มหาตัณหาสังขยสูตร ฯ
ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน อริยวินัย สิ่งที่เรียกว่า "โลหิต" นั้น หมายถึง น้ำนมแห่งมารดา --------- (ใครค้าน พุทธดำรัสนี้?)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลายแล้ว -------------------------------- อินทรีย์ นี้ ทรงระบุว่า ได้แก่?
กำหนดตาม ธรรม ๔ ที่ใครค้านไม่ได้ ฯ
เล่นอยู่ด้วยของเล่นสำหรับทารก
กล่าวคือ ฯลฯ
(ใครว่า "ขณะกุมารเล่นของเล่นนั้น" ย่อมต้องมี ปฏิจจสมุปบาท ก่อน เกิดในครรภ์มารดา บ้าง)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุมารนั้น อาสัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลายแล้ว ------------------------------ อินทรีย์ ๖ ด้วย อินทรีย์ ๕ ด้วย มั๊ย
(ยังไม่ใช่ อินทรีย์ แห่ง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ใช่หรือไม่?)
(จึง) เป็นผู้อิ่มเอิบเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า ---------------------------------------------------- ไม่ได้ตรัส เนื่องด้วย กาม คือ สังกัปปะราคะ
ให้เขาบำเรออยู่ทางตา ด้วยรูปทั้งหลาย ใช่มั๊ย ?
ทางหู ด้วยเสียงทั้งหลาย
ทางจมูก ด้วยกลิ่นทั้งหลาย
ทางลิ้น ด้วยรสทั้งหลาย
และทางกาย ด้วยสัมผัสทางผิวกายทั้งหลาย ---------------------------------------------------- เนื่องกับ ผัสสายตนะ ๖ มั๊ย?
(กำหนดที่ ธรรม ๔ อย่างที่ใครค้านไม่ได้ ว่า ที่ตรัสข้างบน เนื่องกับ ธาตุ ๖ / ผัสสายตนะ ๖/ มโนปวิจาร ๑๘ แล้วหรือยัง)
ล้วนแต่น่าปรารถนา น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ -------------------------------------------------- ธรรมทั้งปวง มีฉันทะเป้นมูลราก มั๊ย?
มีภาวะ เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ------------------------------------------------------------------ เนื่องกับ ตัณหา - ปียรูปสาตรูป มั๊ย ?
(^^^ อาการ ตามนิยามคำว่า อิทัปปัจจยตา มั๊ย?)
เป็นที่เข้าไปตั้งอาสัยอยู่แห่งความใคร่ ------------------------------------------------------- เนื่องกับ "อาการ " ปรมัตถ์ อะไร?

เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด นำมาซึ่งความรัก (ของกุมารนั้น) ------------------------------- เนื่องกับ "อาการ" ปรมัตถ์ อะไร?
(พิจารณา ที่ตรัสต่อ)
กุมารนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยตาแล้ว ------------------------------------------------------------ กำหนด ครั้งแรกสุดๆ
ได้ยินเสียงด้วยหู ฯลฯ ที่เนื่องกับ อาการ
รู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วย มโนวิญญาณ (ใจ) แล้ว ----------------------------------------------- เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้มี สิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงมีขึ้น
(คือ อิทัปปัจจยตา
ก่อน มีปฏิจจฯ ๑๑ อาการ ที่ตรัสตั้งต้นที่ "เพราะมี" อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะคือ ตา ผัสสะ เวทนา ตัณหา ใช่หรือไม่?)
ย่อม
กำหนัดยินดีในรูปและเสียงเป็นต้น -----------------------------------------
เพราะมี มโนปวิจาร ๑๘ ใช่มั๊ย ?
อันมีลักษณะ เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ------------------------------------------------------ เนื่องกับ อนุสัย ๓ เพราะ เวทนา ๓ มั๊ย?
ย่อมขัดเคืองในรูปและเสียงเป็นต้น -----------------------------------------------------
เพราะมี มโนปวิจาร ๑๘ ใช่มั๊ย ?
