ขอบคุณกะลาใบนั้น...

ผมเป็นเด็กบ้านนอกคนหนึ่ง พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ ผมยังจำความไม่ได้ คนที่ผมเรียกพ่อเป็นคนแรกก็คือ ตา เพราะความที่ฐานะเรายากจนมาก แม่ก็ต้องไปหางานทำที่เชียงใหม่ เพื่อรักษาตัวเองจากโรคประจำตัว ผู้คนมักจะตราหน้าผมว่า “ไอ้เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไอ้เด็กกำพร้า” สารพันที่เขาจะยัดเยียดให้ผมเป็น คนที่เรียกก็ใช่ใครที่ไหน ก็ลูกป้า ลูกลุง ญาติกันทั้งนั้น

ครั้งหนึ่ง ซึ่งอยู่ในความทรงจำผมตลอดเวลา ลูกคุณครูกินองุ่น กินทิ้งกินขว้างอยู่ตรงสนามเด็กเล่น ผมได้แต่มองในฐานะผู้อิจฉาโชคชะตาชีวิตของคนอื่น ในที่ไม่ห่างไกลมากนัก ผมก็มองเห็นต้นมะขามต้นหนึ่ง กำลังออกฝักเต็มต้น คนอย่างผมมันเหมาะกับต้นมะขามริมรั้วโรงเรียนมากกว่า ผมก็ไปปีนขึ้นต้นมะขามเพื่อเอาฝักอ่อน ไปจิ้มกับเกลือที่บ้าน มะขามอ่อนกับองุ่น คือชนชั้นเล็กๆ ที่เด็กคนหนึ่งเริ่มเรียนรู้ถึงช่องว่างระหว่างคน

พอผมอยู่ ป.3 ตาก็มาเสียชีวิต ในบ้านที่มุงด้วยหญ้าคา แต่มันคือคฤหาสน์ ที่อบอุ่นที่สุดระหว่างสองตาหลาน ที่ผมเคยได้อยู่มา วันที่ตาผมเสีย ผมเข้าไปกราบศพท่าน ซึ่งมีผ้าห่มเก่าๆ คลุมอยู่ ผมเอาผ้าออก และก้มหน้าร้องไห้ซบบนหน้าอกของตา ไม่รู้ว่านานแค่ไหน และบอกกับตัวเองว่า “คนที่รักผมที่สุดในชีวิตจากไปแล้ว แล้วผมจะอยู่กับใคร” ผมอยากขอโทษตา ที่ผมเคยดื้อ เคยซน ตาบอกอะไรผมก็ไม่เคยเชื่อ พอมาถึงตรงนี้ เหมือนตามาจูงมือผมมาถึงระหว่างกึ่งทาง แล้วก็ให้ผมเดินทางต่อ ผมคงต้องทำแผ่นที่ชีวิตด้วยตนเองสินะ

ชีวิตผมเหมือนอยู่บนแพแตกท่ามกลางมรสุมชีวิต ต่อจากนี้ไป ผมจะไปอยู่กับใคร เข็มทิศแห่งชีวิตคือพ่อกับแม่..ท่านอยู่ไหน ต่อนี้ไปใครจะชี้นำ หรือสิ่งที่ชาวบ้านเรียกผมคงจะเป็นจริง “ไอ้เด็กกำพร้า”

ชีวิตของเด็กคนหนึ่ง ที่เลือกเกิดไม่ได้ ต้องหอบผ้า มาอยู่บ้านลุงกับป้า บ้านแหล่งสุดท้ายที่ผมพอจะอาศัยได้ แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดของคำว่า ครอบครัว ที่ใครๆ ต้องการ ลุงกับป้าพร้อมจะตีผมตอนไหนก็ได้ หากไม่พอใจ ในเรื่องอะไรสักอย่าง ที่เด็กคนหนึ่งอาจจะทำลงไป ตามประสาของเด็ก โดยไม่มีเหตุผล อาจจะโดนตบหัวอย่างแรง ขณะกินข้าว เพียงเพราะไม่ชอบกินเนื้อสัตว์

