สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาว Pantip พอดีว่ามีโอกาสสั่ง Pebble รุ่นล่าสด สีดำ มาใช้ครับ ผมได้เขียนรีวิวอย่างละเอียดลงเว็บ Banaze.com (
ที่หน้าเว็บนี้ครับ) ไปแล้ว ขอนำ รีวิว ดังกล่าวมาลงไว้ที่นี่ด้วยครับ เผื่อใครสนใจจะสั่งซื้อครับ ^_^
ก่อนอื่น ผม ขอบอกก่อนว่ารีวิวนี้อาจจะเป็นรีวิวที่ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย และเป็นการรีวิวผลิตภัณฑ์ครั้งแรก ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับผู้ผลิตใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ ถือว่าเป็นน้องใหม่แห่งวงการรีวิวก็แล้วกัน ภาพอาจจะกากไปนิด สีสันอาจจะขัดตาหน่อยเพราะตอนถ่ายดันใช้ Effect เพิ่มความสวยเข้าไปหน่อย (ถนอมสายตา) แต่บอกก่อนเลยว่าอุปกรณ์ดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสีสันแต่อย่างใด เพราะทั้งเครื่องมันก็มีแต่ดำ เทา ขาว นั่นแหละครับ ซึ่งสเปกเบื้องต้นก็มีดังนี้ครับ
- โหลดแอพและส่งข้อมูลผ่านสัญญาณ Bluetooth
- หน้าจอขนาด 144 x 168 pixel และเป็นสี black หรือ white e-paper
- ใช้สัญญาณ Bluetooth 2.1+ EDR และ 4.0 (ประหยัดพลังงาน)
- มีปุ่ม 4
- Vibrating motor
- 3 axis accelerometer with gesture detection
- Distribute apps via Pebble watchapp store
- ใช้งานได้ดีบน iPhone 3GS, 4, 4S กับระบบปฎิบัติการ iOS 5 or รวมถึง iPod Touch ด้วย iOS 5. และยังสามารถใช้ได้ดีกับ Android เวอร์ชั่น 2.3 ขึ้นไป ทั้งนี้จะทำงานได้ดีบน 4.0 ขึ้นไปนะครับ
- Battery ใช้ได้ 5-7 วัน
ก่อนอื่นต้องขอพรรณาเกี่ยวกับตัวผลิตภัณกันก่อนเลยนะครับ เจ้า Pebble (เพบเบิ้ล) ตัวนี้มันคือ Smart Watch นั่นเองครับ และไม่ได้เป็น Smart Watch แบบ Samsung Gear หรือ Sony Smart Watch หรือแม้แต่ Apple iWatch นะครับ … ตัวนี้เป็นแบบอุปกรณ์ Digital กึ่ง Analog (ผมให้ความหมายเอาเองนะครับ ไม่รู้ว่าศัพท์เทคนิคเรียกว่าอะไรล่ะ) ซึ่งพิเศษกว่าอุปกรณ์ที่กล่าวมาก่อนหน้าทั้ง 3 ตัวคือ เจ้า Pebble ใช้งานได้ทั้ง 2 ระบบคือ Android และ iOS ครับ จะด้อนกว่าเขาก็ตรงที่ไม่ได้มีจอ Touch Screen ที่มีสีสันแต่อย่างใด แต่ก็มั่นใจได้ว่าปุ่มด้านข้างที่คล้ายจะเป็น Analog นั้นแข็งแรง และมั่นใจว่าใช้ไปได้อีกนานทีเดียวเลย
