credit : thanonline.com
------

ตรวจแถวส่งออกไทยโค้งสุดท้าย เอกชนประสานเสียงสัญญาณแผ่ว ส่วนใหญ่สั่งหั่นเป้าส่งออกหรือลุ้นเป้าหมายเดิม ข้าวปลายปีแข่งขันดีขึ้น แต่กรรมบังความต้องการของตลาดลด กุ้งโรคตายด่วนทำวูบเกือบ 50% สับปะรดหมดลุ้นรอปีหน้า มันสำปะหลังได้อานิสงส์นำเข้าจากกัมพูชาส่งออก ขณะอัญมณีรายใหญ่-ดอกกล้วยไม้หดเป้า หลังเศรษฐกิจโลกซัดจนเซ
สถานการณ์ส่งออกของประเทศไทยได้เข้าสู่ไตรมาสที่ 4 หรือโค้งสุดท้ายของปีแล้ว จากช่วง 9 เดือนแรกการส่งออกยังแผ่วโดยมูลค่ารูปดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวเพียง 0.05% ขณะที่ทุกสำนักพยากรณ์ได้ฟันธงการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายได้เพียง 1-2% เท่านั้น (จากปี 2555 ไทยส่งออกมูลค่า 2.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อย่างไรก็ดีต่อสถานการณ์ส่งออกในไตรมาสสุดท้ายและตลอดทั้งปีนี้ในแต่ละกลุ่มสินค้าจะเป็นอย่างไร"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สุ่มตัวอย่างกลุ่มสินค้าเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้งโดยเน้นหนักไปที่กลุ่มเกษตรและอาหารที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก
++ข้าวดีปลายแต่คงเป้าเดิม
นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยทั้งปีนี้คาดจะส่งออกได้ประมาณ 6.5 ล้านตัน จากช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.)ส่งออกไปแล้ว 4.7 ล้านตัน ขยายตัวลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ด้านมูลค่าส่งออก 9.64 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.8% อย่างไรก็ดีการส่งออกข้าวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แม้สถานการณ์จะดีขึ้นจากราคาข้าวไทยในตลาดโลกมีราคาลดลงใกล้เคียงกับคู่แข่งขัน โดยเวลานี้ข้าวขาว 5% ของไทยราคาสูงกว่าข้าวชนิดเดียวกันของเวียดนามเพียง 15-20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน จากก่อนหน้านี้ต่างกันระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันซึ่งเป็นผลจากในเวลานี้รัฐบาลไทยมีการระบายข้าวในสต๊อกอย่างต่อเนื่องในทุกช่องทางเพื่อนำเงินไปรับจำนำข้าวต่อ นอกจากนี้รวมถึงมีข้าวส่วนเกินโควตารับจำนำในฤดูการผลิตใหม่ที่รัฐบาลให้ไม่เกิน 3.5 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งข้าวส่วนเกินนี้ได้ทะลักสู่ตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นราคาจึงอ่อนตัวลง ขณะที่ปกติช่วงปลายปีเป็นช่วงความต้องการข้าวของตลาดโลกลดลงดังนั้นทั้งปีนี้จึงคงตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ที่ 6.5 ล้านตันเช่นเดิม
++โรคตายด่วนทำกุ้งวูบเกือบ 50%
ด้านนางอำไพ หาญไกรวิไลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรอแยล ฟรอเซนฟู๊ด จำกัด กล่าวว่า จากที่ประเทศไทยยังคงมีปัญหาของกลุ่มโรคตายด่วน (EMS) ทำให้ผลผลิตกุ้งไทยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคากุ้งปีนี้สูงมาก ดังนั้นการแปรรูปกุ้งส่งออกของบริษัทในเวลานี้ได้ลดลงกว่า 50% ทำให้รายได้ลดลงตามสัดส่วน ขณะที่สถานการณ์ไตรมาสสุดท้ายในภาพรวมอุตสาหกรรมกุ้งไทยยังไม่ดีขึ้น เพราะวัตถุดิบมีน้อย ลูกค้าต่อราคา ดังนั้นการส่งออกของไทยในปีนี้จึงยังไม่ดี และมองว่าจะต่อเนื่องถึงปีหน้า
