........เรียนคาถา

กระทู้สนทนา
เรื่องมีอยู่ว่า :

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

...........พระคุณเจ้ารูปหนึ่งท่านโทรมาปรึกษาว่า มีเด็กที่หมู่บ้านคนหนึ่ง เรียนอยู่ ป.๒ อาศัยอยู่กับ
ตาและยาย ไม่แน่ใจว่าตาหรือยายที่ป่วย มีคนหนึ่งละ ที่เป็นคนหาเลี้ยง

            บางวันเด็กไม่ได้ไปโรงเรียน เพราะไม่มีเงินค่ารถไปโรงเรียน เด็กต้องนั่งรถออกจากหมู่บ้าน
ไปโรงเรียน ค่าใช้จ่ายตกวันละ ๒๖ บาท

            ดิฉันเคยเล่าเรื่องโครงการของกลุ่มจิตชื่นชม ให้ท่านฟังค่ะ พระคุณเจ้าท่านอยู่วัดที่พวกเรา
ไปสร้างศาลาไว่ค่ะ  เดี๋ยวจะสงสัยว่าอยู่ๆ ทำไมท่านโทรมา

            ดิฉันก็บอกหลักการของท่านไป หลักการนี้ดิฉันในฐานะกรรมการก็ตั้งเอง เออเอง ทั้งนั้นแหละค่ะ
ก็ถ้าไม่ได้ตามนี้ดิฉันไม่ยินดีทำนี่คะ

             ก็เรียนท่านว่า เราจะให้ทุนแก่เด็กที่ขาดแคลนที่อยากเรียน ไม่จำเป็นต้องเรียนดี แต่ทุนที่ให้
จะต้องใช้จ่าย เป็นไปเพื่อการศึกษาของเด็กเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องมีคุณครูที่รักเด็ก คอยดูแลในส่วนนี้

             มีค่ะ จากการสนทนากับผู้ที่เคยทำโครงการเรื่องทุนการศึกษานี้ ปัญหาคือ เมื่อให้ทุนแล้ว
เด็กที่ได้ก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีข้าวกิน ก็ไม่มีเหมือนเดิม ประมาณนี้ เมื่อได้ทุนแล้ว พ่อแม่เอาไปใช้จ่ายส่วนอื่นหมด
หรืออื่นๆ

             เนื่องจากดิฉันได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดการเงิน ของท่านประธานทั้งหลาย
สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ทั้งของผู้ให้ และผู้รับ ตลอดจนหลักฐานการใช้จ่ายเงิน ถ้าสามารถหามาได้ หรือทำได้
ดิฉันก็จะทำ ในที่นี้ดิฉันขอใบอนุโมทนา ซึ่งใช้เป็นหลักฐานในการใช้จ่ายเงินด้วยค่ะ

             ด้วยท่านประธานทั้งหลาย เมื่อบริจาคมาแล้วท่านก็ไม่ได้มายุ่งด้วยนะคะ ยกเว้นดิฉันเล่าให้ฟัง
ถ้าท่านไม่เห็นด้วยในส่วนใดก็บอกกันมา

...........ทางพระคุณเจ้า และผู้ใหญ่บ้านก็ไปติดต่อทางโรงเรียนค่ะ ได้ชื่อคุณครูผู้ดูแลเด็กมา และชื่อผู้อำนวยการ
พร้อมเบอร์โทร ดิฉันก็โทรติดต่อทางผู้อำนวยการทันที่



           ผู้อำนวยการท่านน่ารักมากค่ะ โรงเรียนนี้มีตั้งแต่อนุบาล ถึง ม. ๓ เป็นโรงเรียนขยายโอกาส
เด็กนักเรียนส่วนมากยากจน อาชีพแถวนั้นก็ ทำนา ทำสวน ทำไร่

           โครงการอาหารกลางวัน มีเลี้ยงถึงชั้น ป.๖ ส่วน ม.ต้นไม่มี ท่าน ผอ. ท่านมีที่ดินส่วนตัวอยู่
๘ ไร่ ก็ให้ช่วยกันปลูกมัน ปลูกข้าวโพดขาย นำเงินมาเลี้ยงอาหารกลางวันเด็ก ม.ต้น ท่านน่ารักจัง

           ทางท่าน ผอ.รับหลักการของเราค่ะ และมีความยินดียิ่ง ท่านว่าถ้ามีทุนเพิ่มขอให้เด็กอีกคนจะได้ไหม

           เด็กคนนี้อยู่ป. ๖ คุณแม่ตาย คุณพ่อป่วย ทางโรงเรียนเห็นขาดเรียนนาน เลยตามไป พบว่าเด็กไปปักเบ็ด
( ดิฉันฟังคล้ายๆ อย่างนี้ ) เพื่อที่จะหาเงินมาโรงเรียน

           ทางคุณครูก็ขอให้มาโรงเรียน อย่างน้อยก็มีข้าวกลางวันกิน ทางคุณครูก็ช่วยเด็กอยู่
ดิฉันก็ถามว่า ทางโรงเรียนไม่มีทุนการให้เด็กหรือ

            ท่านว่ามีบ้าง ทุนละ ๕๐๐ บาท ต่อเทอม เมื่อเด็กได้แล้ว เทอมต่อไปถ้ามีทุนก็จะไม่ได้ซ้ำ
ต้องเวียนๆ กันไป

            ดิฉันก็ตกลงรับค่ะ ส่วนจะให้ทุนละเท่าไรนั้น จะต้องมารวบรวมกันอีกที่

            ก็มาแจ้งให้ท่านประธานทั้งหลายทราบค่ะ

            จัดการเอากระดาษ เอ ๔ มาตีตาราง

        ลำดับที่  ชื่อ สกุล  
        ช่องต่อมาเขียนว่า ทุนการศึกษา ถ้าบริจาคตั้งแต่ ๕๐๐ บาืทขึ้นไป มีใบอนุโมทนา
        ช่องต่อมา เขียนว่า โครงการกระเป๋าสตางค์เด็ก ไม่มีใบอนุโมทนา

