เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: เมื่อดอกรักบานบนลานบัลเล่ต์#3

ตามคำเรียกร้องค่ะ ฮ่าๆๆๆ สุดท้ายก็มาต่อภาคสามจนได้สิน่า (คือจริงๆไม่มีเรื่องอื่นจะเขียนมากกว่าใช่มั้ย หึๆๆ) จริงๆไม่อยากเรียกว่าถาคสามเลยค่ะ เรียกว่าเป็นเนื้องอกดีกว่า เพราะเป้นแค่พาร์ทเล็กๆที่แตกออกมาจากสองกระทู้ที่แล้ว


สำหรับคนที่ยังไม่ได่อ่านภาคแรกและภาคสองนะคะ

ภาคแรก http://pantip.com/topic/31202537

ภาคสอง http://pantip.com/topic/31208766


หลายๆคนคงอยากรู้ว่า หลังจากนั้นแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นใช่ไหมคะ เดี๋ยว จขกท จะเล่าให้ฟัง แต่อยากให้ทำใจไว้หน่อยว่าอาจไม่ถึงกับจิกหมอนแล้ว เพราะคุณชายเธอช่างเรียบร้อยแสนซื่อจนไม่เร้าใจเอาซะเลย ฮาาาาาา

คือหลังจากวันนั้น เราก็คุยกันเรื่อยๆ จนวันนึง จขกท ก็ถามขึ้นมาลอยๆ

เรา : คิดถึงปะ
ฮี : อือ
เรา : อือ แปลว่าไรอะ
ฮี : คิดถึง
เรา : แค่ไหน?
ฮี : .............นิดนึง
เรา : ................
ฺฮี : 50 เปอร์เซ็นต์
เรา : 50 หรือ 15
ฮี : ห้า สิบ

อีกสิบนาทีถัดมาก็ถามใหม่

เรา : คราวนี้กี่เปอร์เซ็นต์ละ
ฮี : 60
เรา : 60 หรอ ไม่ใช่ 16 ใช่มะ
ฮี : (เงียบไปแป๊บนึง) 61 ละ

กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก คุยกันได้ปัญญาอ่อนเหลือเชื่อจริงๆ!!


สำหรับคนที่อยากรู้ว่าซีนตอนขอเป็นแฟนเป็นยังไง ตามนี้เลยค่ะ

เรื่องมันเกิดขึ้นในวันนึง เราได้ยินจากเพื่อนที่ ร.ร.ว่าฮีเกิดมายังไม่เคยมีแฟนเลยสักคน เราก็เลยต้องไปสืบหาความจริงจากปากซะหน่อย

เรา : นี่ ตั้งแต่เกิดมานี่เคยมีแฟนป้ะ
ฮี : ถามทำไมอะ
เรา :เอ้า อยากรู้
ฮี : ไม่เคย
เรา : จริงดิ ทำไมอะ
ฮี : I don't need girlfriend
เรา : โหย ไม่เหงาแย่เหรอ
ฮี : แต่ตอนนี้อยากมีแล้ว
เรา : (เริ่มขนลุก) เอ่อ เหรอ สาวคนไหนล่ะ ที่นิวยอร์คหรือที่นู่น
ฮี : เธอนั่นแหละ (ทื่อโคตร!!!)
เรา : เอ่อะ...
ฮี : อืม
เรา : คือ...นี่กำลังขอเราเป็นแฟนอยู่เหรอ
ฮี : ได้ไหมล่ะ
เรา : (อึ้งไปพักนึง หาลิ้นไม่เจอ) เอ่อ งั้นก็...Why not ล่ะ?
ฮี : งั้น?
เรา : งั้นอะไร?
ฮี : เราเป็นแฟนกันแล้วใช่มั้ย
เรา : ....................คงงั้นมั้ง
ฮี : อื้อ


แค่ี้จริงๆ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

แต่หลังจากนั้นก็ดูเหมือนคุณชายจะพยายามมากขึ้นในการติดต่อสื่อสารกับมนุษย์โลก เพราะโดยปกติ แม้กระทั่งภาษาญี่ปุ่นเอง คุณท่านก็ไม่ค่อยพูดเป้นประโยคเลย มาเป็นคำๆ ให้คนฟังไปเดารูปประโยคเอาเอง ไม่รู้จะประหยัดคำพูดอะไรขนาดนั้นสิน่า จนใครๆก็บอกว่าฮีมีภาษาของฮีเอง ซึ่งยากที่จะเข้าใจ

แต่ว่า...สิ่งหนึ่งที่เราต้องยอมรับฮีเลยก็คือ ความพยายามค่ะ

จากคนที่ไม่พูดภาษาอังกฤษเลย มาอยู่นิวยอร์ค 5ปี ไม่ค่อยคบเพื่อนต่างชาติ ไม่ค่อยมีเพื่อนนอกโรงเรียน ส่วนมากก็ขลุกอยู่แต่กับเพื่อนญี่ปุ่นด้วยกัน ไม่ก็ซ้อมบัลเล่ต์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ฮีจะพูดภาษาอังกฤษไม่กระดิกทั้งหูและหาง!?! แต่เมื่อมาคุยกัน สิ่งที่เราเห็นก็คือ ฮีคุยไป ทำหน้ายุ่ง เปิดดิก บางครั้งก็กูเกิ้ลแปลหาศัพท์เอา ซึ่งเราก็ค่อนข้างจะซึ้งใจทีเดียวที่คนคนนึงจะพยายามเพื่อจะคุยกับเราได้มากขนาดนี้

เมื่อวันคอนเสิร์ต ฮีอยากดูมาก แต่ในเมื่อตัวไม่ได้อยู่ที่นี่ เราก็เลยต้องใช้วิธีคลาสสิค นั่นก็คือ ถ่ายทอดสดมันซะเลย โดยการหาผู้สมรู้ร่วมคิด ช่วยถือโทรศัพท์เพื่อเปิดวีดีโอคอลล์ให้ฮีดูตั้งแต่ต้นจนจบ และที่น่าซึ้งใจพอกันือ ที่นั่นยังเช้ามาก และหลังจากซ้อมหนักมาทั้งวัน ฮีก็ยังอุตส่าห์ดูจนจบ ทั้งๆที่คงง่วงมากจริงๆ เพราะพอดูจบ ก็ขอไปนอนต่ออีกงีบ...ซึ้งง่ะ...



ถ้าถามว่าตอนนี้ถึงขั้นหวานจี๋จ๋ามั้ย บอกได้เลยว่าไม่ค่ะ เพราะว่าเราค่อยๆคุยกัน เรียนรู้กันไปวันละเล็กละน้อย (พร้อมกับให้ฮีหัดพูดมากขึ้นวันละน้อยๆด้วยเหมือนกัน) แต่ก็ดีค่ะ ไม่หวือหวาดี เนอะ ^^



แล้วช่วงนี้ก็เลยมีเรื่องให้ใจแกว่งไปแกว่งมาสนุกสนานเลยค่ะ

เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้...

เราเลิกงานก็ไปโรงเรียนตามปกติ แต่ว่าวันนี้เราก็เจอสาวแปลกหน้านั่งคุยอยู่กับซาคิเอะ(เพื่อนที่โรงเรียนที่สนิทๆกันค่ะ) และเคย์จิ ซึ่งเราก็เข้าไปง้องแง้งกับเพื่อนตามปกติ และเพื่อนก็แนะนำให้รู้จักกับสาวคนใหม่ ชื่อมิสะ ตัวเล็กๆน่ารัก เราก็ทักทายลั้นลา จนกระทั่งซาคิเอะยิ้มให้ แล้วก็บอกว่า คนนี้เป้นพี่สาวของนาย ช.!!!!