ความเป็นมาของ Pebble นั้นมีประวัติที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยก็ต้องบอกเลยว่าขอ Copy ข้อมูลจากเว็บชาวบ้านมาก่อนละกันนะครับ พิมพ์ไม่ไหว ยาวไป … เรื่องก็มีอยู่ว่า Pebble นั้นเปรียบได้ว่าเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่สร้างปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในโลกเทคโนโลยีก็คือ Pebble ตัวนี้เกิดและเติบโตขึ้นมาจากการเป็นโปรเจ็กต์ระดมทุนบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Kickstarter.com (หน้าเว็บระดมทุน Pebble) แหล่งสำหรับการนำไอเดียสร้างสรรค์ไปขอทุนจากคนออนไลน์ทั่วโลกเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง Pebble สร้างประวัติการณ์ด้วยการระดมทุนได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นก็เกิด Pebble ตัวเป็น ๆ ขึ้นมาให้เราได้สัมผัสกันจนทุกวันนี้
โดยผลิตภัณฑ์ที่ออกมาให้ผลโฉมและจับจองกันนั้นมีอยู่ 5 สี ตามภาพด้านบนครับคือ สีขาว สีแดงดำ สีเทาดำ สีดำ และสีส้มดำครับ ทั้งนี้ใครสั่งซื้อมาใช้ แล้วไม่พอใจ หรืออยากลิ้มรสใหม่ ๆ ด้วยการเปลี่ยนสาย ก็สามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนเป็นสายที่คุณชื่นชอบได้ ซึ่งในที่นี้ผมจัดสีดำมาด้วยความชอบส่วนตัวครับ และน่าจะเป็นสีที่ฮิตสุด ๆ แล้วล่ะครับ
พอมาถึงจุดนี้เพื่อน ๆ คงอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าผมได้เครื่องนี้มาได้อย่างไร เริ่มสั่งซื้อที่ไหน อย่างไร … ครับ เริ่มจากการเข้าไปสั่งซื้อผ่านเว็บของ Pebble โดยตรงเลยครับที่ www.getpebble.com จากนั้นเลือก Checkout Now เลยครับ สำหรับเพื่อนๆที่อยู่ในสหรัฐเลือกปุ่ม United States นะครับ ส่วนเพื่อน ๆ ที่อยู่นอกสหรัฐหรือทวีปอื่น ๆ ให้เลือกปุ่ม Rest of World ครับ จากนั้นก็ทำธุรกรรมได้เลย ซึ่งราคาก็อยู่ที่ $150 นะครับคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4600-4800 บาทขึ้นอยู่กับค่าเงิน ณ ตอนที่เพื่อน ๆ สั่งซื้อครับ (ของผมโดนไป 4687.14 บาท) แนะนำว่าต้องใช้บัตรเครดิตนะครับ เพราะสามารถทำธุรกรรมได้ง่าย กรอกหมายเลขบัตรเครดิต วันหมดอายุบัตร รหัสลับ รวมถึง ที่อยู่จัดส่ง (อังกฤษทั้งหมดนะครับ กรอกไทยไปไม่ผ่านแน่นอน บอกไว้ก่อนเดี๋ยวจะเสียเวลาครับ) และอีเมลด้วยครับ กรอกเสร็จ กดสั่งซื้อได้เลย
หลังจากเราสั่งซื้อไปจะมี Confirm Email แจ้งเตือนยืนยันการสั่งซื้อดังกล่าวไปที่อีเมลครับ เราก็เชคให้เรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นครับ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ของส่งมาจาก Hong Kong นะครับ เมื่อเค้าจัดส่งเรียบร้อยจะมีอีเมลแจ้งเตือน รหัสพัสดุ มาให้เราซึ่งจะเป็นบริการของ DHL ครับใช้เวลาประมาณ 2 วันก็มาถึงแล้วครับ ลัดฟ้ามาลงที่สุวรรณภูมิ ก่อนถึงมือเรา DHL จะโทรมาแจ้งเรื่องภาษีครับซึ่งต้องเสียเพิ่มประมาณ 807 บาท รวม ๆ แล้วการสั่งซื้อก็ 5500 บาทครับ (ตกกะใจเหมือนกัน แพงได้อีกนะ 555+)