            ขีดได้ ๑๘ ช่อง ก็บอกท่านประธานว่า นาทีทอง รีบๆ ลงชื่อบริจาคมานะคะ ถ้าครบ
แผ่นนี้ปิดบริจาคทันที มีงี้ด้วย... ก็งี้ล่ะ จะได้รีบปิดจ๊อบสรุปให้ทางโรงเรียน ใครไม่ทันก็ไม่
ต้องทำ

             " อ้าววว ..เดี๋ยวไม่ทัน ลงชื่อกันไว้ก่อนนะ เดี๋ยวขอไปปรึกษาแฟนก่อนว่า
จะบริจาคเท่าไหร่ "  บางท่านว่า

             " พี่ครับ เด็กเขาไม่ใช้กระเป๋าสตางค์กันหรอกครับ "

             " ใจคอคุณจะให้ลูกของเรายืนมองเด็กอื่นกินขนมอยู่หรือไง ก็ต้องให้มีเงิน
ติดตัวบ้าง ไม่ให้เขาขาด แต่ก็ไม่ให้เขามากจนเกินไป " ดิฉันชี้แจง

             เข้าใจไปว่าดิฉันจะเอาเงินไปซื้อกระเป๋าสตางค์แจกเด็ก โหห....คิดไปได้

             " พี่ก็เขียนให้ชัดเจนสิครับว่าค่าขนมเด็ก "  ค่ะๆ ดิฉันก็ไปเติม ว่าค่าขนมเด็ก

             เอ๋.. เหลืออีกแค่ช่องเดียว ดิฉันเก็บใบไว้ก่อน เพราะคุณเลขาฯ วันนี้ไม่มาทำงาน
แต่เคยบอกไว้ว่าอยากทำ น้านน..มีการกันไว้ให้กันด้วย

             " พี่อธินี่ก็แปลก ก็เพิ่มอีกแผ่นสิ คนยังไม่ได้บริจาคก็ยังมี ไหนจะพี่ดา พี่...อีก "

ดิฉันถูกต่อว่า ช่างเถอะ ไว้บริจาคของปีหน้าถ้ามีก็แล้วกัน ปีนี้มีเด็กแค่ ๒ คน แค่นี้ก็พอแล้ว

             รวมยอดแล้ว ตกลงได้ทุนละ ๔๐๐๐ บาท  ๒ ทุน ยังมีเงินเหลืออีก ๑๐๐๐ บาท
            
             " กระเป๋าสตางค์ พี่ว่าจะให้วันละ ๕ บาท ตกเดือนละ ๑๐๐ บาท ต่อคน " ดิฉันว่า

             " โอ๊ย !!! พี่ ลูกชิ้นปิ้งก็ไม้ละ ๕ บาทแล้ว ใจคอพี่จะไม่ให้เด็กกินน้ำหวานด้วยหรือไง
เผื่อเขาอยากกินล่ะ " มีเสียงค้าน

            " ใช่ๆ ๕ บาทน้อยไปพี่ " มีเสียงสนับสนุนมา

            " ก็พระคุณเจ้าบอกพี่ว่า เด็กเขาได้วันละ ๕ บาทก็ดีใจมากแล้วนี่ เงินมันเป็นดาบ
สองคมนะ เอ๊า..แล้วจะให้วันละเท่าไร " ดิฉันถาม

            ตกลงที่วันละ ๑๐ บาทค่ะ ตกเดือนละประมาณ ๒๐๐ บาท ต่อคน นี่เป็นส่วนกระเป๋าสตางค์

.........แต่ในส่วนกระเป๋าสตางค์ เป็นการให้ที่มีเงื่อนไข เด็กจะต้องไปเรียนคาถา มงคล ๓๘ ประการ
กับพระคุณเจ้า วันละ มงคล เมื่อ ดูแล้วพอเข้าใจ ก็จะให้กระเป๋าสตางค์

          ก็เงินถ้าใช้ไม่เป็น มันก็เป็นพิษ การเรียนคาถา น่าจะช่วยได้ในระดับหนึ่ง เพื่อไม่ให้ว่าเป็นการ
ยัดเยียด แต่ละวันที่เด็กมาเรียน เราจะส่งสิ่งของที่เห็นว่าควร เด็กน่าจะชอบเมื่อได้รับ ไปไว้ที่พระคุณเจ้า

         เมื่อเขาทำความเข้าใจในมงคลแต่ละข้อได้ หรือแค่พูดตามได้ ก็มอบให้

         เอานะ ลูกชายท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านยังต้องจ้างไปฟังธรรมเลย

          ด้วยเกรงว่าเด็กจะเบื่อ ก็เป็นว่าเล่าเป็นนิทาน หรือชาดกแล้วน้อมมาที่คาถาจะดีไหม เราจะรวบรวม
ส่งไปให้พระคุณเจ้าพิจารณา

..........คือว่าดิฉันเลยมาขอคำแนะนำ ว่าเราจะหาชาดก หรือนิทานเรื่องอะไรดีที่ว่าเข้ากับ มงคลในแต่ละข้อ


          หรือว่าท่านใดเห็นว่าควรทำอย่างไรดีคะ ?

..........ในส่วนมงคลข้อแรกดิฉันคิดถึง  อกิตติชาดก

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/sutta_item.php?book=27&item=1814
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1806

.........ท่านอกิตตดาบสท่านยังขออยู่ห่างจากคนพาลเลย

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่