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความชัง ----------------------------------------------------- เนื่องกับ อนุสัย ๓ เพราะ เวทนา ๓ มั๊ย?
[(ไม่ตรัส ย่อมเฉยๆ ในรูปและเสียงเป้นต้น อันมีลักษณะ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความรัก (positive) - ความชัง (negative)]
(อิทัปปัจจยตา ข้างบน เพราะ)
กุมารนั้น ย่อมมี "จิตใจ" ----------------------------------------------------------------สำนวนแปลที่ผมอ้างนี้ ดู พระบาลีด้วยฯ
ด้อยด้วยคุณธรรม ---------------------------------------------------------------------- อันเป็น อริยะ ใช่ไหม?
อยู่โดยปราศจากสติ -------------------------------------------------------------------- สัมมาสติขั้นไหน? ก่อนบรรลุอรหัตตผลแล้ว หรือว่าฯลฯ
อันเข้าไปตั้งไว้ใน
กาย ด้วย ---------------------------------------------------- กาย คือ อะไร ตาม พระสูตรไหน
กาย ก่อนบรรลุอรหัตตผลแล้ว หรือว่าฯลฯ
(เหตุ ตามด้วย ผล ตามที่ตรัสต่อมาว่า)
(กุมารนั้น) ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง ------------------------------------------------ ครั้งแรกสุดๆ แล้ว ต่อๆ มา (เป็นต้นว่า กรณี อุปติสสะฯ)
ซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ --------------------------------------------------------
ตรัส จิตวิมุตติ ก่อน เจตสิกวิมุตติ ใช่ไหม?
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลายด้วย ---------------- ธรรมนี้ คือ ธรรม ?
(เพ่งที่ตรัสต่อ ว่า เกิด ปฎิจจฯ ใช่หรือไม่?)
กุมารนั้น
เมื่อประกอบด้วยความยินดียินร้ายอยู่เช่นนี้ -------------------------------------- ครั้งแรก และครั้งต่อๆ มา ฯลฯ
เสวย เวทนาใดๆ อยู่
เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม -------------------------- อาการนี้ ตรัส "เวทนา ๓" ตรัส อทุกขมสุขเวทนา
เพราะ เสวยเวทนา ด้วย ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง
ด้วยเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
(แปลว่า ? / ผัสสะหก ตรัสแค่ เวทนา ๒ / เสวยเวทนา อันเกิดจากอายตนะสัมผัส ตรัส เวทนา ๓ ใช่หรือไม่?)
เขาย่อม เพลิดเพลิน ----------------------------------------------------------- คือ นันทิ (ใดในเวทนา) นันทิ คือ อุปาทาน ใช่ หรือไม่?
นันทิเกิด ปฏิจจสมุปบาท เกิด ใช่หรือไม่?
(ดู ที่ตรัสต่อเอง)
จบความนำ
---------------
สรุป
(๑)
กำหนด อาการ อุปาทาน ครั้งแรก ตามมหาตัณหาสังขยสูตรที่อ้างข้างบน คือ นันทิครั้งแรกของกุมาร (ที่ต่อมาคือเราๆ ท่านๆ ผมด้วย)
-----> ใช่หรือไม่? ( ตามที่ตรัสว่า นันทิใดในเวทนา นันทิคืออุปาทาน)
(๒)
ปฏิจจสมุปบาท รอบแรกสุดๆ ของกุมาร (อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูปฯ)
ตรัส ไม่ขัดกับ พระสูตรที่ตรัสไว้ว่า "นันทิ เกิด ปฏิจจสมุปบาทเกิด"
-----> ใช่หรือไม่?
^^^^^^^^^
ประเด็นกระทู้สนทนา
(๓) ทั้งข้อที่ ๑ และ ๒ เนื่องกับ "เวทนา ปรมัตถ์" (ตามอภิธัมมัตถสังคหะ คือ เวทนาเจตสิกปรมัตถ์) ใช่หรือไม่?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หมายเหตุ
มหาตัณหาสังขยสูตร
เพ่งดีดี จะพบ เวทนา ๒ กับ เวทนา ๓ ใช่หรือไม่?