แพนจังยืนเอ๋อ...ไปไม่เป็นเลยทีเดียว เราก็ทำหน้าเหวอจนเคย์จิเดินมาจับหัวให้ก้มลงบอก ยินดีที่ได้รู้จักค่าาาาาา  TT^TT


แล้วเคย์จิก็ยื่นบัตรอะไรสักอย่างมาให้ ของ American Ballet Theatre เราก็เลย โอเคๆ ไปๆ โดยที่ยังไม่รู้เลยจริงๆว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ได้ฟรีมาก็ไปก่อนล่ะเนอะ ฮี่ๆๆ


วันนี้ตอนเช้า เราก็คุยกับ Snoopy Boy ตามปกติ ซึ่งฮีบอกว่ากำลังปั่นจักรยานกลับ ไปคาราโอเกะมา

เรา : ไปกะใครเหรอ (คือไปกะเพื่อนหรือครอบครัว)
ฮี : เพื่อนน่ะ...ผู้ชาย
เรา : อะนะ จะบอกทำไมล่ะนั่น
ฮี : ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไปกับเพื่อนผู้ชายน่ะ
เรา : ฮ่าๆๆๆ กลัวเราหึงเหรอ
ฮี : (ยิ้มแหะๆ เกาหัวแกรกๆ)
เรา : แล้วทำอะไรอยู่เหรอ
ฮี : เช็คเฟสบุ๊คน่ะ (แล้วเสียงเพลงจากลิ้งค์ที่เราโพสไว้ก็ดังลอดเข้ามา)
เรา : เธอเช็คเฟสบุ๊คชั้นเรอะ
ฮี : ง่า...อื้อ
เรา : เพื่ออออออออ?
ฮี : ไม่ได้เหรอ
เรา : เธอตามสตอล์คเราทุกวันเลยป้ะเนี่ย
ฮี : ....................................(ไปไม่เป็น แทบจะเอาหัวมุดใต้เตียง)


กว่าจะคุยเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสายแล้ว เราก็ตาลีตาเหลือกออกจากบ้าน นั่งรถไฟไปลินคอล์น เซ็นเตอร์ เพื่อไปดูอะไรสักอย่างที่เราก็ยังไม่รู้ว่าคืออะไร

เข้าไปข้างในถึงได้รู้ว่ามันเป็นคลาสคอมปะนี คือเค้ามาเทคคลาสบัลเล่ต์กันในโรงละคร และเปิดให้คนนอกเข้าชมนั่นเองค่ะ หลังจากมองหาที่เหมาะๆ ก็เจอคนคุ้นตาเข้าให้

มิสะซัง!!!!!! พี่สาวตาสนูปี้!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

แต่เมื่อหาคนอื่นไม่เจอ เราก็ส่งข้อความไปหาเคย์จิ ว่ามีใครมาบ้าง เคย์จิตอบว่า มิสะไง เราเอาตั๋วอีกใบให้เค้าไปน่ะ เมื่วานไม่ได้บอกเธอหรอกหรอ  (อา...อยากเตะคน)


และแล้วเมื่อมีกันสองคน เราก็เลยเดินเข้าไปขอนั่งข้างๆเค้าค่ะ

หลังคลาสบัลเล่ต์จบ จริงๆเรามีคลาสตอนบ่ายสองครึ่ง แต่มิสะซังอยากไปซื้อของ เราก็เลยอาสาพาไป สุดท้ายเลยกลายเป็นว่าวันนี้อยู่ด้วยกันทั้งวัน ^^" ไอ้เราก็ไม่รู้ว่าเค้าจะรู้เรื่องเรากับน้องชายเค้าหรือเปล่า ก็เลยไม่กล้าพูดค่ะ ได้แต่วืดไปวืดมาทุกครั้งที่บทสนทนาไปพาดพิงถึงอีตาคุณชาย ฮาาาาาาาาาาาาาา


แต่โดยสรุปสถานการณ์ตอนนี้คือ เราก็เลยลั้นลากับแม่เค้า และกับพี่สาวเค้าไปเรียบร้อยโรงเรียนบัลเล่ต์ เหอๆๆ แต่ทั้งสองคนน่ารักมากจริงๆค่ะ โดยเฉพาะพี่สาว เป็นครอบครัวนักบัลเล่ต์จริงๆ


ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ ^^ ถ้าอยากให้เขียนเรื่องอะไรก็คอมเม้นท์ทิ้งไว้ได้ค่ะ เผื่อ จขกท จะเอามารวบรวมเขียนให้อ่านกัน เป็นวัตถุดิบละกันเนะ ^_^


ทู้นี้ไม่ฟิน ไม่จิกหมอนเลย เค้าขอโต้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่