกลผัว ถ้าเลือกได้ก็อยากจะอยุ่ใกล้ชิดกันตลอด แต่ในเมื่อสุขภาพไม่อำนวย ควรทำอย่างไรดี ปูสับสน
พี่อยากบอกว่า ปูท้อได้นะ เพราะคนเราทุกคนมันมีวันที่เราจะท้อและเหนื่อย แต่อย่าถอย อย่ายอมแพ้ คิดถึงลุกให้มากๆ คิดถึงไอเดียให้มากๆ ไอเดียต้องการแม่ ถ้ามองไม่เห็นทางออกให้หลับตาและนึกถึงเด็กตัวเล็กๆที่ชื่อว่า ไอเดีย มองดวงตาของลุก นึกถึงรอยยิ้มของลุก นึกถึงน้ำเสียงที่เรียกแม่ปู ผ่านปากของลุก ได้ยินมั้ย ได้ยินเสียงของลุกมั้ย
“แม่ปูจ๋า อยู่กับไอเดีย
แม่ปูจ๋า แม่อุ้มไอเดียหน่อย
แม่ปุจ๋า แม่ปุพาไอเดียไปเที่ยวหน่อย
ไอเดียอยากไปหาแม่ปู
ไอเดียรักแม่ปู....”
เด็กคนนี้ต้องการแม่ และอยากให้แม่อยู่กับเค้าไปนานๆ สู้ๆนะ หากเรายอมแพ้ คนที่เสียใจไม่ใช่เรา แต่คือคนที่อยู่ข้างหลัง คนที่เจ็บปวดคือ คนเป็นนะปู คนที่เสียใจคือคนข้างหลัง หากท้อก็ให้เข้มแข็ง พี่ส่งกำลังใจมาให้แล้ว พ่อแม่ส่งกำลังใจมาให้แล้ว เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ส่งกำลังใจมากให้แล้ว และกำลังใจจากสามีและลุกก็ส่งมาให้ด้วยเช่นกัน อย่าลืมกำลังใจจากเรา ที่สำคัญที่สุดคือ กำลังใจจากตัวเราเอง เราต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง