https://www.facebook.com/idea.is.bulletproof/posts/692147657463604
ที่อิตาลี มีรัฐบาลที่จัดว่าคอรัปชั่นมากที่สุดที่นึง การโกงสำหรับชาวอิตาเลี่ยนจัดว่าเป็นศิลปะกันเลย นายกที่มีชื่อกระฉ่อนมากที่สุด คงไม่พ้น ซิลเวียโอ แบรลุสโคนี เค้ามีโพรไฟล์คล้ายๆคุณทักษิน แต่เลเวลสูงกว่า และทนทานมากกว่า (แต่อิตาลีไม่มีอำนาจนอกระบบที่ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ) การเมืองของอิตาลีที่โดมิเนทโดยแบรลุสโคนีมาถึงจุดเปลี่ยนโดยชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า เบบเป้ กริลโล่
กริลโลเป็นตลกชาวอิตาเลี่ยน ที่นิยมแสดงตลกเสียดสีการเมือง เค้าทำให้นักการเมืองใหญ่หลายท่านเริ่มรู้สึกอีดอัด จนกระทั่งวันหนึง นักการเมืองตำแหน่งสูงท่านหนึงเริ่มรู้สึกว่าเขาลำ้เส้น ชื่อของกริลโล่ จึงค่อยๆหายไปจากสื่อ และโทรทัศน์ กริลโล่ผลันตัวเองมาเป็นนักเขียน เขามีบล้อคเป็นของตัวเอง เขาเริ่มต้นโดยการให้ข้อมูล กับประชาชน ในหลายๆเรื่อง การเมือง กฎหมาย มาเฟีย ตีแผ่ความจริงของบรรดาบริษัท ธนาคาร และอีกมากมาย บล้อกของเขามีคนติดตามเกินกว่า 1 ล้านคนภายในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นบล้อกที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในอิตาลี
จากบล้อกเล็กๆ กลายเป็นมูฟเม้นทางการเมืองภายในช่วงเวลาไม่กีปี ตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบัน ศัตรูของ กริลโลไม่เคยเปลี่ยน เขาตั้งตัวเป็นอริอย่างเปิดเผยกับรัฐบาล ฝ่ายค้าน และนักการเมืองหัวเก่าทีขี้ช่อ การคอรับชั่น และความไม่เท่าเทียมกัน กริลโลเชื่อว่า ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ด้วยวิธีเดียว ต้องทำลายการเมืองและนักการเมืองอิตาเลี่ยน แต่กริลโล ไม่เคยมีความที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศโดยอาศัยการเมืองแบบข้างถนน (แม้เขาจะปราศัยตามจตุรัสใหญ่ในประเทศหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เป็นแบบไปกลับเหมือนหาเสียง ) กริลโลเลือกที่จะเปลี่ยนประเทศตามกติกา ใต้รัฐธรรมนูญ
กริลโล่ก่อตั้ง movimento 5 stelle ที่ไม่ใช่พรรคการเมือง เพราะเค้าไม่เชื่อในระบบพรรคการเมือง มูฟเม้น ประกอบไปด้วยผู้คนธรรมดาจากหลากหลายอาชีพ และภูมหลัง แต่มีแนวคิดคล้ายๆกัน คือต้องการภาคการเมืองที่มาจากประชาชน โปร่งใส และต้องการลากไส้บรรดานักการเมืองอาชีพ ที่เป็นปรสิตอยู่ในรัฐสภามานานหลายทศวรรต กริลโล ที่ไม่มีตัวช่วยใดๆ ทั้งจากสื่อโทรทัศน ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา และนักการเมืองจากทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่พยายามจะติดป้ายให้เขาว่าเป็นทีรานีคนใหม่ ทังหมดทั้งปวง movimento 5 stelle ของกริลโล ได้รับคะแนนโหวตจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (จากศูนย์เมื่องครั้งก่อน) 25% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมดในสภา ทั้งบน และล่าง กลายเป็นผู้กำเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นครั้งแรก ที่ชาวอิตาเลี่ยน ได้ผู้แทนราษฎรของเขาในภาพของหนุ่มสาวไฟแรง อายุตั้งแต่สามสิบต้นๆแบกเป้สะพายหลัง ไล่บี้นักการเมืองรุ่นลายคราม ในชุดสูทราคาแพง เกิดขึ้นในสภา รัฐสภาอิตาลี หมดความสามารถที่จะปิดบัง หรือบิดเบือนข้อมูลใดๆจากสังคม เนื่องจาก 25 % ของสส คือประชาชน ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา และกนะบอกเสียงของประชาชนที่เลือกและไม่ได้เลือกพวกเขา กริลโลกำลังทำอย่างที่เขาเคยหวังเอาไว้ และเขาทำมันทั้งหมดอย่างอดทน ภายใต้กติกา ซึ่งหลายข้อถูกเขียนโดยฝ่ายตรงข้าม
กริลโล่พูดเสมอว่า uno conto come uno/ one count as one
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ในปีสองปี อาจต้องใช้ถึงชั่วอายุคน
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ด้วยนักการเมือง แต่เปลี่ยนได้ด้วยคนธรรดา
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ด้วยปลายกระบอกปืน แต่อาจเปลี่ยนได้ด้วยปลายปากกาในคูหาเลือกตั้ง
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ด้วยการสาดโคลน การกดแชร์กดไลค์ข่าวลือ หรือฟอเวร์ดเมล แต่เปลี่ยนได้การมีสติในการรับข้อมูลข่าวสาร
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ถ้าเรายังกลัวการเปลี่ยนแปลง
ดิฉันได้แต่หวัง ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งนี้ เกิดขึ้นในเมืองไทยในชั่วชีวิตนี้ค่ะ
เจอมาจากแชร์ในเฟสบุค แนวทางการต่อต้านคอรัปชั่น โดนที่ไม่ทำให้ประเทศชาติเสียหาย
ที่อิตาลี มีรัฐบาลที่จัดว่าคอรัปชั่นมากที่สุดที่นึง การโกงสำหรับชาวอิตาเลี่ยนจัดว่าเป็นศิลปะกันเลย นายกที่มีชื่อกระฉ่อนมากที่สุด คงไม่พ้น ซิลเวียโอ แบรลุสโคนี เค้ามีโพรไฟล์คล้ายๆคุณทักษิน แต่เลเวลสูงกว่า และทนทานมากกว่า (แต่อิตาลีไม่มีอำนาจนอกระบบที่ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ) การเมืองของอิตาลีที่โดมิเนทโดยแบรลุสโคนีมาถึงจุดเปลี่ยนโดยชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า เบบเป้ กริลโล่
กริลโลเป็นตลกชาวอิตาเลี่ยน ที่นิยมแสดงตลกเสียดสีการเมือง เค้าทำให้นักการเมืองใหญ่หลายท่านเริ่มรู้สึกอีดอัด จนกระทั่งวันหนึง นักการเมืองตำแหน่งสูงท่านหนึงเริ่มรู้สึกว่าเขาลำ้เส้น ชื่อของกริลโล่ จึงค่อยๆหายไปจากสื่อ และโทรทัศน์ กริลโล่ผลันตัวเองมาเป็นนักเขียน เขามีบล้อคเป็นของตัวเอง เขาเริ่มต้นโดยการให้ข้อมูล กับประชาชน ในหลายๆเรื่อง การเมือง กฎหมาย มาเฟีย ตีแผ่ความจริงของบรรดาบริษัท ธนาคาร และอีกมากมาย บล้อกของเขามีคนติดตามเกินกว่า 1 ล้านคนภายในเวลาอันรวดเร็ว กลายเป็นบล้อกที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในอิตาลี
จากบล้อกเล็กๆ กลายเป็นมูฟเม้นทางการเมืองภายในช่วงเวลาไม่กีปี ตั้งแต่วันแรก จนถึงปัจจุบัน ศัตรูของ กริลโลไม่เคยเปลี่ยน เขาตั้งตัวเป็นอริอย่างเปิดเผยกับรัฐบาล ฝ่ายค้าน และนักการเมืองหัวเก่าทีขี้ช่อ การคอรับชั่น และความไม่เท่าเทียมกัน กริลโลเชื่อว่า ประเทศจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ด้วยวิธีเดียว ต้องทำลายการเมืองและนักการเมืองอิตาเลี่ยน แต่กริลโล ไม่เคยมีความที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศโดยอาศัยการเมืองแบบข้างถนน (แม้เขาจะปราศัยตามจตุรัสใหญ่ในประเทศหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็เป็นแบบไปกลับเหมือนหาเสียง ) กริลโลเลือกที่จะเปลี่ยนประเทศตามกติกา ใต้รัฐธรรมนูญ
กริลโล่ก่อตั้ง movimento 5 stelle ที่ไม่ใช่พรรคการเมือง เพราะเค้าไม่เชื่อในระบบพรรคการเมือง มูฟเม้น ประกอบไปด้วยผู้คนธรรมดาจากหลากหลายอาชีพ และภูมหลัง แต่มีแนวคิดคล้ายๆกัน คือต้องการภาคการเมืองที่มาจากประชาชน โปร่งใส และต้องการลากไส้บรรดานักการเมืองอาชีพ ที่เป็นปรสิตอยู่ในรัฐสภามานานหลายทศวรรต กริลโล ที่ไม่มีตัวช่วยใดๆ ทั้งจากสื่อโทรทัศน ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา และนักการเมืองจากทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน ที่พยายามจะติดป้ายให้เขาว่าเป็นทีรานีคนใหม่ ทังหมดทั้งปวง movimento 5 stelle ของกริลโล ได้รับคะแนนโหวตจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด (จากศูนย์เมื่องครั้งก่อน) 25% ของจำนวนที่นั่งทั้งหมดในสภา ทั้งบน และล่าง กลายเป็นผู้กำเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นครั้งแรก ที่ชาวอิตาเลี่ยน ได้ผู้แทนราษฎรของเขาในภาพของหนุ่มสาวไฟแรง อายุตั้งแต่สามสิบต้นๆแบกเป้สะพายหลัง ไล่บี้นักการเมืองรุ่นลายคราม ในชุดสูทราคาแพง เกิดขึ้นในสภา รัฐสภาอิตาลี หมดความสามารถที่จะปิดบัง หรือบิดเบือนข้อมูลใดๆจากสังคม เนื่องจาก 25 % ของสส คือประชาชน ทำหน้าที่เป็นหูเป็นตา และกนะบอกเสียงของประชาชนที่เลือกและไม่ได้เลือกพวกเขา กริลโลกำลังทำอย่างที่เขาเคยหวังเอาไว้ และเขาทำมันทั้งหมดอย่างอดทน ภายใต้กติกา ซึ่งหลายข้อถูกเขียนโดยฝ่ายตรงข้าม
กริลโล่พูดเสมอว่า uno conto come uno/ one count as one
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ในปีสองปี อาจต้องใช้ถึงชั่วอายุคน
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ด้วยนักการเมือง แต่เปลี่ยนได้ด้วยคนธรรดา
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ด้วยปลายกระบอกปืน แต่อาจเปลี่ยนได้ด้วยปลายปากกาในคูหาเลือกตั้ง
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ด้วยการสาดโคลน การกดแชร์กดไลค์ข่าวลือ หรือฟอเวร์ดเมล แต่เปลี่ยนได้การมีสติในการรับข้อมูลข่าวสาร
ดิฉันเชื่อว่าประเทศเปลี่ยนไม่ได้ถ้าเรายังกลัวการเปลี่ยนแปลง
ดิฉันได้แต่หวัง ว่าตัวเองจะมีโอกาสได้เห็นสิ่งนี้ เกิดขึ้นในเมืองไทยในชั่วชีวิตนี้ค่ะ