สอดคล้องกับ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ที่ระบุว่า การส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งของไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีปริมาณรวม 4.40 แสนตัน ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 732 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นส่งออกกุ้งสด ปริมาณ 1.49 แสนตัน ลดลง 37% โดยมีมูลค่าส่งออก 4.66 หมื่นล้านบาท , กุ้งแปรรูป ปริมาณการส่งออก 4.35 หมื่นตัน ลดลง 8% โดยมีมูลค่าส่งออก 8.06 พันล้านบาท และปลา ปริมาณส่งออก 2.46 แสนตัน ลดลง 11% มูลค่าส่งออก 1.85 หมื่นตัน
ดังนั้นทั้งปีนี้จึงคาดการส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งในภาพรวมจะส่งออกได้เพียง 1.87 แสนตัน ติดลบ 42% มูลค่าส่งออก 5.90 หมื่นล้านบาท ส่วนการส่งออกในปีหน้าตั้งเป้าส่งออกที่ 2.80 แสนตัน มูลค่า 7.65 หมื่นล้านบาท
"การส่งออกกุ้งของสมาคมในปีหน้าคาดว่าน่าจะขยายตัวดีกว่าปีนี้ แต่ยังไม่กล้าตั้งเป้าแต่ในปีนี้ในส่วนของซีฟูด กุ้งถือว่าหนักที่สุด ปีนี้น่าจะขยายตัวลดลงจากปีก่อน 42% เนื่องจากวัตถุดิบขาดแคลนเป็นผลมาจากโรคอีเอ็มเอส" นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยกล่าวและว่า
ส่วนปีหน้านั้นน่าจะดีขึ้นแต่คงไม่หวือหวาเท่าปี2553-2554 ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่าง สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นมีแนวโน้นถดถอย ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดน้อยลง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในปีหน้านั้น ก็จะมีทั้งการขาดแคลนแรงงาน มาตรการอนุรักษ์การทำประมงแบบยั่งยืน และอัตราแลกเปลี่ยน
++สับปะรดหมดลุ้นรอปีหน้า
นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ กรรมการบริษัท สยามอุตสาหกรรมการเกษตรอาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ SAICO ผู้ผลิตและส่งออกสับปะรดกระป๋อง กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัททั้งปีนี้คาดจะมียอดขายลดลง 10-15% จากปีที่แล้วมียอดขายประมาณ 3 พันล้านบาท มีปัจจัยหลักจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว และวัตถุดิบในประเทศราคาสูง จากภัยแล้งที่เกิดขึ้นช่วงต้นปีมีผลทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน ทำให้โรงงานแปรรูปสับปะรดส่งออกต้องเผชิญวิกฤติสองด้าน ส่วนในปีหน้ามองว่าสถานการณ์ตลาดโลกยังไม่ดีขึ้น จึงได้มองหาตลาดใหม่ๆ ไว้เพื่อทดแทนตลาดเก่าที่หดตัวลง ซึ่งในปี 2557 บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายที่ 3 พันล้านบาท
++มันขยายตัวแต่ไม่มาก
ขณะที่นางสุรีย์ ยอดประจง นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า ยอดส่งออกมันเส้นของไทยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มี ปริมาณ 4.3 ล้านตัน คาดสิ้นปี 2556 ยอดขายจะอยู่ที่ 5 ล้านตัน เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีการส่งออก 4.9 ล้านตัน สาเหตุปริมาณที่เพิ่มขึ้นเพราะผู้ประกอบการได้นำเข้ามันเส้นจากกัมพูชาไปส่งออก ส่วนในปีหน้าเบื้องต้นได้ประเมินผลผลิตหัวมันสดของไทยจะมีปริมาณ 28 ล้านตัน แต่จากเกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดคาดการณ์ผลผลิตจะลดลงเหลือ 25 ล้านตัน และคาดจะส่งออกใกล้เคียงกับปีนี้
++ดอกกล้วยไม้หดเป้าเหลือ 0%