ภาพประกอบแรกที่ขอนำมาแสดงให้เพื่อนๆดู คือใบแจ้งหนี้ ตอนเขามาส่งของนี่แหละครับ ภายใน Invoice ก็จะบอกรายละเอียดสินค้า มูลค่าสินค้า น้ำหนัก วันจัดส่ง ภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นะครับ ส่วนนี้ก็คือ 807 บาทที่กล่าวไว้ข้างต้นครับ ก็ตามรูปนี้เลยครับ
หลังจากที่ไปยืนรอ DHL เพื่อรับของ ก็ได้มาซักที เกือบเป็นลมเหมือนกันตรงภาษี 807 บาทอ่ะ รับของแบบมือสั่น ๆ ฮ่า ๆ แต่ไม่เป็นรัย แลกับเวลา คือเราได้ของเร็วมาก ก็จัดไป ได้มาแล้วก็เต็มที่ล่ะทีนี้ ขอถ่ายภาพมาโชว์กล่องก่อนเลยละกันครับ
โชว์กล่องเรียบร้อย น่าจะครบเกือบทุกด้านละ คราวนี้ก็เปิดออกซะเลย หน้าตาก็เป็นแบบนี้ครับ (เครื่องที่ผมได้มาคือ Model 301BL ได้มาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2013 นะครับ) เปิดกล่องออกมาก็จะมี ตัวเรือนนาฬิกา + สายชาร์ต + คู่มือ ครับ ตามภาพเลยครับผม ย้ำว่าบางและเบามาก ๆ
ว่าแล้วเราก็เริ่มกันเลย!! ก่อนอื่นโหลด Application มาลงเครื่องเราก่อนครับ Search ว่า Pebble เจอแน่นอนครับ ถ้าไม่เจอก็คลิกไปตามนี้เลยนะครับ (
เข้าไปหน้าเว็บนี้ มันจะมีปุ่มให้ไปยังหน้าดาวน์โหลดแอพเลยครับ ผมทำไว้ให้แล้ว กันงง!) หรือไม่ก็
Android |
iOS
โหลดเสร็จก็ติดตั้งลง Smart phone ให้เรียบร้อยครับ (ของผมจะใช้อุปกรณ์ของ Android นะครับซึ่งก็คือรุ่น The new HTC One – M7 ดังภาพครับ) ลงแอพเสร็จเรียบร้อย ก็ไปดูเจ้า Pebble เสียบสายชาร์ต โดยเสียแบบง่ายๆ แค่แหย่เบา ๆ มันก็เข้ากันเองครับ (อิอิ มันมีแม่เหล็กง่ะ) จากนั้น กดปุ่มใดปุ่มหนึ่งค้างไว้ซัก 2-3 วินาที เครื่องก็จะเปิดขึ้น จากนั้นไปที่ Smart Phone ของเราเปิดแอพ Pebble ขึ้นมาเลยครับ (ใครยังไม่เปิด Bluetooth มันก็จะบังคับให้เปิด – ก็ต้องเข้าใจนะครับมันเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณบลูทูธนี่นา) มันก็จะทำการหาอุปกรณ์ Pebble กันเอง หาซักแป๊ปมันก็เจอเนื้อคู่ของมันเอง พอเจอเราก็กด Connect ครับ จากนั้นรอซักพักใหญ่ ๆ (ขึ้นยู่กับความเร็วเน็ตครับ) มันจะอัพเดทแอพลิเคชั่นของมัน พอเรียบร้อยนาฬิกาก็จะโฟล่ขึ้นมาให้เราได้ยลโฉมและพร้อมใช้งานได้ทันทีครับ
แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ สิ่งแรกที่ผมรีบทำก่อนเลยคือการทดสอบการ Control เพลงครับ ก็เป็นดั่งภาพอ่าครับ ใช้ได้ดีทีเดียว ฮ่า ๆ สมใจอยากอ่าดิทีนี้ (ในภาพเป็นเพลงของ Bruno Mars ครับ ชื่อเพลง Treasure)