ใครถอดอาการแห่งธรรม ตามมหาตัณหาสังขยสูตรได้ว่า "เวทนา ๒" "เสวยเวทนา ๓" มันเนื่อง กับ ? (ตามที่ตรัส)
น่าจะได้ ดวงตา คือ ได้ดวงตาเห็น อิทัปปัจจยตา ว่าเนื่องกับ เวทนา ๒ --- ต่อด้วยได้ดวงตาเห็น ปฏิจจสมุปบาท ว่าเนื่องกับ เสวยเวทนา ๓ (อันเนื่องกับ เวทนา ๒ ตาม ที่ตรัสที่ กุมารฯ)
อุปาทานของกุมาร ....
ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน อริยวินัย สิ่งที่เรียกว่า "โลหิต" นั้น หมายถึง น้ำนมแห่งมารดา --------- (ใครค้าน พุทธดำรัสนี้?)
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุมารนั้นอาศัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลายแล้ว -------------------------------- อินทรีย์ นี้ ทรงระบุว่า ได้แก่?
กำหนดตาม ธรรม ๔ ที่ใครค้านไม่ได้ ฯ
เล่นอยู่ด้วยของเล่นสำหรับทารก
กล่าวคือ ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
กุมารนั้น อาสัยความเจริญและความเติบโตแห่งอินทรีย์ทั้งหลายแล้ว ------------------------------ อินทรีย์ ๖ ด้วย อินทรีย์ ๕ ด้วย มั๊ย
(จึง) เป็นผู้อิ่มเอิบเพียบพร้อมด้วยกามคุณห้า ---------------------------------------------------- ไม่ได้ตรัส เนื่องด้วย กาม คือ สังกัปปะราคะ
ให้เขาบำเรออยู่ทางตา ด้วยรูปทั้งหลาย ใช่มั๊ย ?
ทางหู ด้วยเสียงทั้งหลาย
ทางจมูก ด้วยกลิ่นทั้งหลาย
ทางลิ้น ด้วยรสทั้งหลาย
และทางกาย ด้วยสัมผัสทางผิวกายทั้งหลาย ---------------------------------------------------- เนื่องกับ ผัสสายตนะ ๖ มั๊ย?
ล้วนแต่น่าปรารถนา น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจ -------------------------------------------------- ธรรมทั้งปวง มีฉันทะเป้นมูลราก มั๊ย?
มีภาวะ เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ------------------------------------------------------------------ เนื่องกับ ตัณหา - ปียรูปสาตรูป มั๊ย ?
เป็นที่เข้าไปตั้งอาสัยอยู่แห่งความใคร่ ------------------------------------------------------- เนื่องกับ "อาการ " ปรมัตถ์ อะไร?
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด นำมาซึ่งความรัก (ของกุมารนั้น) ------------------------------- เนื่องกับ "อาการ" ปรมัตถ์ อะไร?
กุมารนั้น ครั้นเห็นรูปด้วยตาแล้ว ------------------------------------------------------------ กำหนด ครั้งแรกสุดๆ
ได้ยินเสียงด้วยหู ฯลฯ ที่เนื่องกับ อาการ
รู้แจ้งธัมมารมณ์ด้วย มโนวิญญาณ (ใจ) แล้ว ----------------------------------------------- เพราะสิ่งนี้ สิ่งนี้มี สิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงมีขึ้น
ก่อน มีปฏิจจฯ ๑๑ อาการ ที่ตรัสตั้งต้นที่ "เพราะมี" อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะคือ ตา ผัสสะ เวทนา ตัณหา ใช่หรือไม่?)
ย่อมกำหนัดยินดีในรูปและเสียงเป็นต้น ----------------------------------------- เพราะมี มโนปวิจาร ๑๘ ใช่มั๊ย ?
อันมีลักษณะ เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ------------------------------------------------------ เนื่องกับ อนุสัย ๓ เพราะ เวทนา ๓ มั๊ย?
ย่อมขัดเคืองในรูปและเสียงเป็นต้น ----------------------------------------------------- เพราะมี มโนปวิจาร ๑๘ ใช่มั๊ย ?
อันมีลักษณะเป็นที่ตั้งแห่งความชัง ----------------------------------------------------- เนื่องกับ อนุสัย ๓ เพราะ เวทนา ๓ มั๊ย?
(อิทัปปัจจยตา ข้างบน เพราะ)
กุมารนั้น ย่อมมี "จิตใจ" ----------------------------------------------------------------สำนวนแปลที่ผมอ้างนี้ ดู พระบาลีด้วยฯ
ด้อยด้วยคุณธรรม ---------------------------------------------------------------------- อันเป็น อริยะ ใช่ไหม?
อยู่โดยปราศจากสติ -------------------------------------------------------------------- สัมมาสติขั้นไหน? ก่อนบรรลุอรหัตตผลแล้ว หรือว่าฯลฯ
อันเข้าไปตั้งไว้ในกาย ด้วย ---------------------------------------------------- กาย คือ อะไร ตาม พระสูตรไหน
กาย ก่อนบรรลุอรหัตตผลแล้ว หรือว่าฯลฯ
(กุมารนั้น) ย่อมไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง ------------------------------------------------ ครั้งแรกสุดๆ แล้ว ต่อๆ มา (เป็นต้นว่า กรณี อุปติสสะฯ)
ซึ่ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ -------------------------------------------------------- ตรัส จิตวิมุตติ ก่อน เจตสิกวิมุตติ ใช่ไหม?
อันเป็นที่ดับโดยไม่เหลือแห่งธรรมอันเป็นบาปอกุศลทั้งหลายด้วย ---------------- ธรรมนี้ คือ ธรรม ?
(เพ่งที่ตรัสต่อ ว่า เกิด ปฎิจจฯ ใช่หรือไม่?)
กุมารนั้น
เมื่อประกอบด้วยความยินดียินร้ายอยู่เช่นนี้ -------------------------------------- ครั้งแรก และครั้งต่อๆ มา ฯลฯ
เสวย เวทนาใดๆ อยู่
เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุขก็ตาม -------------------------- อาการนี้ ตรัส "เวทนา ๓" ตรัส อทุกขมสุขเวทนา
เพราะ เสวยเวทนา ด้วย ไม่รู้ชัดตามที่เป็นจริง
ด้วยเจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติ
เขาย่อม เพลิดเพลิน ----------------------------------------------------------- คือ นันทิ (ใดในเวทนา) นันทิ คือ อุปาทาน ใช่ หรือไม่?
นันทิเกิด ปฏิจจสมุปบาท เกิด ใช่หรือไม่?
(ดู ที่ตรัสต่อเอง)
จบความนำ
---------------
สรุป
(๑)
กำหนด อาการ อุปาทาน ครั้งแรก ตามมหาตัณหาสังขยสูตรที่อ้างข้างบน คือ นันทิครั้งแรกของกุมาร (ที่ต่อมาคือเราๆ ท่านๆ ผมด้วย)
-----> ใช่หรือไม่? ( ตามที่ตรัสว่า นันทิใดในเวทนา นันทิคืออุปาทาน)
(๒)
ปฏิจจสมุปบาท รอบแรกสุดๆ ของกุมาร (อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูปฯ)
ตรัส ไม่ขัดกับ พระสูตรที่ตรัสไว้ว่า "นันทิ เกิด ปฏิจจสมุปบาทเกิด"
-----> ใช่หรือไม่?
^^^^^^^^^
ประเด็นกระทู้สนทนา
(๓) ทั้งข้อที่ ๑ และ ๒ เนื่องกับ "เวทนา ปรมัตถ์" (ตามอภิธัมมัตถสังคหะ คือ เวทนาเจตสิกปรมัตถ์) ใช่หรือไม่?
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้