ชีวิตในวัยเด็กของผม ค่อนข้างจะแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้านเดียวกัน หลังเลิกเรียน ผมต้องไปรับจ้างหาบน้ำให้ครูเดือนละ 90 บาท ทุกวันยกเว้น เสาร์อาทิตย์ ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็รับจ้างเลี้ยงควาย วันละ 20 บาท

ผมพยายามลืม คืนวันเก่าๆที่มันโหดร้ายในตอนวัยเด็ก โชคชะตาที่เด็กคนหนึ่งยากที่จะฝืนมันเอาไว้ได้ อยากให้มันเหมือนคืนวันที่ฝัน ตื่นมาแล้ว กลับลืมสิ่งเหล่านั้นไว้ที่นอน

“ไอ้คนไม่มีพ่อไม่มีแม่ จะเลี้ยงมันให้ดีทำไม อีกหน่อยมันโตขึ้นมาก็ไปเลี้ยงพ่อแม่มันแล้ว” เขายัดเยียดให้ผมเป็น ในสิ่งที่ผมไม่อยากเป็น คำพูดเหยียดหยามเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ที่มันยังคงก้องอยู่ในหูผมอยู่ตลอดเวลา ผมพยายามสลัดมันออกแล้ว แต่มันยังคงเป็นเหมือนเพื่อนในมุมมืด เป็นทั้งแรงบันดาลใจและคำดูถูก ในยามที่ผมไม่มีใคร และมันจะตอกย้ำอยู่เสมอ ในห้วงเวลาที่ผมหลับตานึกภาพอดีตในวัยเยาว์

วันที่ 12 สิงหาคม และวันที่ 5 ธันวาคม ทุกปี ดูคนอื่นช่างมีความสุขกับการสรรหาคำมาพรรณนาพระคุณแม่และพ่อ แต่สำหรับเด็กชายคนหนึ่ง “ไอ้เด็กกำพร้า” ณ มุมอับๆ ของห้องเรียน ผมไม่อยากให้มีวันพ่อและวันแม่เลย เพราะผมไม่รู้จะหาพ่อและแม่ที่ไหนมากราบไหว้ ในยามที่เด็กคนอื่นๆ ยิ้มระรื่น หัวเราะ ร่าเริง พาพ่อแม่มาร่วมกิจกรรมที่โรงเรียน แล้วพ่อและแม่ผมอยู่ไหน ตอนนี้ท่านทำอะไรอยู่ จะคิดถึงวันลูกบ้างหรือเปล่า ผมอยากให้พ้นวันนี้ไวๆจัง อยากเดินออกจากมุมอับของห้อง มุมที่ทุกคนอาจจะมองไม่เห็นว่ามีเด็กคนหนึ่งแอบหลบอยู่ พ่อของผมคือตา ตายไปแล้ว แม่ของผม ท่านไม่อยู่ ผมได้แต่บอกกับตัวเองทุกครั้ง ผมไม่มีใครเลย

ผมคิดถึงแววตาอันอบอุ่นของตา..คิดถึงพ่อและแม่ คิดถึงทุกๆคนที่เขาดีกับผม โดยที่คนนั้นๆ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติ นี้คือความรู้สึกของเด็กคนหนึ่ง ในช่วงเวลานั้นจริงๆ

แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่า ความคิด ความหวัง และความรู้สึกของเด็กชายคนนั้น ที่เกิดมาบนฐานะของความไม่พร้อม ต้องเจออุปสรรคนานัปการ...“ทุกคนเกิดมาย่อมมีญาติพี่น้องด้วยกันทั้งนั้น”แต่สำหรับผม ญาติไม่ยอมรับ เพราะฐานะเรายากจนเกินไปที่คนเหล่านั้นจะเรียกเราว่า ญาติพี่น้อง ฐานะญาติพี่น้องทางพ่อ ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีหน้ามีหน้าในชุมชน ทุกคนเวลาเห็นผม ผมคือสุญญากาศสำหรับพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วเกิดแต่เหตุ แล้วชีวิตผมหละ ใครเป็นต้นเหตุ ... ความไม่ลงตัวของคนสองคนใช่ไหม ความไม่เข้าใจกันของคนสองคนใช่ไหม หรือการร้างลา หรือว่าความจน ผมจะโทษใครดี พ่อแม่ หรือว่าความจน

ความเกลียด ความชัง และความรู้สึกธรรมดา ต่อคนๆหนึ่งๆ ก็เริ่มเข้ามาสัมผัส ในความรู้สึกต่อบุพพการีของตน ผมรู้สึกเฉยๆ ต่อพ่อและแม่ ทุกครั้งที่พ่อและแม่มาเยี่ยม ท่านดุจเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่เดินผ่านไปผ่านมาในชีวิต ทุกอย่างมันแสดงออกมาทางแววตา การกระทำ และคำพูด

โชคชะตาชีวิตอันโหดร้าย อาจจะไม่เลวร้ายสำหรับคนที่เกิดมาบนฐานะความไม่พร้อมเสมอไป หากเรารู้ตัว รีบสร้างตัว วางตัว และไม่ลืมตัว
ต้นทุนชีวิตของผม ล้วนแล้วมาจากคำสาปแช่ง คำดูถูก คำเยาะเย้ยถากถาง มันคือปุ๋ยชีวิตที่คอย ประคับประคองให้ชีวิตของผมมุ่งมัน ท้อแต่ไม่เคยถอย

วันที่ผมสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก วันที่ผมดีใจที่สุดในชีวิต แต่มีชายแก่คนหนึ่ง ท่าทางเมาเดินมาหาผม สิ่งที่แกถาม ทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย “ท่านดร.อายไหม ที่พ่อเป็นอย่างนี้” พ่อผมเป็นคนสติไม่ค่อยดี นี้เป็นอีกเหตุผลหนึ่ง ที่ญาติฝ่ายพ่อไม่ค่อยยอมรับเรา ชาวบ้านมักจะไม่ค่อยให้เกียรติแก บางครั้งแกไปรับจ้างที่ไหน คนก็มักจะโกงแกบ่อยๆ บางทีไม่ให้ค่าแรงบ้าง บางทีก็ตักตวงผลประโยชน์จากหยาดเหงื่อและสองมือที่หยาบกร้านของแก ผมรู้ แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะที่ผ่านมา เขาคือคนที่ทอดทิ้งผม มันสมควรแล้ว กับคนประเภทนี้ ที่มักทอดทิ้งครอบครัว ปล่อยให้ผมต้องเผชิญในโลกที่เด็กคนหนึ่ง ยังเล็กเกินไปที่จะเผชิญได้ ทั้งๆที่บ้านพ่อผมก็ห่างไปไม่กี่ก้าว แกไม่ค่อยดูแลใส่ใจผมเลย

วันที่ฐานะของบ้านของผมเริ่มดีขึ้นเพราะการศึกษา แต่ฐานะทางบ้านของพ่อ ซึ่งไม่เหลือใครแล้ว เหลือแกเพียงคนเดียว อยู่บ้านหลังไม้เก่าๆ หาเช้ากินค่ำ ตามประสาของแก ในขณะที่บ้านของผมก็ห่างจากพ่อไม่ไกล แต่บ้านสองหลังมันช่างต่างกันอย่างริบลับ

เมื่อสองปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนคนหนึ่ง พ่อของเขาป่วย นอนอยู่บนเตียง ทุกวันก็ต้องอาบน้ำ ป้อนข้าวให้ ภาพที่เห็น ก็ยังไม่มีอะไรที่ทำให้ผมสำนึก