ส่วนเรื่องการใช้ Application ของ Pebble นั้นไม่ได้มีอะไรยากครับมีตั้งค่าอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง มาดูส่วนขอ Application UI กันเบื้องต้นนะครับ
และยังสามารถดาวน์โหลด Theme ได้อีกด้วย ซึ่งส่วนนี้มันก็มีอีกทางเลือกคือหา App เสริมใน Google Play หรือ App Store นั่นแหละครับหาด้วยคำว่า Pebble ก็จะเจอแอพที่หลากหลายผู้พัฒนา พัฒนาไว้รองรับเจ้า Pebble ครับ ก็ไม่มีอะไรมากส่วนใหญ่จะเป็น Customize ดีไซน์ UI และแสดงภูมิอากาศอารายพวกนั้นอ่าครับ
แอพที่ ผมลงไปเล่น ๆ ก็มีพวก Customize ดีไซน์ คือเราสามารถเลื่อนเอาได้ว่าจะให้ อะไรอยู่มุมไหนของจอ ซึ่ง App ที่ผมโหลดเพิ่มชื่อว่า “Canvas for Pebble” ซึ่งเพื่อนๆสามารถหาโหลดฟรีได้ในสโตร์ครับ นอกจากนั้นผมยังลองลง App ชื่อ “Watch Trigger” ซึ่งให้เราสามารถถ่ายรูปโดยกดปุ่มชัตเตอร์บนเจ้า Pebble ได้อย่างง่ายดาย ตัวนี้เป็นประโยชน์กับผมมาก เพราะเพื่อน ๆ และสาว ๆ ชอบรุมมาถ่ายรูปกันเป็นหมู่คณะ (ก็หล่อซะขนาดนี้อ่านะ 55+ หล่อ…ไปหมด) เวลารุมกันถ่าย ก็จะมีคนนึงที่ต้องยื่นเจ้า Smart Phone ไปข้างหน้า แล้วปัญหามันก็จะเปิดว่าแล้วใครจะกดปุ่มชัตเตอร์ล่ะ (โทรสัพท์รุ่นหลัง ๆ เริ่มมี Solution นี้ แต่ส่วนใหญ่ยัง) งานนี้ก็แก้ปัญหาไปได้เลย เพราะในขณะที่วานให้อีกคนที่อยู่ข้างหน้าถือกล้องผมก็จัดการกดชัตเตอร์บน Pebble ได้ทันที ง่ายดาย ไม่เมื่อยมือเลยทีเดียว ฮ่าๆ เป็นอันเรียบร้อย หลักจากลงแอพ อะไรเรียบร้อย หน้าตามันก็จะเข้าไปอยู๋ในเมนูประมาณนี้แหละครับ (แอพอื่น ๆ สำหรับ Pebble Android สำหรับ iOS ลองค้นหาในลักษณะเดียวกันนี้ดูนะครับ)
เรียบร้อยแล้วครับ ณ ตอนนี้ก็อวดโฉมไปทุกสถานที่เลยครับ ใช้งานง่าย บางและเบา ที่สำคัญดีไซน์แบบนี้ใส่ไปอีก 2 ปียังไม่เชยเลยครับ สวยทีเดียว เวลาเพื่อนโทรเข้ามาก็ไม่ต้องควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกต่อไป บางวันใส่เดฟรัดแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องควักให้เรื่องเยอะ เพื่อนโทรมามันก็จะเตือนเราบนหน้าจอ Pebble ว่าเป็นใคร ไม่อยากรับก็กดปุ่มวางไปได้เลย อยากฟังเพลง เปลี่ยนเพลง ก็สามารถทำได้ง่ายสบายมาก ยังไม่รวมถึงฟังก์ชั่นอื่น ๆ อีกเยอะแยะเช่น นาฬิกาตั้งเวลา นาฬิกาปลุก ปฏิทิน แสดงความจะแบตเตอรี่ของโทรศัพท์เรา ตั้งหมวดAirPlane เปลี่ยนรูปแบบเสียงเรียกเข้า รับการแจ้งเตือน Notification อีเมล หรือแม้แต่ข้อความสนทนาบนเฟสบุ๊ค และอื่น ๆ อีกอย่างแบตเตอรี่ของ Pebble อยู่ได้ 5-7 วันเลยทีเดียว ขอพอแค่นี้ก่อนครับ เพื่อนๆอยากติดตามรายละเอียดและรูปเพิ่มก็คลิกไปอ่านที่ผมเคยรีวิวไว้ที่ Banaze ได้ครับผม ^_^ ใครใช้แล้วหรืออยากใช้ แชร์ประสบการณ์กันได้นะครับ
[CR] รีวิว Pebble สุดยอด SmartWatch สำหรับ Android และ iOS พร้อมวิธีใช้งาน
ก่อนอื่น ผม ขอบอกก่อนว่ารีวิวนี้อาจจะเป็นรีวิวที่ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย และเป็นการรีวิวผลิตภัณฑ์ครั้งแรก ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับผู้ผลิตใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ ถือว่าเป็นน้องใหม่แห่งวงการรีวิวก็แล้วกัน ภาพอาจจะกากไปนิด สีสันอาจจะขัดตาหน่อยเพราะตอนถ่ายดันใช้ Effect เพิ่มความสวยเข้าไปหน่อย (ถนอมสายตา) แต่บอกก่อนเลยว่าอุปกรณ์ดังกล่าว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสีสันแต่อย่างใด เพราะทั้งเครื่องมันก็มีแต่ดำ เทา ขาว นั่นแหละครับ ซึ่งสเปกเบื้องต้นก็มีดังนี้ครับ
- โหลดแอพและส่งข้อมูลผ่านสัญญาณ Bluetooth
- หน้าจอขนาด 144 x 168 pixel และเป็นสี black หรือ white e-paper
- ใช้สัญญาณ Bluetooth 2.1+ EDR และ 4.0 (ประหยัดพลังงาน)
- มีปุ่ม 4
- Vibrating motor
- 3 axis accelerometer with gesture detection
- Distribute apps via Pebble watchapp store
- ใช้งานได้ดีบน iPhone 3GS, 4, 4S กับระบบปฎิบัติการ iOS 5 or รวมถึง iPod Touch ด้วย iOS 5. และยังสามารถใช้ได้ดีกับ Android เวอร์ชั่น 2.3 ขึ้นไป ทั้งนี้จะทำงานได้ดีบน 4.0 ขึ้นไปนะครับ
- Battery ใช้ได้ 5-7 วัน
ก่อนอื่นต้องขอพรรณาเกี่ยวกับตัวผลิตภัณกันก่อนเลยนะครับ เจ้า Pebble (เพบเบิ้ล) ตัวนี้มันคือ Smart Watch นั่นเองครับ และไม่ได้เป็น Smart Watch แบบ Samsung Gear หรือ Sony Smart Watch หรือแม้แต่ Apple iWatch นะครับ … ตัวนี้เป็นแบบอุปกรณ์ Digital กึ่ง Analog (ผมให้ความหมายเอาเองนะครับ ไม่รู้ว่าศัพท์เทคนิคเรียกว่าอะไรล่ะ) ซึ่งพิเศษกว่าอุปกรณ์ที่กล่าวมาก่อนหน้าทั้ง 3 ตัวคือ เจ้า Pebble ใช้งานได้ทั้ง 2 ระบบคือ Android และ iOS ครับ จะด้อนกว่าเขาก็ตรงที่ไม่ได้มีจอ Touch Screen ที่มีสีสันแต่อย่างใด แต่ก็มั่นใจได้ว่าปุ่มด้านข้างที่คล้ายจะเป็น Analog นั้นแข็งแรง และมั่นใจว่าใช้ไปได้อีกนานทีเดียวเลย
ความเป็นมาของ Pebble นั้นมีประวัติที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยก็ต้องบอกเลยว่าขอ Copy ข้อมูลจากเว็บชาวบ้านมาก่อนละกันนะครับ พิมพ์ไม่ไหว ยาวไป … เรื่องก็มีอยู่ว่า Pebble นั้นเปรียบได้ว่าเป็นนาฬิกาอัจฉริยะที่สร้างปรากฎการณ์ที่น่าสนใจในโลกเทคโนโลยีก็คือ Pebble ตัวนี้เกิดและเติบโตขึ้นมาจากการเป็นโปรเจ็กต์ระดมทุนบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Kickstarter.com (หน้าเว็บระดมทุน Pebble) แหล่งสำหรับการนำไอเดียสร้างสรรค์ไปขอทุนจากคนออนไลน์ทั่วโลกเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง Pebble สร้างประวัติการณ์ด้วยการระดมทุนได้มากกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากนั้นก็เกิด Pebble ตัวเป็น ๆ ขึ้นมาให้เราได้สัมผัสกันจนทุกวันนี้
โดยผลิตภัณฑ์ที่ออกมาให้ผลโฉมและจับจองกันนั้นมีอยู่ 5 สี ตามภาพด้านบนครับคือ สีขาว สีแดงดำ สีเทาดำ สีดำ และสีส้มดำครับ ทั้งนี้ใครสั่งซื้อมาใช้ แล้วไม่พอใจ หรืออยากลิ้มรสใหม่ ๆ ด้วยการเปลี่ยนสาย ก็สามารถทำได้ด้วยการเปลี่ยนเป็นสายที่คุณชื่นชอบได้ ซึ่งในที่นี้ผมจัดสีดำมาด้วยความชอบส่วนตัวครับ และน่าจะเป็นสีที่ฮิตสุด ๆ แล้วล่ะครับ
พอมาถึงจุดนี้เพื่อน ๆ คงอยากรู้แล้วใช่มั้ยครับว่าผมได้เครื่องนี้มาได้อย่างไร เริ่มสั่งซื้อที่ไหน อย่างไร … ครับ เริ่มจากการเข้าไปสั่งซื้อผ่านเว็บของ Pebble โดยตรงเลยครับที่ www.getpebble.com จากนั้นเลือก Checkout Now เลยครับ สำหรับเพื่อนๆที่อยู่ในสหรัฐเลือกปุ่ม United States นะครับ ส่วนเพื่อน ๆ ที่อยู่นอกสหรัฐหรือทวีปอื่น ๆ ให้เลือกปุ่ม Rest of World ครับ จากนั้นก็ทำธุรกรรมได้เลย ซึ่งราคาก็อยู่ที่ $150 นะครับคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 4600-4800 บาทขึ้นอยู่กับค่าเงิน ณ ตอนที่เพื่อน ๆ สั่งซื้อครับ (ของผมโดนไป 4687.14 บาท) แนะนำว่าต้องใช้บัตรเครดิตนะครับ เพราะสามารถทำธุรกรรมได้ง่าย กรอกหมายเลขบัตรเครดิต วันหมดอายุบัตร รหัสลับ รวมถึง ที่อยู่จัดส่ง (อังกฤษทั้งหมดนะครับ กรอกไทยไปไม่ผ่านแน่นอน บอกไว้ก่อนเดี๋ยวจะเสียเวลาครับ) และอีเมลด้วยครับ กรอกเสร็จ กดสั่งซื้อได้เลย
หลังจากเราสั่งซื้อไปจะมี Confirm Email แจ้งเตือนยืนยันการสั่งซื้อดังกล่าวไปที่อีเมลครับ เราก็เชคให้เรียบร้อยเป็นอันเสร็จสิ้นครับ สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยู่ในประเทศไทยนั้น ของส่งมาจาก Hong Kong นะครับ เมื่อเค้าจัดส่งเรียบร้อยจะมีอีเมลแจ้งเตือน รหัสพัสดุ มาให้เราซึ่งจะเป็นบริการของ DHL ครับใช้เวลาประมาณ 2 วันก็มาถึงแล้วครับ ลัดฟ้ามาลงที่สุวรรณภูมิ ก่อนถึงมือเรา DHL จะโทรมาแจ้งเรื่องภาษีครับซึ่งต้องเสียเพิ่มประมาณ 807 บาท รวม ๆ แล้วการสั่งซื้อก็ 5500 บาทครับ (ตกกะใจเหมือนกัน แพงได้อีกนะ 555+)
ภาพประกอบแรกที่ขอนำมาแสดงให้เพื่อนๆดู คือใบแจ้งหนี้ ตอนเขามาส่งของนี่แหละครับ ภายใน Invoice ก็จะบอกรายละเอียดสินค้า มูลค่าสินค้า น้ำหนัก วันจัดส่ง ภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นะครับ ส่วนนี้ก็คือ 807 บาทที่กล่าวไว้ข้างต้นครับ ก็ตามรูปนี้เลยครับ
หลังจากที่ไปยืนรอ DHL เพื่อรับของ ก็ได้มาซักที เกือบเป็นลมเหมือนกันตรงภาษี 807 บาทอ่ะ รับของแบบมือสั่น ๆ ฮ่า ๆ แต่ไม่เป็นรัย แลกับเวลา คือเราได้ของเร็วมาก ก็จัดไป ได้มาแล้วก็เต็มที่ล่ะทีนี้ ขอถ่ายภาพมาโชว์กล่องก่อนเลยละกันครับ
โชว์กล่องเรียบร้อย น่าจะครบเกือบทุกด้านละ คราวนี้ก็เปิดออกซะเลย หน้าตาก็เป็นแบบนี้ครับ (เครื่องที่ผมได้มาคือ Model 301BL ได้มาเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2013 นะครับ) เปิดกล่องออกมาก็จะมี ตัวเรือนนาฬิกา + สายชาร์ต + คู่มือ ครับ ตามภาพเลยครับผม ย้ำว่าบางและเบามาก ๆ
ว่าแล้วเราก็เริ่มกันเลย!! ก่อนอื่นโหลด Application มาลงเครื่องเราก่อนครับ Search ว่า Pebble เจอแน่นอนครับ ถ้าไม่เจอก็คลิกไปตามนี้เลยนะครับ (เข้าไปหน้าเว็บนี้ มันจะมีปุ่มให้ไปยังหน้าดาวน์โหลดแอพเลยครับ ผมทำไว้ให้แล้ว กันงง!) หรือไม่ก็ Android | iOS
โหลดเสร็จก็ติดตั้งลง Smart phone ให้เรียบร้อยครับ (ของผมจะใช้อุปกรณ์ของ Android นะครับซึ่งก็คือรุ่น The new HTC One – M7 ดังภาพครับ) ลงแอพเสร็จเรียบร้อย ก็ไปดูเจ้า Pebble เสียบสายชาร์ต โดยเสียแบบง่ายๆ แค่แหย่เบา ๆ มันก็เข้ากันเองครับ (อิอิ มันมีแม่เหล็กง่ะ) จากนั้น กดปุ่มใดปุ่มหนึ่งค้างไว้ซัก 2-3 วินาที เครื่องก็จะเปิดขึ้น จากนั้นไปที่ Smart Phone ของเราเปิดแอพ Pebble ขึ้นมาเลยครับ (ใครยังไม่เปิด Bluetooth มันก็จะบังคับให้เปิด – ก็ต้องเข้าใจนะครับมันเชื่อมต่อกันผ่านสัญญาณบลูทูธนี่นา) มันก็จะทำการหาอุปกรณ์ Pebble กันเอง หาซักแป๊ปมันก็เจอเนื้อคู่ของมันเอง พอเจอเราก็กด Connect ครับ จากนั้นรอซักพักใหญ่ ๆ (ขึ้นยู่กับความเร็วเน็ตครับ) มันจะอัพเดทแอพลิเคชั่นของมัน พอเรียบร้อยนาฬิกาก็จะโฟล่ขึ้นมาให้เราได้ยลโฉมและพร้อมใช้งานได้ทันทีครับ
แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ สิ่งแรกที่ผมรีบทำก่อนเลยคือการทดสอบการ Control เพลงครับ ก็เป็นดั่งภาพอ่าครับ ใช้ได้ดีทีเดียว ฮ่า ๆ สมใจอยากอ่าดิทีนี้ (ในภาพเป็นเพลงของ Bruno Mars ครับ ชื่อเพลง Treasure)
ส่วนเรื่องการใช้ Application ของ Pebble นั้นไม่ได้มีอะไรยากครับมีตั้งค่าอยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง มาดูส่วนขอ Application UI กันเบื้องต้นนะครับ
และยังสามารถดาวน์โหลด Theme ได้อีกด้วย ซึ่งส่วนนี้มันก็มีอีกทางเลือกคือหา App เสริมใน Google Play หรือ App Store นั่นแหละครับหาด้วยคำว่า Pebble ก็จะเจอแอพที่หลากหลายผู้พัฒนา พัฒนาไว้รองรับเจ้า Pebble ครับ ก็ไม่มีอะไรมากส่วนใหญ่จะเป็น Customize ดีไซน์ UI และแสดงภูมิอากาศอารายพวกนั้นอ่าครับ
แอพที่ ผมลงไปเล่น ๆ ก็มีพวก Customize ดีไซน์ คือเราสามารถเลื่อนเอาได้ว่าจะให้ อะไรอยู่มุมไหนของจอ ซึ่ง App ที่ผมโหลดเพิ่มชื่อว่า “Canvas for Pebble” ซึ่งเพื่อนๆสามารถหาโหลดฟรีได้ในสโตร์ครับ นอกจากนั้นผมยังลองลง App ชื่อ “Watch Trigger” ซึ่งให้เราสามารถถ่ายรูปโดยกดปุ่มชัตเตอร์บนเจ้า Pebble ได้อย่างง่ายดาย ตัวนี้เป็นประโยชน์กับผมมาก เพราะเพื่อน ๆ และสาว ๆ ชอบรุมมาถ่ายรูปกันเป็นหมู่คณะ (ก็หล่อซะขนาดนี้อ่านะ 55+ หล่อ…ไปหมด) เวลารุมกันถ่าย ก็จะมีคนนึงที่ต้องยื่นเจ้า Smart Phone ไปข้างหน้า แล้วปัญหามันก็จะเปิดว่าแล้วใครจะกดปุ่มชัตเตอร์ล่ะ (โทรสัพท์รุ่นหลัง ๆ เริ่มมี Solution นี้ แต่ส่วนใหญ่ยัง) งานนี้ก็แก้ปัญหาไปได้เลย เพราะในขณะที่วานให้อีกคนที่อยู่ข้างหน้าถือกล้องผมก็จัดการกดชัตเตอร์บน Pebble ได้ทันที ง่ายดาย ไม่เมื่อยมือเลยทีเดียว ฮ่าๆ เป็นอันเรียบร้อย หลักจากลงแอพ อะไรเรียบร้อย หน้าตามันก็จะเข้าไปอยู๋ในเมนูประมาณนี้แหละครับ (แอพอื่น ๆ สำหรับ Pebble Android สำหรับ iOS ลองค้นหาในลักษณะเดียวกันนี้ดูนะครับ)
เรียบร้อยแล้วครับ ณ ตอนนี้ก็อวดโฉมไปทุกสถานที่เลยครับ ใช้งานง่าย บางและเบา ที่สำคัญดีไซน์แบบนี้ใส่ไปอีก 2 ปียังไม่เชยเลยครับ สวยทีเดียว เวลาเพื่อนโทรเข้ามาก็ไม่ต้องควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกต่อไป บางวันใส่เดฟรัดแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องควักให้เรื่องเยอะ เพื่อนโทรมามันก็จะเตือนเราบนหน้าจอ Pebble ว่าเป็นใคร ไม่อยากรับก็กดปุ่มวางไปได้เลย อยากฟังเพลง เปลี่ยนเพลง ก็สามารถทำได้ง่ายสบายมาก ยังไม่รวมถึงฟังก์ชั่นอื่น ๆ อีกเยอะแยะเช่น นาฬิกาตั้งเวลา นาฬิกาปลุก ปฏิทิน แสดงความจะแบตเตอรี่ของโทรศัพท์เรา ตั้งหมวดAirPlane เปลี่ยนรูปแบบเสียงเรียกเข้า รับการแจ้งเตือน Notification อีเมล หรือแม้แต่ข้อความสนทนาบนเฟสบุ๊ค และอื่น ๆ อีกอย่างแบตเตอรี่ของ Pebble อยู่ได้ 5-7 วันเลยทีเดียว ขอพอแค่นี้ก่อนครับ เพื่อนๆอยากติดตามรายละเอียดและรูปเพิ่มก็คลิกไปอ่านที่ผมเคยรีวิวไว้ที่ Banaze ได้ครับผม ^_^ ใครใช้แล้วหรืออยากใช้ แชร์ประสบการณ์กันได้นะครับ