เช่นเดียวกับนายเจตน์ มีญาณเยี่ยม นายกสมาคมผู้ส่งออกดอกกล้วยไม้ไทย ที่กล่าวว่า การส่งออกดอกกล้วยไม้ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่าที่ลดลง (ส่งออก 1.47 พันล้านบาท ลดลง 3.24%) เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของตลาดหลักทั้งสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ทำให้มีความต้องการสินค้าลดลง ขณะที่มีสินค้าดอกไม้ชนิดอื่นจากจีน และจากประเทศอื่นเข้าไปแข่งขันและเป็นทางเลือกมากขึ้น ดังนั้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้สถานการณ์ส่งออกดอกกล้วยไม้คงไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก ขณะที่ตลาดในประเทศจากความไม่สงบทางการเมืองมีผลให้การใช้ดอกกล้วยไม้เพื่องานพิธีต่างๆ ลดลง
"ต้นปี 2556 เราตั้งเป้าส่งออกดอกกล้วยไม้จะโต 5% (ปี 2555 ส่งออก 2.09 พันล้านบาท) แต่ถึง ณ เวลานี้ถ้าหากทำได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้วหรือ 0% ก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนปีหน้าเราหวังสถานการณ์การใช้ดอกกล้วยไม้ทั้งในและต่างประเทศจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ เพราะเวลานี้สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงเร็วมาก"
++อัญมณีรายใหญ่ยังกระทบ
นางประพีร์ สรไกรกิติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทช่วง 9 เดือนปี 2556 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 10% มีปัจจัยหลักจากตลาดใหญ่ของบริษัทคือสหรัฐฯ และยุโรปเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งใน 3 เดือนสุดท้ายที่มีคำสั่งซื้อแล้ว และอยู่ในช่วงผลิตส่งมอบตัวเลขคงไม่เพิ่มขึ้นมาก จึงคาดทั้งปีนี้ยอดขายของบริษัทจะขยายตัวลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 7-8% ส่วนในปีหน้ามองว่ามีแนวโน้มดีขึ้น จึงตั้งเป้าหมายยอดขายในเบื้องต้นจะขยายตัวไม่เกิน 10%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,894 วันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ส่งออกแผ่ว! ติดลบเกือบทุกตัวลามปีหน้า
------
ตรวจแถวส่งออกไทยโค้งสุดท้าย เอกชนประสานเสียงสัญญาณแผ่ว ส่วนใหญ่สั่งหั่นเป้าส่งออกหรือลุ้นเป้าหมายเดิม ข้าวปลายปีแข่งขันดีขึ้น แต่กรรมบังความต้องการของตลาดลด กุ้งโรคตายด่วนทำวูบเกือบ 50% สับปะรดหมดลุ้นรอปีหน้า มันสำปะหลังได้อานิสงส์นำเข้าจากกัมพูชาส่งออก ขณะอัญมณีรายใหญ่-ดอกกล้วยไม้หดเป้า หลังเศรษฐกิจโลกซัดจนเซ
สถานการณ์ส่งออกของประเทศไทยได้เข้าสู่ไตรมาสที่ 4 หรือโค้งสุดท้ายของปีแล้ว จากช่วง 9 เดือนแรกการส่งออกยังแผ่วโดยมูลค่ารูปดอลลาร์สหรัฐฯขยายตัวเพียง 0.05% ขณะที่ทุกสำนักพยากรณ์ได้ฟันธงการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายได้เพียง 1-2% เท่านั้น (จากปี 2555 ไทยส่งออกมูลค่า 2.29 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) อย่างไรก็ดีต่อสถานการณ์ส่งออกในไตรมาสสุดท้ายและตลอดทั้งปีนี้ในแต่ละกลุ่มสินค้าจะเป็นอย่างไร"ฐานเศรษฐกิจ"ได้สุ่มตัวอย่างกลุ่มสินค้าเพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้งโดยเน้นหนักไปที่กลุ่มเกษตรและอาหารที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก
++ข้าวดีปลายแต่คงเป้าเดิม
นางสาวกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า การส่งออกข้าวไทยทั้งปีนี้คาดจะส่งออกได้ประมาณ 6.5 ล้านตัน จากช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (ม.ค.-ก.ย.)ส่งออกไปแล้ว 4.7 ล้านตัน ขยายตัวลดลง 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ด้านมูลค่าส่งออก 9.64 หมื่นล้านบาท ลดลง 3.8% อย่างไรก็ดีการส่งออกข้าวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แม้สถานการณ์จะดีขึ้นจากราคาข้าวไทยในตลาดโลกมีราคาลดลงใกล้เคียงกับคู่แข่งขัน โดยเวลานี้ข้าวขาว 5% ของไทยราคาสูงกว่าข้าวชนิดเดียวกันของเวียดนามเพียง 15-20 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน จากก่อนหน้านี้ต่างกันระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตันซึ่งเป็นผลจากในเวลานี้รัฐบาลไทยมีการระบายข้าวในสต๊อกอย่างต่อเนื่องในทุกช่องทางเพื่อนำเงินไปรับจำนำข้าวต่อ นอกจากนี้รวมถึงมีข้าวส่วนเกินโควตารับจำนำในฤดูการผลิตใหม่ที่รัฐบาลให้ไม่เกิน 3.5 แสนบาทต่อครัวเรือน ซึ่งข้าวส่วนเกินนี้ได้ทะลักสู่ตลาดในประเทศเพิ่มขึ้นราคาจึงอ่อนตัวลง ขณะที่ปกติช่วงปลายปีเป็นช่วงความต้องการข้าวของตลาดโลกลดลงดังนั้นทั้งปีนี้จึงคงตั้งเป้าหมายการส่งออกข้าวไว้ที่ 6.5 ล้านตันเช่นเดิม
++โรคตายด่วนทำกุ้งวูบเกือบ 50%
ด้านนางอำไพ หาญไกรวิไลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยรอแยล ฟรอเซนฟู๊ด จำกัด กล่าวว่า จากที่ประเทศไทยยังคงมีปัญหาของกลุ่มโรคตายด่วน (EMS) ทำให้ผลผลิตกุ้งไทยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ได้ลดลงเกือบครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และราคากุ้งปีนี้สูงมาก ดังนั้นการแปรรูปกุ้งส่งออกของบริษัทในเวลานี้ได้ลดลงกว่า 50% ทำให้รายได้ลดลงตามสัดส่วน ขณะที่สถานการณ์ไตรมาสสุดท้ายในภาพรวมอุตสาหกรรมกุ้งไทยยังไม่ดีขึ้น เพราะวัตถุดิบมีน้อย ลูกค้าต่อราคา ดังนั้นการส่งออกของไทยในปีนี้จึงยังไม่ดี และมองว่าจะต่อเนื่องถึงปีหน้า
สอดคล้องกับ ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ที่ระบุว่า การส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งของไทยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีปริมาณรวม 4.40 แสนตัน ลดลง 22% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าส่งออก 732 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้แบ่งเป็นส่งออกกุ้งสด ปริมาณ 1.49 แสนตัน ลดลง 37% โดยมีมูลค่าส่งออก 4.66 หมื่นล้านบาท , กุ้งแปรรูป ปริมาณการส่งออก 4.35 หมื่นตัน ลดลง 8% โดยมีมูลค่าส่งออก 8.06 พันล้านบาท และปลา ปริมาณส่งออก 2.46 แสนตัน ลดลง 11% มูลค่าส่งออก 1.85 หมื่นตัน
ดังนั้นทั้งปีนี้จึงคาดการส่งออกอาหารแช่เยือกแข็งในภาพรวมจะส่งออกได้เพียง 1.87 แสนตัน ติดลบ 42% มูลค่าส่งออก 5.90 หมื่นล้านบาท ส่วนการส่งออกในปีหน้าตั้งเป้าส่งออกที่ 2.80 แสนตัน มูลค่า 7.65 หมื่นล้านบาท
"การส่งออกกุ้งของสมาคมในปีหน้าคาดว่าน่าจะขยายตัวดีกว่าปีนี้ แต่ยังไม่กล้าตั้งเป้าแต่ในปีนี้ในส่วนของซีฟูด กุ้งถือว่าหนักที่สุด ปีนี้น่าจะขยายตัวลดลงจากปีก่อน 42% เนื่องจากวัตถุดิบขาดแคลนเป็นผลมาจากโรคอีเอ็มเอส" นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทยกล่าวและว่า
ส่วนปีหน้านั้นน่าจะดีขึ้นแต่คงไม่หวือหวาเท่าปี2553-2554 ประกอบกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่าง สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่นมีแนวโน้นถดถอย ทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดน้อยลง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในปีหน้านั้น ก็จะมีทั้งการขาดแคลนแรงงาน มาตรการอนุรักษ์การทำประมงแบบยั่งยืน และอัตราแลกเปลี่ยน
++สับปะรดหมดลุ้นรอปีหน้า
นางสาวกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ กรรมการบริษัท สยามอุตสาหกรรมการเกษตรอาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ SAICO ผู้ผลิตและส่งออกสับปะรดกระป๋อง กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัททั้งปีนี้คาดจะมียอดขายลดลง 10-15% จากปีที่แล้วมียอดขายประมาณ 3 พันล้านบาท มีปัจจัยหลักจากเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว และวัตถุดิบในประเทศราคาสูง จากภัยแล้งที่เกิดขึ้นช่วงต้นปีมีผลทำให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชอื่นทดแทน ทำให้โรงงานแปรรูปสับปะรดส่งออกต้องเผชิญวิกฤติสองด้าน ส่วนในปีหน้ามองว่าสถานการณ์ตลาดโลกยังไม่ดีขึ้น จึงได้มองหาตลาดใหม่ๆ ไว้เพื่อทดแทนตลาดเก่าที่หดตัวลง ซึ่งในปี 2557 บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายที่ 3 พันล้านบาท
++มันขยายตัวแต่ไม่มาก
ขณะที่นางสุรีย์ ยอดประจง นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า ยอดส่งออกมันเส้นของไทยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มี ปริมาณ 4.3 ล้านตัน คาดสิ้นปี 2556 ยอดขายจะอยู่ที่ 5 ล้านตัน เพิ่มจากปีที่แล้วที่มีการส่งออก 4.9 ล้านตัน สาเหตุปริมาณที่เพิ่มขึ้นเพราะผู้ประกอบการได้นำเข้ามันเส้นจากกัมพูชาไปส่งออก ส่วนในปีหน้าเบื้องต้นได้ประเมินผลผลิตหัวมันสดของไทยจะมีปริมาณ 28 ล้านตัน แต่จากเกิดน้ำท่วมในหลายจังหวัดคาดการณ์ผลผลิตจะลดลงเหลือ 25 ล้านตัน และคาดจะส่งออกใกล้เคียงกับปีนี้
++ดอกกล้วยไม้หดเป้าเหลือ 0%
เช่นเดียวกับนายเจตน์ มีญาณเยี่ยม นายกสมาคมผู้ส่งออกดอกกล้วยไม้ไทย ที่กล่าวว่า การส่งออกดอกกล้วยไม้ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้มีมูลค่าที่ลดลง (ส่งออก 1.47 พันล้านบาท ลดลง 3.24%) เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของตลาดหลักทั้งสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ทำให้มีความต้องการสินค้าลดลง ขณะที่มีสินค้าดอกไม้ชนิดอื่นจากจีน และจากประเทศอื่นเข้าไปแข่งขันและเป็นทางเลือกมากขึ้น ดังนั้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้สถานการณ์ส่งออกดอกกล้วยไม้คงไม่กระเตื้องขึ้นมากนัก ขณะที่ตลาดในประเทศจากความไม่สงบทางการเมืองมีผลให้การใช้ดอกกล้วยไม้เพื่องานพิธีต่างๆ ลดลง
"ต้นปี 2556 เราตั้งเป้าส่งออกดอกกล้วยไม้จะโต 5% (ปี 2555 ส่งออก 2.09 พันล้านบาท) แต่ถึง ณ เวลานี้ถ้าหากทำได้ใกล้เคียงกับปีที่แล้วหรือ 0% ก็ถือว่าดีแล้ว ส่วนปีหน้าเราหวังสถานการณ์การใช้ดอกกล้วยไม้ทั้งในและต่างประเทศจะดีขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถไว้วางใจได้ เพราะเวลานี้สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงเร็วมาก"
++อัญมณีรายใหญ่ยังกระทบ
นางประพีร์ สรไกรกิติกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดขายของบริษัทช่วง 9 เดือนปี 2556 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 10% มีปัจจัยหลักจากตลาดใหญ่ของบริษัทคือสหรัฐฯ และยุโรปเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งใน 3 เดือนสุดท้ายที่มีคำสั่งซื้อแล้ว และอยู่ในช่วงผลิตส่งมอบตัวเลขคงไม่เพิ่มขึ้นมาก จึงคาดทั้งปีนี้ยอดขายของบริษัทจะขยายตัวลดลงจากปีที่แล้วประมาณ 7-8% ส่วนในปีหน้ามองว่ามีแนวโน้มดีขึ้น จึงตั้งเป้าหมายยอดขายในเบื้องต้นจะขยายตัวไม่เกิน 10%
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,894 วันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556