หลังจากนั้น ผมมีโอกาสได้ไปแวะหาอีกครั้ง เพราะผ่านมาทางนี้พอดี ก็ยังเห็นเขาปฎิบัติต่อผู้เป็นบิดาเหมือนเช่นเคยที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เห็นผิด ผิดหูผิดตาออกไปก็คือภาชนะทุกอย่าง ทำด้วยภาชนะอย่างเลว อย่างหยาบ ผมก็เฝ้ามองดู ด้วยความอยากรู้คำตอบ ในขณะที่ผมหยิบดูภาชนะใส่อาหาร มันก็คือถาดพาสติกดีๆนี่เอง พลันนั้น เพื่อนผมก็เอ่ยขึ้นมา นี่ต่อไปเราก็จะเป็นแบบนี้แหละ ลูกหลานอาจจะต้องเอาขัน หรือกะลา มาใส่ให้ทาน ผมก็ถามว่าทำไม

คำตอบที่ได้ก็คือ หากเอาของดีๆให้ใช้ ก็จะแตกหมด ภาชนะที่พ่อของเพื่อนผมใช้ตอนนี้ ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับสิ่งที่พ่อผมใช้ตอนนี้เลย

ทันใดที่ผมเหลือบมองไปเห็นกะลามะพร้าว ที่เอาไว้ตักข้าวให้คุณลุง ใบหน้าของพ่อผมผุดขึ้นมา ผมน้ำตาไหล โดยไม่รู้สาเหตุ หากคนที่อยู่ตรงข้างหน้าผม คือพ่อผม ซึ่งตอนนี้แกก็ไม่เหลือใครแล้ว หรือสักวันหนึ่งคนข้างหน้าเป็นผม ต่อให้ผมมีลูก จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เขาเกิดขึ้นมาก็ตาม ผมก็อยากให้ใครบางคนดูแล อยู่ใกล้ๆ

ความฝันเล็กๆ เริ่มต้น ณ จุดเล็กๆ  จากกะลาใบนั้น “ผมอยากให้พ่อมาอยู่กับผม” ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง

หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมอยากให้พ่อแม่ไม่ต้องเลิกกัน มีเหตุผลที่มันดีมากกว่านี้ไหม ที่ไม่ต้องเลิกกัน อยากให้มีตามียาย อยู่เป็นครอบครัวที่อบอุ่น นานมากแล้ว ที่ผมสะกดคำว่า ครอบครัวที่อบอุ่นไม่ถูก แต่มันก็เป็นเรื่องที่ดีๆของใครคนหนึ่ง ทุกครั้งที่ผมหลับตาลง ถึงมันจะอยู่แค่ชั่วขณะฝัน

และแล้ววันหนึ่ง วิถีความคิดของผมก็เปลี่ยนไป เมื่อผู้คนที่ไม่เคยได้ยินคำว่า ญาติ จากปากพวกเขา ทุกคน ต่างก็บอกว่า ผมเป็นหลาน เป็นญาติ พ่อของผมก็เป็นหลานเขา ผมเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้น แม้กระทั่งคนที่เคยเดินมาตบหัวผม แล้วบอกว่า จะตบหัวอย่างไรก็ได้ ไอ้คนไม่มีพ่อไม่มีแม่ ผมได้แต่มองหน้าคนเหล่านั้น เพราะไม่รู้สิ่งที่เป็นความนัยที่คนเหล่านั้นกระทำลงไป ตอนนี้ชีวิตของผม มันเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ผมอ่านมาจนถึงหน้าสุดท้าย เริ่มเข้าใจและสรุปชีวิตของตัวเองได้แล้ว .... ชีวิตที่ผ่านมา เป็นอย่างนี้ เพราะอะไร

หลังจากที่ผมได้ทำลายกำแพง คืออัตตา ทิฎฐิ ของตัวเอง พังลงมา เงินก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด ในการที่จะเรียกร้อง ความอบอุ่น หรือปมด้อย สิ่งเหล่านี้ให้คืนมา

ผมอยากให้พ่อและแม่มาอยู่กับผม.....ในยามที่ผมกำลังเจริญเติบโต พร้อมที่จะเป็นผู้นำครอบครัว มันมีค่ามากแค่ไหน สำหรับคนๆหนึ่ง ที่เรียกร้องคำว่า ครอบครัว มาเกือบทั้งชีวิต มีบ่อยครั้ง ที่ผมพูดแทงใจดำ ให้แม่ร้องไห้ ในฐานะที่เคยทอดทิ้งผม ให้เผชิญอยู่ในโลกใบนี้ตามลำพัง ก่อนวัยอันควร บางครั้งผมกลับมีความรู้สึกที่ตัวเองทำถูก ที่ให้พ่อแม่ รู้สึกตัวว่าตัวเองทำผิดเสียบ้าง “หากท่านมีทางและโอกาสให้เลือก ท่านก็คงไม่ทำอย่างนี้ใช่หรือเปล่า”

วันแม่ อดีตที่เคยเป็นวันธรรมดา และเป็นวันที่หดหู่ใจของเด็กชายคนนั้น เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่สิ่งที่อาจขาดหายไปนั่นก็คือ คำว่า พ่อแม่ลูก ที่ทำอย่างไรก็คงไม่มีวันเติมเต็ม ให้กับครอบครัวของผม

ทุกๆวันที่ 12 สิงหาคมและ 5 ธันวาคม ผมประนมมือสิบนิ้ว ก้มกราบ วันแม่ และขอขมา สิ่งที่ผมได้กล่าวล้วงล้ำ หยาบคาย ต่อคุณบิดามารดา และครั้งหนึ่งที่ทำให้แม่ร้องไห้ พ่อแม่ครับ ผมอยากให้พ่อและแม่รู้ว่า

ผมไม่อยากให้พ่อแม่เลิกกัน  อยากให้ตากลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง แล้วผมจะทำหน้าที่เป็นลูกและหลานที่ดี...เท่าที่ผมจะทำได้ อยากหนุนตักแม่ ในยามที่เหนื่อยล้า อยากให้เงินแม่ใช้ ตอนสิ้นเดือน อยากซื้อเสื้อผ้าให้แม่ใส่ หาซื้อของที่แม่ชอบ ให้ทาน จากนี้ผม ผมขอใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว และผู้หญิงที่ย่างเข้าสู่วัยชราคนนี้...จนกว่าจะได้ยินเสียงพระสวด กุสะลา ธัมมา.

ถึงแม้มันจะเป็นเพียงแค่ความฝันเล็กๆ ของใครอีกหลายๆ คน เพียงเพราะรอคอยโอกาสที่จะลงมือทำ เพียงเพราะ......ไม่มีเวลา...ไม่พร้อม.......ยังต้องทำงาน.......

แต่จงทำมันเสียเถิด.......ก่อนที่ความคิดของคุณจะสาย.....ก่อนที่จะไม่มีพ่อแม่ให้กราบไหว้ อย่าให้มันเป็นเพียงแค่ความฝัน ความตั้งใจ ก่อนที่จะบอกใครต่อใครว่า....หากย้อนเวลากลับไปได้ในตอนนั้น...ผมจะซื้อโน้นซื้อนี่ให้ท่าน

ดีกว่า ซื้ออาหารที่ท่านชอบแล้วเคาะโลง บอกท่านว่า นี่คือของที่ท่านชอบ ลูกซื้อมาฝาก พ่อแม่กินเสียนะ

แล้วรับพร ยะถา สัพพี จากพระแทนคำขอบคุณจากบุพพการี

(ถ่ายทอดความรู้สึกแทนเจ้าของเรื่อง โดย พงษ์ประภากรณ์ สุระรินทร์ )
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่